บทที่ 1746+1747

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1746 ยามนี้ได้ลิ้มรสความขมขื่นบ้างแล้วกระมัง?!

“ซีจิ่ว พี่เยี่ยนเฉินกับข้าจะแต่งงานกันแล้ว…เขาบอกว่าจัดงานแต่งที่ยิ่งใหญ่อลังจนทำข้าลืมไม่ลงไม่ชั่วชีวิตให้ข้า…เทียบเชิญก็ถูกส่งไปที่จวนทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดินของเจ้าแล้ว ไม่รู้เจ้าจะได้เห็นหรือยัง? ข้าอยากให้เจ้ามาเป็นเจ้าภาพให้พวกเรามากเลย…”

หลานไว่หูเอ่ยเจื้อยแจ้ว เยี่ยนเฉินอยู่ด้านข้างแขนข้างหนึ่งโอบเอวนางไว้ อดทนฟังนางพูด

กู้ซีจิ่วมองดูสองคนนั้น ย่อมยินดีกับพวกเขาด้วย เพียงแต่เรื่องเจ้าภาพคงไม่จำเป็นแล้ว…

“ซีจิ่ว พี่เยี่ยนเฉินบอกว่า รอให้พวกเราแต่งงานกันแล้วจะออกท่องไปทั่วหล้า เขาจะพาข้าไปชมขุนเขาสายธาร ชมทิวทัศน์สี่คาบสมุทร เขาจะไม่พาข้ากลับไปที่สกุลเยี่ยนแล้ว บอกว่าจะไม่ให้ข้าได้รับความอยุติธรรมอีกเด็ดขาด…”

กู้ซีจิ่วลอบพยักหน้า เช่นนี้ดีที่สุดแล้ว!

หลานไว่หูใสซื่อ ถูกลิขิตไว้แล้วว่ามิใช่คู่ต่อสู้ของฮูหยินเยี่ยนผู้มากเล่ห์คนนั้น ไม่พบหน้ากันคือวิธีที่ดีที่สุดแล้ว ดูเหมือนในที่สุดเยี่ยนเฉินก็เข้าใจแล้วว่าปมปัญหาอยู่ตรงไหน

ทั้งสองคนที่อยู่ด้านล่างนั้นจับมือกันไว้ตลอด กู้ซีจิ่วปีติยินดียิ่งอีกทั้งค่อนข้างอิจฉาอยู่บ้าง…

เธออดไม่ได้ที่จะมองไปทางตี้ฝูอี ตื่นตระหนกเมื่อเห็นว่าตี้ฝูอีไม่ได้อยู่ตรงนั้น ไม่รู้ว่าเขาพาสังขารนั้นจากไปตั้งแต่ตอนไหนแล้ว!

กู้ซีจิ่วตะลึงงัน!

เมื่อก่อนกู้ซีจิ่วไม่อาจแยกห่างจากตี้ฝูอีได้เกินสิบจั้ง เมื่อเกินไปจากระยะนี้แล้ว จะถูกดึงตัวกลับมาอัตโนมัติ กลับมาอยู่ข้างกายเข้าอีกครั้ง

หลายวันมานี้เธอตัวติดกับตี้ฝูอีอยู่ตลอด ไม่ว่าตี้ฝูอีจะไปที่ไหนเธอล้วนติดตามไปที่นั่นด้วยอย่างไม่อาจควบคุมร่างกายได้ ไม่อยากไปก็ต้องไป แล้วหนนี้เกิดอะไรขึ้นล่ะ?

เธอค้นหาในระยะสิบจั้งอย่างรวดเร็วดูรอบหนึ่ง ไม่พบเงาร่างของเขาเลย เธอจึงตามหารถม้าแก้วผลึกของเขาตามสัญชาตญาณ พบว่ารถม้าแก้วผลึกคันนั้นก็จากไปแล้วเช่นกัน

เธอทึ่มทื่ออยู่ที่เดิมครู่หนึ่งกลับเข้าไปในศาลอีกครั้ง พบว่าพวกหลานไว่หูทั้งสองก็จากไปแล้วเช่นกัน ภายในศาลเหลือเพียงนักพรตกับผู้มาสักการะคนอื่นๆ

เธอถูกทิ้งแล้ว!

กู้ซีจิ่วล่องลอยอยู่แถวขื่อคานอย่างทึ่มทื่อเป็นระยะเวลาหนึ่งก้านธูปเต็มๆ ไม่ทราบว่าควรไปไหนดีชั่วขณะหนึ่ง

เธอรู้ว่าตี้ฝูอีจะต้องเดินทางไปที่ศาลทูตสวรรค์กู้แน่นอน แต่เธอไม่รู้ว่าเขาจะไปที่ศาลทูตสวรรค์กู้แห่งไหน ถึงอย่างไรก็มีอยู่มากมายถึงเพียงนั้น…

เธอนั่งเท้าคางอยู่ตรงนั้นอย่างค่อนข้างเหม่อลอย

ตอนนี้เธอสามารถสัมผัสถึงร่างกายของตนอย่างสมบูรณ์ได้แล้ว ถึงแม้จะยังคงมองไม่เห็น แต่สามารถบังคับควบคุมได้ตามต้องการแล้ว สามารถลุกนั่งเดินเหินเหมือนมนุษย์คนหนึ่งได้แล้ว

เมื่อถึงยามนี้เธอก็ทราบแล้วว่าที่ตี้ฝูอีตัดขาดกับเธอเช่นนั้นจะต้องมีเงื่อนงำแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจทำไปเพราะหวังดีกับเธอ แต่เข้าใจก็ส่วนเข้าใจ เนื่องจากบาดแผลที่ได้รับในตอนนั้นล้ำลึกเกินไป เธอไม่สามารถปล่อยวางอย่างสมบูณณ์ได้ในชั่วขณะ ในใจมีความโกรธเคืองเบาบางที่ยังระบายออกมาไม่หมดอยู่

หลายวันมานี้ที่ติดตามเขา มองเห็นเขาทุกข์ระทมถึงเพียงนั้น หัวใจของเธอเจ็บปวดยิ่งนัก ทว่าก็มีความรู้สึกรื่นเริงอยู่น้อยๆ

ใครใช้ให้เขาคิดเองเออเองกันล่ะ! ใครใช้ให้เขามีเรื่องอะไรก็ไม่มาปรึกษากับเธอกันล่ะ! ยามนั้นเธอเคยพูดกับเขาชัดๆ ว่าไม่อนุญาตให้เขาปิดบังอะไรเธออีก พูดไว้ดิบดีแล้วชัดๆ ว่าถึงมีความยากลำบากใดก้จะอยู่กับเขา ผลคือเขากลับเลือกที่จะเก็บงำแบกรับไว้คนเดียวเหมือนเดิม! ซ้ำยังเจตนาทำร้ายเธอด้วย…

ยามนี้ได้ลิ้มรสความขมขื่นบ้างแล้วกระมัง?!

จะว่าไป สรุปแล้วเขาทำร้ายเธอแบบนี้เพื่ออะไรกัน? ทำให้เธอเขาใจผิดว่าในใจเขามีคนอื่นอยู่อย่างไม่เสียดายเลย และต้องการบีบให้เธอถอยมา…

หรือว่าเขามีเคราะห์ใหญ่จริงๆ? จะ…จะสิ้นชีพงั้นหรือ?

ความคิดเพิ่งจะแล่นมาถึงตรงนี้ก็ถูกปัดกลับลงไปยังส่วนลึกของสมองเลย!

เป็นไปไม่ได้!

เธอจำได้ที่หยกนภาเคยบอกกับเธอไว้ได้ เทพศักดิ์สิทธิ์เป็นอมตะ…อีกอย่างต่อให้เขาตายก็สามารถก่อร่างฟื้นคืนชีพได้ตามต้องการ เธอจำได้ว่าตี้ฝูอีเคยบอกเธอไว้ว่า หลังจากเขาทำลายฐานะหนึ่งไป ก็จะทำให้ฐานะนั้นหายไปด้วย ถือโอกาสทิ้งสังขารนั้นไปด้วย อย่างมากพักผ่อนฟื้นฟูสักไม่กี่ปีก็สามารถก่อสังขารขึ้นมาใหม่ได้แล้ว…

ยังมีอีก ประโยคที่โม่เจ้าเอ่ยก่อนตายหมายความว่ายังไง?

‘ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเจ้า’ ที่เขากล่าวสื่อถึงอะไร?

แถมยังถามอีกว่าเธอเข้าใจศาสตร์โหราพยากรณ์ไหม หรือว่าจะมีเส้นสนกลซ่อนในอยู่ในผังดวงดาว?

กู้ซีจิ่วกระโดดผลุงขึ้นมา ไม่ได้การล่ะ เธอต้องไปดูผังดวงดาวเสียหน่อยแล้ว!

——————————————————————–

บทที่ 1747 คนผู้นี้ยังคงเที่ยงตรงไม่เห็นแก่หน้าผู้ใดเลยจริงๆ!

ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอก็สิ้นหวังแล้ว เธอออกไปจากศาลบูชาแห่งนี้ไม่ได้เลย!

ภายในศาลบูชาแห่งนี้คล้ายมีเขตแดนที่กักขังเธอไว้ เธอไม่สามารถออกห่างศาลบูชาแห่งนี้ได้เกินห้าลี้

และหอชมดาวที่อยู่ใกล้เธอที่สุดก็คือจวนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายในอาณาจักรเฟยซิง ที่นั่นอยู่ห่างจากที่นี่ไปหลายพันลี้…

เธอถูกขังอยู่ที่นี่มาหกวันเต็มๆ แล้ว หกวันมานี้เธอทุ่มเทคิดหาทางออกสารพัดล้วนไม่เป็นผลทั้งสิ้น

ตี้ฝูอีไม่ได้มาที่ศาลบูชาแห่งนี้อีกเลย เธอทำได้เพียงรับรู้ข่าวคราวของเขาจากปากคำของผู้ที่มาสักการะ อย่างเช่นเขากำลังอยู่ที่อาณาจักรไหนเมืองใดปรากฏตัวในรูปลักษณ์ใด ยามที่ปรากฏตัวก่อให้เกิดเสียงฮือฮาเพียงใด…

คนที่เคยอยู่ด้วยกันทุกเมื่อเชื่อวันกลายเป็นว่าทำได้เพียงรับฟังข่าวสารที่เล่าลือกันจากปากของผู้อื่นเท่านั้น ทั้งยังไม่ทราบด้วยข่าวลือพวกนี้มีน้ำเจือปนหรือไม่

ตัวอย่างเช่นมีคนบอกว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไปเยือนเขาถามสวรรค์ด้วยตนเอง กล่าวกันว่าหลงซือเย่เจ้าสำนักถามสวรรค์กระทำความผิดใหญ่หลวง ต้องเข้าไปรับโทษในแดนอันใดสักอย่างเป็นเวลาครึ่งวัน ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้ส่งเข้าไปด้วยตัวเอง ยามที่หลงซือเย่ออกมาจากแดนอันใดนั้นแทบจะเอาชีวิตไม่รอดแล้ว…

อีกตัวอย่างคือกล่าวกันว่าความถี่ในการปรากฏตัวขึ้นของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์มิได้บ่อยครั้งเช่นก่อนหน้านี้แล้ว ในระยะเวลาหกวันปรากฏตัวขึ้นเพียงสองครั้ง หนึ่งครั้งที่อาณาจักรเฮ่าเยวี่ย หนึ่งครั้งที่สำนักถามสวรรค์

อีกทั้งมิได้โดยสารราชรถแก้วผลึกแล้วด้วย แต่โดยสารราชรถหยกชาดคันหนึ่งที่เจิดจ้าแยงตาดั่งดวงตะวัน ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดทราบเช่นกันว่าทูตสวรรค์กู้อยู่ในรถด้วยหรือไม่…

วาจาฝูงชนแตกต่างกันไป ทำให้หลังจากได้ฟังแล้วกู้ซีจิ่วก็ร้อนใจดังไฟผลาญ

ในที่สุดก็นึกถึงบทลงโทษของหลงซือเย่ได้แล้ว ดูเหมือนว่าจะมีสาเหตุมาจากเธอ…

ถึงแม้เธอจะพยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่สุดท้ายก็ลบล้างโทษทัณฑ์ของหลงซือเย่อย่างสมบูรณ์ไม่ได้ ยามนั้นตี้ฝูอีรับปากว่าจะลดโทษให้หลงซือเย่เข้าสู่แดนเพลิงหนึ่งชั่วยามครึ่ง…

เพียงแต่ภายหลังเกิดเรื่องราวขึ้นมากมายเกินไป กู้ซีจิ่วจึงลืมเรื่องนี้ไปเลย

เธอนึกว่าเขาก็ลืมไปแล้วเช่นกัน ถึงอย่างไรเธอก็ ‘ตาย’ ไปแล้ว ภายใต้ความกระทบกระเทือนอย่างใหญ่หลวงถึงเพียงนี้ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะยังจดจำเรื่องนี้ได้อีก…

คนผู้นี้ยังคงเที่ยงตรงไม่เห็นแก่หน้าผู้ใดเลยจริงๆ!

เธอก็ไม่ทราบเช่นกันว่าในใจรู้สึกอย่างไร ความคิดที่ต้องการจะออกจากที่นี่เร่งร้อนขึ้นยิ่งกว่าเดิม

ตลอดวันนี้ เธอพบทิศทางหนึ่งแล้ว รู้สึกได้รางๆ ว่าเขตแดนในทิศนี้คล้ายจะอ่อนกำลังลงบ้างแล้ว เธอเป็นมือดีด้านการทำลายเขตแดน แต่ตัวเธอในยามนี้ถึงอย่างไรก็ไม่มีร่างกาย อย่าว่าแต่ไม่อาจใช้วิชาคาถามาทำลายเขตแดนเลย แม้แต่การหยิบผลไม้เช่นไหว้ที่ง่ายดายที่สุดเธอก็ยังสิ้นเปลืองกำลังยิ่งนัก…

ขณะที่ยุ่งสะละวนกับการลองดูอยู่ จู่ๆ ก็มีเสียงแผ่วเบาสายหนึ่งแว่วขึ้นริมหู “ไม่จำเป็นต้องยุ่งวุ่นวายแล้ว เจ้าในยามนี้ฝ่าออกไปไม่ได้หรอก ถ้าอยากออกไปจริงๆก็ตั้งใจบำเพ็ญฝึกฝนเสีย เช่นนี้ผ่านไปสักสี่ห้าสิบปีก็น่าจะทำได้แล้ว”

เสียงนั้นแผ่วหวิวล่องลอย ฟังไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชาย ถึงขั้นที่ฟังไม่ออกเลยว่าหนุ่มหรือแก่ ทว่ากู้ซีจิ่วกลับรู้สึกว่าร่างกายแข็งทื่อไปทันที!

น้ำเสียงล่องลอยนี้คล้ายกับเสียงที่พูดพล่ามอยู่ข้างหูว่าเธอฝ่าฝืนลิขิตสวรรค์อันใดสักอย่าง ในตอนที่ดวงวิญญาณเธอเพิ่งแตกสลายแล้วถูกขังไว้ในเมฆ!

ยามนั้นเธอซัดฝ่ามือใส่ทีหนึ่ง จากนั้นเธอก็ถูกปลดปล่อยร่วงหล่นลงมาจากก้อนเมฆ ติดตามอยู่ข้างกายตี้ฝูอีตลอดมา ยามนี้เธอถูกเจ้าของเสียงนี้กักขังไว้อีกแล้วหรือ?!

“เจ้าเป็นผู้ใด?!” กู้ซีจิ่วถามเสียงเข้ม

“ไม่ต้องสนใจว่าข้าคือผู้ใด เจ้าสนใจเพียงการฝึกฝนของเจ้าเถอะ”

กู้ซีจิ่วยิ้มหยัน “ข้าชิงชังสิ่งที่เล่นกลหลอกลวงยิ่งนัก! เจ้าคือวิถีสวรรค์รึ?” เธอจำได้รางๆ ว่าตอนที่ถูกขังไว้ในเมฆ เสียงนั้นบอกว่าเธอฝ่าฝืนวิถีสวรรค์อันใดสักอย่าง

“หาใช่ไม่ ข้าเป็นเพียงผู้ถ่ายทอดบัญชาสวรรค์เท่านั้น และเป็นผู้ควบคุมดูแลด้วย”

กู้ซีจิ่วรู้สึกไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง จากนั้นก็ยิ้มเยาะ “อันที่จริงข้าข้องใจยิ่งนักเสมอมา ข้าฝ่าฝืนวิถีสวรรค์อันใด? ในเมื่อเจ้าอยู่ที่นี่แล้วสามารถแถลงไขแก่ข้าได้หรือไม่?”

————————————————————