บทที่ 1742+1743

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1742 ซีจิ่ว เป็นเจ้าใช่ไหม?

หยกนภาหยิ่งผยองนัก หลังจากกู้ซีจิ่วสิ้นชีพไป มันก็ไม่ยอมรั้งอยู่กับสังขารนั้นอีก ยามนี้กำลังนอนนิ่งอยู่บนโต๊ะเปล่งแสงกะพริบน้อยๆ คล้ายว่ากำลังเข้าจังหวะกับเสียงขลุ่ยของตี้ฝูอีอยู่

กู้ซีจิ่วลอยไปอยู่ตรงหน้ามัน ลองสื่อสารกับมันดู ผลคือเจ้านี่ไม่มีการตอบสนองเลยสักนิด

กู้ซีจิ่ววนเวียนรอบตัวมันอยู่กว่าสิบรอบ ใช้สารพัดวิธีแล้ว ผลคือไร้ประโยชน์ทั้งสิ้น

กู้ซีจิ่วแทบอยากเตะมันลงจากโต๊ะแล้ว! ไหนบอกว่าสามารถสื่อสารกับเธออย่างไร้ข้อจำกัดได้ตลอดเวลาไง ผลคือในช่วงเวลาคับขันกลับไม่มีประโยชน์เลย กระแสจิตตอบสนองสักนิดก็ไม่มีเลย!

เพียงน่าดายที่เธอหาเท้าของตนไม่พบ มิเช่นนั้นคงประเคนฝ่าเท้าใส่จริงๆ…

เอ๊ะ ไม่ถูกสิ ถึงเธอจะสัมผัสถึงเท้าของตัวเองไม่ได้ แต่ดูเหมือนเธอจะใช้ปากได้นี่นา! เมื่อกี้ก็คาบกุ้งขึ้นมาได้สำเร็จ!

หากเป็นเมื่อก่อน กู้ซีจิ่วไม่มีทางใช้ปากไปแตะต้องแนบชิดกับหยกนภาเด็ดขาด แต่วันนี้เธอไม่สนแล้ว!

เธอก้มตัวลง พยายามเข้าไปงับหยกนภาอย่างสุดกำลัง…

ขั้นตอนนี้สำหรับเธอแล้วเป็นเรื่องยากลำบากยากจะเอ่ยโดยแท้ เมื่อกี้ตอนคาบกุ้งตัวนั้นล้วนเสียเวลาไปเนิ่นนาน ตอนนี้ต้องคาบหยกนภาที่ทั้งใหญ่และหนักกว่ากุ้งตัวนั้นถึงสิบกว่าเท่า เปรียบเสมือนมดจะคาบช้าง ลำบากยากเข็ญอย่างยิ่ง…

อย่าว่าแต่เธอจะคาบมันขึ้นมาเลย แค่จะผลักมันให้ขยับสักนิดก็ยากเย็นอย่างไร้ใดเทียมแล้ว

หยกนภาที่เดิมทีเปล่งแสงกะพริบเข้าจังหวะดนตรีอยู่ จู่ๆ คล้ายว่ามันจะสัมผัสถึงอะไรได้ หยุดเปล่งแสงแล้ว! กระเด้งตัวขึ้นมาบนโต๊ะทันที คล้ายว่าจะหันรีหันขวางอยู่

ผู้ใดเป่าลมใส่มันกัน?!

มารดามันเถอะ ผู้ใดกำลังเป่าลมมาทางข้า?!

ผีหลอกแล้ว!

หยกนภาดีดตัวลงมาจากโต๊ะ ลอยไปอยู่บนข้อมือของตี้ฝูอีอย่างรวดเร็ว ไปหาท่านเทพใหญ่เพื่อให้เป็นที่พึ่ง

อันที่จริงมันไม่ได้กลัวผี เนื่องจากปกติแล้วมันก็สามารถมองเห็นผีได้เช่นกัน แต่ครั้งนี้มันมองไม่เห็นสิ่งใดเลย เพียงสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างกำลังเป่าลมเย็นยะเยือกใส่มันอยู่ ถึงขึ้นเกิดความรู้สึกหลอนอย่างหนึ่งว่าอีกฝ่ายกำลังกัดมันอยู่ด้วย…

สิ่งที่มองไม่เห็นสิถึงจะน่ากลัว หยกนภาเพียงรู้สึกว่าอนุภาคหยกในกายมันล้วนลุกชันขึ้นมาหมดแล้ว ดังนั้นมันจึงตกใจเผ่นหนีอย่างเสียเส้นยิ่งนัก

กู้ซีจิ่วพูดไม่ออกเลย

เจ้าเสี่ยวชางที่น่าตาย!

ตี้ฝูอีถูกหยกนภาขัดจังหวะ จึงเป่าเพี้ยนไป เขาขมวดคิ้วแล้ว “เป็นอะไร?”

หยกนภาตัวสั่นอยู่บนข้อมือเขา ‘ม…มีผี! มีบางอย่างเป่าลมใส่ข้า จะกัดข้า…’

ตี้ฝูอีเงียบไป

เขาก็รู้สึกเช่นกันว่าคืนนี้ค่อนข้างผิดปกติ หัวใจพลันเต้นแรงแวบหนึ่ง มองไปรอบข้าง “ซีจิ่ว เป็นเจ้าใช่ไหม?”

“เป็นข้า เป็นข้าเอง…” กู้ซีจิ่วตอบ จนปัญญาที่ผู้อื่นเห็นเธอเป็นธาตุอากาศ

ตี้ฝูอีร่ายคาถาอีกครั้ง คิดว่าต้องได้ผลแน่ ทว่ายังคงไม่พบอะไรเช่นเดิม

กู้ซีจิ่วเซื่องซึมอยู่ที่ด้านหนึ่ง ค่อนข้างสิ้นหวังแล้ว จ้องมองหยกนภา อยากจะดึงเจ้านี่มาทุบเป็นเสี่ยงๆ ซะ! ในช่วงเวลาคับขันเจ้านี่กลับพึ่งพาไม่ได้เลย!

หยกนภารู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ด้วยเหตุนี้จึงรัดข้อมือของตี้ฝูอีแน่นขึ้นไปอีก เอ่ยงึมงำ ‘ทำไมข้าถึงรู้สึกว่ามีบางสิ่งจ้องข้าตาเป็นมันอยู่ อยากจะกินข้าเข้าไป…’

ตี้ฝูอีนั่งอยู่ตรงนั้น สายตาร่อนลงบนจาน กุ้งมังกรยังอยู่ในจาน แต่ว่าเย็นชืดไปแล้ว

เขาเอ่ยเสียงทุ้มลึก “ซีจิ่ว ก่อนหน้านี้คือเจ้าใช่ไหม? หากว่าเป็นเจ้า ขยับกุ้งตัวนี้อีกครั้งได้หรือไม่? หากว่าเจ้าอยู่ ก็ขยับเนื้อกุ้งชิ้นนี้นะ” เขายื่นมือไปแกะเนื้อกุ้งชิ้นเล็กๆ ออกมาชิ้นหนึ่ง จากนั้นก็วางไว้ด้านบนสุด ซ้ำยังอุ่นเนื้อกุ้งชิ้นนั้นให้ร้อนกรุ่นขึ้นมาอีกครั้งด้วย

กู้ซีจิ่วใจเต้นแวบหนึ่ง เธอคาบกุ้งชิ้นนั้นได้!

เพียงแต่ เธอต้องใช้ปากคาบ

การเคลื่อนไหวเช่นนี้ดั่งลูกหมาไม่มีผิด เธอรู้สึกว่าทำลายภาพลักษณ์ของตนยิ่งนัก

——————————————————————

บทที่ 1743 ซีจิ่ว เจ้าปรากฏตัวไม่ได้ใช่ไหม?

เธอมองดูตี้ฝูอีในใจโมโหอยู่บ้าง เจ้าคนผู้นี้ชอบแกล้งหยอกเธอเสมอมา ยามนี้ยังคิดจะแกล้งเธออยู่หรือ? เธอไม่ทำหรอก!

อีกอย่างต่อให้เธอยืนยันถึงการมีอยู่ของตนต่อหน้าเขาได้แล้วยังไงต่อล่ะ? เขาก็มองไม่เห็นเธอ สัมผัสถึงเธอไม่ได้…ยิ่งกว่านั้นคือคุยกับเธอไม่ได้ด้วย…

อันที่จริงเธอก็อยากรู้ความจริงอยู่นะ

เธอค่อนข้างละล้าละลังไปชั่วขณะ

ตี้ฝูอีจ้องมองเนื้อกุ้งชิ้นนั้นอยู่ตลอด เขาถึงขั้นที่ลอบร่ายอาคมเพื่อป้องกันไม่ให้สายลมรอบๆ มาพัดให้เคลื่อนไหว

แต่เนื้อกุ้งชิ้นนั้นก็ยังคงแน่นิ่งเดียวดายอยู่ตรงนั้น…

ตี้ฝูอีรออยู่ครู่หนึ่ง ในดวงตาค่อยๆ ฉายแววผิดหวังขึ้นมา ถอนหายใจต่ำๆ คราหนึ่ง “ยังคงเป็นข้า…ที่คิดมากไป…”

สีหน้าของเขาหม่นหมองเหลือเกิน กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าหัวใจปวดแปลบขึ้นมา!

ตัดสินใจในทันใด สุดท้ายก็ลอยเข้าไป พยายามคาบเนื้อกุ้งชิ้นนั้นอีกครั้ง…

เนื้อกุ้งเล็กกว่ากุ้งทั้งตัวมากนัก ซ้ำตี้ฝูอียังผ่าครึ่งอีกด้วย หนึ่งชิ้นยังใหญ่ไม่เท่าท้องนิ้วเลยด้วยซ้ำ

ทว่าเธอมีประสบการณ์มาบ้างแล้ว พยายามเช่นนี้อยู่ประมาณชั่วระยะครึ่งถ้วยชา ในที่สุดเธอก็คาบเนื้อกุ้งชิ้นนั้นขึ้นมาได้…

ตี้ฝูอีแข็งทื่อไปทั้งตัวแล้ว!

เขามองเนื้อกุ้งเล็กๆ ที่ลอยขึ้นมากลางอากาศชิ้นนั้น เสียงสั่นเล็กน้อย “ซีจิ่ว!”

เขายื่นมือข้างหนึ่งออกไป แตะเนื้อกุ้งชิ้นนั้นเบาๆ “ซีจิ่ว เจ้าอยู่จริงๆ ด้วย! ทำไมข้าถึงมองไม่เห็นเจ้าล่ะ?”

กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าปากชาไปหมดแล้ว เกิดเสียงผลุ่บคราหนึ่ง เนื้อกุ้งชิ้นนั้นหลุดออกมาจากเธอ หล่นลงกลางฝ่ามือของตี้ฝูอี

เธอมองเขา มองเห็นระลอกไอหมอกภายในดวงตาของเขา หัวใจปวดแปลบขึ้นมาอีกหน!

เขาประคองเนื้อกุ้งชิ้นนั้นไว้ ราวกับประคองเพชรที่ล้ำค่าที่สุดบนโลกใบนี้ไว้ “ซีจิ่ว เจ้าอยู่บนฝ่ามือของข้างั้นหรือ?”

กู้ซีจิ่วส่ายหน้า เธอไม่ใช่เนื้อกุ้งซะหน่อย!

หยกนภาก็ตกตะลึงเช่นกัน!

ลอยออกมาจากข้อมือของตี้ฝูอี วนรอบเนื้อกุ้งชิ้นนั้น ‘เจ้านาย ใช่ท่านจริงๆ หรือ? เมื่อกี้ท่านคิดจะงับข้าใช่ไหม? ไอ่หยา อันที่จริงท่านใช้มือจับข้าก็ได้นี่นา ไม่จำเป็นต้องงับเลย…’

กู้ซีจิ่วไม่คิดจะแยแสเจ้านี่ หากว่าเธอสามารถใช้มือได้จะใช้ปากคาบทำไมกันเล่า!

ตี้ฝูอีสูดหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง “ซีจิ่ว เจ้าปรากฏตัวไม่ได้ใช่ไหม?”

ใช่แล้ว!

กู้ซีจิ่วกลัดกลุ้ม

ตอนมีชีวิตอยู่เธอสะบัดมือส่งๆ ทีหนึ่งก็สามารถเคลื่อนย้ายภูเขาเล็กๆ สักลูกได้แล้ว ตอนนี้เธอคาบเนื้อกุ้งทีก็เหมือนย้ายภูเขาที เหนื่อยเหลือเกิน

ตี้ฝูอีคล้ายจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ยกมือโบกผ่านสังขารนั้นเบาๆ คราหนึ่ง เหมือนจะคลายอาคมบางอย่าง เอ่ยเสียงต่ำว่า “ซีจิ่ว เจ้ากลับเข้าร่างตนก่อนเถิด”

กู้ซีจิ่วก็ไม่อยากสื่อสารกับเขาในสภาพเช่นนี้เหมือนกัน ด้วยเหตุนี้เธอจึงโอบอุ้มความหวังเสี้ยวหนึ่งพุ่งเข้าสู่ร่างนั้นอีกครั้ง…

ตี้ฝูอีคลายอาคมที่ปกปักษ์ร่างนั้นอยู่ออกแล้ว เธอน่าจะกลับไปได้แล้วกระมัง?

แต่ผลลัพธ์ทำให้เธอผิดหวังยิ่งนัก เธอทะลุผ่านร่างนั้นไปโดยตรง รั้งอยู่ไม่ได้เลย

ตี้ฝูอีกลั้นหายใจมองร่างนั้นอยู่ตลอด ผลคือเขารออยู่พักใหญ่ก็ไม่เห็นสัญญาณว่ามันจะฟื้นคืนชีพเลยสักนิด

หยกนภาฉงนแล้ว ‘ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ท่านว่าจะมีสัมภเวสีผีเร่ร่อนอันใดมาล่อหลอกอยู่ที่นี่หรือเปล่า? เจ้านายของข้ามีฝีมือสูงส่งถึงเพียงนั้น หากว่านางกลายเป็นผีจริง เช่นนั้นก็ต้องเป็นผีที่เก้งกล้าที่สุดสิ ประเภทที่สามารถเคลื่อนผาย้ายศิลาได้ แต่เจ้าตัวในยามนี้เพียงคาบเนื้อกุ้งเล็กน้อย ยังต้องใช้ความพยายามมากถึงเพียงนี้เลย’

ตี้ฝูอีตอบด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก “ที่นี่ไม่มีสัมภเวสี!” ถ้ามีจริงเขาก็ต้องเห็น และไม่มีสัมภเวสีตนใดกล้าสวมรอยเป็นกู้ซีจิ่วต่อหน้าเขาด้วย…

เขานั่งใคร่ครวญอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็อุ้มสังขารนั้นขึ้นมา “ซีจิ่ว หากว่าเจ้ายังอยู่ ก็ตามข้ามานะ ข้าจะพาเจ้าไปกินอาหาร เจ้าหิวแล้วใช่ไหม?”

กู้ซีจิ่วย่อมหิวแน่นอน มิเช่นนี้ก่อนหน้านี้คงไม่ไปคาบกุ้งชิ้นนั้นหรอก เพียงแต่เธอไม่รู้ว่าควรเติมเต็มกระเพาะที่หิวโหยอย่างไร อาหารเลิศรสทั้งโต๊ะนี้เธอไม่อาจลิ้มชิมได้เลย

—————————————————————