บทที่ 1744+1745

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1744 เธอไม่สามารถสื่อสารได้!

เมื่อครู่ใช้แรงมากเกินไป เธอไม่เพียงแต่หิวโหยเท่านั้นยังเหนื่อยล้าอีกด้วย ยามนี้กำลังล่องลอยพักผ่อนอยู่ตรงนั้น

ตี้ฝูอีเป็นคนพูดจริงทำจริง เมื่อเขากล่าวว่าจะไป คนก็อุ้มร่างนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอยเลย

….

ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็รู้แล้วว่าทำไมตนถึงติดตามตี้ฝูอีได้ตลอดเวลา เนื่องจากดูเหมือนว่าเธอจะติดตามไปกับสังขารนั้น ตี้ฝูอีอุ้มสังขารนั้นไปที่ไหน เธอก็จะตามไปที่นั่นด้วย

สถานที่ที่ตี้ฝูอีพาเธอไปมิใช่ภัตตาคารร้านอาหารอันใด แต่เป็นศาลทูตสวรรค์กู้

ดึกดื่นค่อนคืนแล้ว ศาลทูตสวรรค์ย่อมไม่มีผู้มาสักการะแล้ว มีเพียงนักพรตน้อยคนหนึ่งคอยเฝ้าดูธูปอยู่ที่นั่น

ธูปที่ใช้จุดของที่นี่เป็นธูปหอมไม้กฤษณา ควันธูปลอยม้วนอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ

ในที่สุดท้องของกู้ซีจิ่วก็ไม่หิวโหยแล้ว! ธูปนั้นคล้ายว่าจะเป็นอาหารสำหรับเธอ หลังจากเธอสูดดมอยู่พักหนึ่ง ก็รู้สึกสบายขึ้นไม่น้อยเลย

ตี้ฝูอีอุ้มสังขารนั้นนั่งอยู่บนคาน ตำแหน่งนั้นเป็นจุดที่สามารถสูดดมไอธูปได้อย่างยอดเยี่ยมพอดี…

“ซีจิ่ว อยู่ที่นี่สบายขึ้นมากเลยใช่ไหม?” ตี้ฝูอีกระซิบ

“ใช่แล้ว” กู้ซีจิ่วก็รู้สึกว่าที่นี่สบายที่สุดเช่นกัน ก่อนหน้านี้เธอเหนื่อยล้าเกินไป ยามนี้จึงง่วงงุนอยู่บ้าง แต่เธอไม่กล้าหลับ ด้วยเกรงว่าถ้าหลับไปแล้วจะไม่ตื่นขึ้นมาอีก

เธอจึงลอยอยู่ตรงไหล่ของตี้ฝูอีเสียเลย มองตี้ฝูอีโอบกอดสังขารนั้นอย่างอ่อนโยน จู่ๆ เธอก็รู้สึกอิจฉาร่างกายนั้นของตนอยู่บ้าง…

ตี้ฝูอีเอนกายพิงเสาคานที่อยู่ด้านหลัง “ซีจิ่ว พวกเราก็พักผ่อนที่นี่กันเถอะ”

เขาบอกว่าจะพักผ่อน ทว่าไม่มีทีท่าว่าจะหลับตาเข้านอนเลย นิ้วมือเคลื่อนไหวร่ายอาคมบางอย่างอยู่ตลอด

ถึงแม้สังขารที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาจะเป็นร่างเซียน แต่ถ้าไม่มีเขตแดนคอยปกป้องคุ้มกัน มันก็จะเน่าเปื่อยผุพังได้ง่ายๆ อีกทั้งเขาเกรงว่าจะเป็นการขัดขวางหนทางการกลับเข้าร่างของกู้ซีจิ่ว ดังนั้นหลังจากเขาคลายเขตแดนออกแล้ว ก็ลอบใช้อาคมคอยปกปักษ์ ทำให้มันเสมือนมีชีวิตอยู่ตลอดเวลา

กู้ซีจิ่วย่อมมองออกอาคมที่เขากำลังจรดนิ้วร่ายอยู่ออก ในใจขื่นขมฝาดเฝื่อน ในช่วงเวลานี้เธอลองพุ่งเข้าสู่ร่างร่างนั้นหลายครั้งแล้ว ยังคงไม่เป็นผลเช่นเดิม…

ตี้ฝูอีนั่งกอดสังขารนั้นนั่งอยู่บนคานห้องทั้งคืน คนที่อยู่ในอ้อมแขนเขายังคงแน่นิ่งไม่เคลื่อนไหว

แม้แต่หยกนภาก็สิ้นหวังขึ้นมาแล้วเช่นกัน ‘ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ข้าคิดว่าอาจเป็นสิ่งอื่นที่มาคาบกุ้งชิ้นนั้น มิใช่เจ้านายของข้า มิเช่นนั้นต่อให้นางเป็นร่างวิญญาณก็ยังสามารถสื่อสารกับข้าได้’

กู้ซีจิ่วก็สิ้นหวังแล้วเช่นกัน เธอไม่สามารถสื่อสารได้!

ตี้ฝูอีไม่ได้พูดอะไร จวบจนถึงยามที่ขอบฟ้าทาบทาแสงอรุโณทัย เขาถึงอุ้มสังขารนั้นขึ้นมาแล้วกลับไปที่โรงเตี๊ยม จากนั้นก็โดยสารรถม้าแก้วผลึกเดินทางไปที่ศาลทูตสวรรค์กู้อีกแห่งหนึ่ง

แก้วผลึกมีสรรพคุณในการรวบรวมพลังงาน ยามที่กู้ซีจิ่วอยู่ในรถม้าแก้วผลึกจะไม่รู้สึกหิวโหยเลย

เธอติดตามตี้ฝูอีไปอีกสามวัน พบว่ารถม้าแก้วผลึกของตี้ฝูอีมีอยู่เจ็ดสี แต่ล่ะสีล้วนพิสุทธิ์ยิ่งนัก แถมพลังที่รวบรวมมาก็แตกต่างกันไปด้วย เธอรู้สึกว่าพละกำลังของตนเพิ่มขึ้นบางส่วนแล้ว

ถึงขั้นที่สามารถสัมผัส57’มือข้างหนึ่งของตนได้แล้ว…

ในรถม้าของตี้ฝูอีมีผลึกแก้วบริหารมืออยู่บางส่วน เธอพยายามหยิบอันที่เล็กที่สุดขึ้นมา ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกเธอผลักให้ขยับเล็กน้อยได้

หลายวันมานี้ตี้ฝูอีสังเกตความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ของข้าวของรอบตัวอยู่เสมอ ย่อมมองเห็นการขยับเขยื้อนของแก้วผลึกบริหารมือชิ้นนั้น เขาพริ้มตาลงนิดๆ!

ถึงแม้เขาจะยังคงมองไม่เห็นนาง ทว่ากลับสัมผัสถึงการมีอยู่ของนางได้อย่างไร้ซึ่งเหตุผล!

“ซีจิ่ว ถึงข้าจะไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเจ้าจึงไม่กลับเข้าร่าง แต่ข้ารู้ว่าเจ้ายังอยู่!” เขายิ้มน้อยๆ มุมปากหยักยิ้มอ่อนโยน แววตาหม่นหมองเล็กน้อย

หลายวันมานี้กู้ซีจิ่วเคยชินกับการอยู่ร่วมกับเขาเช่นนี้ทั้งวันทั้งคืนแล้ว เธอติดนิสัยที่ต้องมองสีหน้าของเขาทุกวัน

ประโยคที่ว่าเหลือเวลาอยู่ไม่มากแล้วของมู่เฟิงดั่งเข็มเล่มหนึ่ง

——————————————————————

บทที่ 1745 พบพานสหายเก่า

ประโยคที่ว่าเหลือเวลาอยู่ไม่มากแล้วของมู่เฟิงดั่งเข็มเล่มหนึ่ง ทิ่มแทงลงบนหัวใจเธอ ทำให้เธอว้าวุ่น ร้อนใจอยากทราบความจริง จนปัญญาที่มู่เฟิงไม่สนทนาหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับตี้ฝูอีอีก และเธอก็มองออกอะไรจากสีหน้าของเขาไม่ออกเลย

ในเมื่อรถม้าแก้วผลึกกับศาลทูตสวรรค์กู้สามารถทำให้ตนฟื้นฟูได้เร็วขึ้น ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงพยายามอยู่ในสถานที่สองแห่งนี้ให้ได้มากที่สุด

ตี้ฝูอีพาเธอท่องไปทั่วแผ่นดิน ศาลบูชาทุกแห่งของเธอล้วนก่อสร้างขึ้นในตำแหน่งที่มีพลังวิญญาณสมบูรณ์ที่สุด แต่ละแห่งที่เธอไป ล้วนมีอาการดีขึ้นทั้งสิ้น เมื่อถึงวันห้า เธอก็สามารถบังคับสั่งการสองมือของตนได้แล้ว!

ถึงแม้เธอยังไม่สามารถหยิบจับอะไรได้ แต่สามารถสัมผัสถึงการคงอยู่ของพวกมันได้แล้ว!

วันนี้เมื่อมาถึงศาลบูชาอีกแห่งหนึ่ง ผลคือบังเอิญพบคนคุ้นเคยที่นี่

หลานไว่หูกับเยี่ยนเฉิน!

พวกเขาก็พากันมาจุดธูปที่ศาลบูชาแห่งนี้เช่นกัน

หลานไว่หูมองรูปสลักนั้นอย่างใจลอย ถอยหายใจแผ่วๆ คราหนึ่ง “เหมือนจริงๆ”

เยี่ยนเฉินยืนอยู่ข้างกายนาง ตอบอืมคำหนึ่ง

“พี่เยี่ยนเฉิน ท่านว่า ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์สร้างศาลบูชาให้ซีจิ่วทำไมกัน?”

“เพื่ออำนวยพรให้นางกระมัง?” เยี่ยนเฉินจุดธูปดอกหนึ่งเองกับมือ ปักลงในกระถางธูป

“ข้าคิดถึงซีจิ่วแล้ว…น่าเสียดายที่ช่วงนี้นางอยู่กับท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ตลอด ไม่ได้พบพวกเราเลยสักครั้ง หนนี้หากมิใช่เพราะมีนางอยู่ ข้าคงตายไปจริงๆ แล้ว…” ในใจของหลานไว่หูยังหวาดผวาอยู่

เยี่ยนเฉินตบมือนางเบาๆ ยื่นธูปดอกหนึ่งให้นาง “มาเถอะ เจ้าก็จุดธูปให้ซีจิ่วด้วยสิ”

หลานไว่หูรับธูปมาจุดอย่างเชื่อฟัง พนมมือแล้วเอ่ย “ซีจิ่ว ข้าถอนหมั้นกับหลานเยวี่ยแล้วนะ ข้าไม่นึกเลยว่าการถอนหมั้นนี้จะง่ายดายถึงเพียงนี้ หลังจากข้าฟื้นหลานเยวี่ยก็มาหาข้าด้วยตัวเอง…ข้ายังนึกอยู่เลยว่าเขามาเพื่อพาข้ากลับไปแต่งงาน ตกใจเหลือเกิน! ซ้ำพี่เยี่ยนเฉินยังแยกตัวออกไปกับเขาตามลำพังอีก…ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขาวิ่งไปทะเลาะต่อยตีที่ไหนกันมา…ประหลาดนัก วรยุทธ์ของพี่เยี่ยนเฉินสูงส่งกว่าเขาชัดๆ ยังได้รับบาดเจ็บมาได้…เพียงแต่เขาก็ไม่ได้รับผลดีอันใดเช่นเดียวกัน พี่เยี่ยนเฉินซ้อมเขาจนจมูกช้ำหน้าปูดโน…พอเขากลับมาก็ถอนหมั้นข้าทันทีเลย…”

นางเอ่ยงึมงำราวกับจะเล่าเรื่องเหล่านี้ให้รูปสลักฟัง เยี่ยนเฉินถอนหายใจ “ไว่หู หลานเยวี่ยเขาเก็บงำประกายไว้ วรยุทธ์ของเขาก็สูงส่งมากเช่นกัน”

หลังจากเขาประมือกับหลานเยวี่ยอย่างจริงจังถึงได้ทราบว่า วรยุทธ์ของเจ้าคนผู้นี้สูงส่งอย่างน่าเหลือเชื่อ พลังวิญญาณน่าจะใกล้บรรลุขั้นสิบแล้ว….

ยามที่หลานเยวี่ยกับเขาแยกตัวออกมาตามลำพังได้เอ่ยออกมาประโยคหนึ่งว่า “ถ้าเจ้าเอาชนะข้าได้ ประมุขอย่างข้าก็จะถอนหมั้นกับนาง!”

ด้วยเหตุนี้ เยี่ยนเฉินจึงเอาจริงเอาจังขึ้นมา!

หลานเยวี่ยก็เอาจริงเช่นกัน ซัดเยี่ยนเฉินกระเด็นออกไปอยู่หลายครั้ง มีอยู่สองสามครั้งที่เกือบจะปลิดชีพเยี่ยนเฉินได้แล้ว แต่เยี่ยนเฉินไม่ยอมแพ้ พอถูกซัดจนลมลงไปทีหนึ่งก็จะยันกายลุกขึ้นมาอีกทีหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมถอดใจ

สุดท้ายหลานเยวี่ยก็หัวเราะฮ่าๆ คราหนึ่ง หลังจากถูกเยี่ยนเฉินชกไปสองหมัด ก็กระโจนถอยหลังไปแล้วกล่าวว่า “เอาเถอะ ดูเหมือนเจ้าจะรักนางอย่างแท้จริง! เจ้าชนะแล้ว ประมุขอย่างข้าพ่ายแพ้แล้ว!”

ยามนั้นเยี่ยนเฉินยังมึนงงอยู่ ย่อมทราบว่าอีกฝ่ายยอมถอยให้แล้ว

เขาจ้องหลานเยวี่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เจ้ายอมถอนหมั้นกับนางหรือ?”

หลานเยวี่ยกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “แน่นอน! ข้าหลานเยวี่ยหาใช่ผู้ที่จะหาศรีภรรยามาแต่งด้วยมิได้เสียหน่อย เหตุใดต้องฝืนบังคับสตรีนางหนึ่งที่มีคนในใจอยู่แล้วด้วยเล่า?”

จากนั้นหลานเยวี่ยก็นำใบหน้าหล่อเหลาที่สองตาฟกช้ำปานหมีแพนด้าไปหาหลานไว่หูเพื่อถอนหมั้น ถอนตัวออกจากสัมพันธ์รักสามเส้านี้อย่างหมดจดสมบูรณ์

หลานไว่หูย่อมไม่ทราบถึงเส้นสนกลในทั้งหมด ในใจของนาง เยี่ยนเฉินยอดเยี่ยมที่สุด

ทั้งสองคนประสบพบพานอุปสรรคจนพลัดพรากกันไป ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้อยู่ร่วมกันอีกครั้ง ย่อมไม่อยากพลาดไปอีกแล้ว ดังนั้นหลังจากหลานไว่หูหายดี ก็เดินทางไปกับเยี่ยนเฉิน

———————————————————————