บทที่ 1748+1749

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1748 เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้?

ตอนที่เธอถูกขังไว้บนเมฆ ถึงแม้เสียงนั้นจะเอ่ยพล่ามอยู่ข้างหูเธอ แต่ตัวเธอในยามนั้นอยู่ในสภาพสะลึมสะลือ จึงไม่ได้ใส่ใจเลย

ตอนนี้เธอรู้สึกว่าโชคชะตาของตนกำลังมุ่งไปสู่ทิศทางที่น่าเหลือเชื่ออันใดอยู่ อดใจไว้ไม่อยู่จึงเอ่ยถามออกมา

เสียงนั้นเงียบไปครู่หนึ่ง “เจ้าไม่ควรตาย…”

กู้ซีจิ่วงงนิดหน่อย เธอยิ้มเยียบเย็น “ข้าสู้กับมารสวรรค์จนตัวตายไม่ดีหรือไง? หากว่าข้าไม่ใช้วิธีนี้ ก็ไม่มีทางสังหารเขาได้! ข้าช่วยปวงประชาให้พ้นภัย ต่อไม่มีผลงานก็ไม่น่าจะมีโทษกระมัง…”

เสียงนั้นถอนหายใจ “อันที่จริงเจ้าไม่จำเป็นต้องลงมือเลย หวงถูจัดการเขาได้”

มุมปากเธอยกเป็นรอยยิ้มเยาะหยันแวบหนึ่ง “ที่แท้ใครจะเป็นผู้สังหารมารสวรรค์พวกเจ้าก็จัดแจงไว้แต่แรกแล้วสินะ? มารสวรรค์มีเพียงเทพศักดิ์สิทธิ์ที่จัดการได้งั้นรึ? ถ้าผู้อื่นจัดการก็นับว่าฝ่าฝืนวิถีสวรรค์สินะ?”

“ก็มิใช่เช่นนี้…เพียงแต่ด้วยฝีมือของมารสวรรค์ ก็มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถจัดการให้สิ้นซากได้…”

“แต่ข้าก็จัดการเขาให้สิ้นซากแล้วเหมือนกันนี่! หรือว่าเขายังไม่ตาย?”

“ตายแล้ว! เพียงแต่เจ้าก็เอาชีวิตของเจ้าเข้าแลกด้วย…” เสียงนั้นแผ่วหวิว

กู้ซีจิ่วมีน้ำโหแล้ว เธอสละชีวิตตัวเองนี่มันผิดมากหรือไง?

“ใช้ชีวิตน้อยๆ ของข้าแลกกับชีวิตของมารสวรรค์ ข้าคิดว่าคุ้มกันแล้ว!”

“ไม่คุ้มกันเลย…” เสียงนั้นยังคงราบเรียบไร้อารมณ์ “ชีวิตของเจ้ามีค่ากว่าเขามากนัก!”

กู้ซีจิ่วนิ่งงัน

ชีวิตของเธอมีค่ากว่ามารสวรรค์งั้นหรือ? ไม่ใช่กระมัง?! เธอเป็นแค่ทูตสวรรค์ธรรมดาๆ คนหนึ่ง ไม่ใช่แม้แต่สานุศิษย์สวรรค์ด้วยซ้ำ…

หรือว่าเธอจะยังมีฐานะอันใดที่ซ่อนเร้นไว้อยู่?

หัวใจกู้ซีจิ่วพลันเต้นแรงขึ้นมา เธอนึกถึงตอนที่ไปดูดาวกับตี้ฝูอี ได้เห็นดาวใหญ่ที่สุกสว่างที่สุดสองดวงนั้น คล้ายว่ามีอยู่ดวงหนึ่งที่เป็นตัวแทนของเธอ…

ตอนนั้นเธอบอกว่าจะอยู่เคียงข้างเขาทอดมองไปทั่วหล้า จะไม่เป็นลูกไก่ที่ซุกอยู่ใต้ปีกเขาอีก หรือว่าฐานะที่แท้จริงของเธอสามารถเทียบเคียงกับตี้ฝูอีได้?

“เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้?” เธอต้องการความจริง

ครั้งนี้เสียงนั้นเงียบไปนาน “อีกสี่สิบห้าสิบปีให้หลังพอเจ้าออกมาได้ก็จะรู้เอง”

สี่สิบห้าสิบปี?! เธอรอนานขนาดนั้นไม่ไหวแล้ว!

คล้ายว่าเธอจะนึกอะไรได้แล้ว เอ่ยออกไปอย่างคล้ายว่าไม่มีเจตนา “บนโลกนี้มีถ้อยคำที่กล่าวไว้ว่าหนึ่งนภามิอาจมีได้สองตะวัน ปวงชนมิอาจมีสองราชันได้ใช่หรือไม่?”

เสียงนั้นคล้ายจะอึกอักอยู่ครู่หนึ่ง “นี่…”

ไม่รอให้เสียงนั้นกล่าววาจาออกมา กู้ซีจิ่วก็เอ่ยต่อไปแล้ว “ในเมื่อเจ้าเป็นผู้ถ่ายทอดบัญชาสวรรค์ ตามหลักแล้วไม่อาจพูดปดได้ ใช่หรือไม่?”

“นี่…”

เสียงนั้นเงียบงันไปเนิ่นนาน และด้วยความเงียบงันของเสียงนั้น หัวใจของกู้ซีจิ่วก็ค่อยๆ จมดิ่งลงไปทีละชุ่นๆ…

ความเงียบในยามนี้แทบจะเป็นการยอมรับโดยปริยายแล้ว…

“ข้าคือว่าที่เทพศักดิ์สิทธิ์องค์ใหม่ใช่ไหม?” น้ำเสียงเธอแฝงความสั่นพร่าเล็กน้อยเอาไว้ ไม่ยินดีเลยสักนิด!

เสียงนั้นตะลึงไปเล็กน้อย แค่นี้ก็เดาได้แล้วหรือ?! เขาไม่ได้พูดอะไรเลยนะ!

ความเงียบงันดำเนินต่อไป

“ข้าจะเข้าแทนที่เขาใช่ไหม? เข้าแทนที่เทพศักดิ์สิทธิ์หวงถูสินะ?” แต่ละคำถามของกู้ซีจิ่วเฉียบคมขึ้นเรื่อยๆ ค่อยๆ เข้าใกล้ศูนย์กลางของปัญหาไปที่ละก้าว

ประเด็นสำคัญบางอย่างที่ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็คิดไม่กระจ่างเลยราวกับในที่สุดก็พบทางสว่างแล้ว แต่เธอไม่ต้องการทางสว่างเช่นนี้!

ความรู้สึกนั้นราวกับถูกดูดกลืนเข้าไปในวังวนที่มืดมิด ความจริงที่คาดเดาออกมาโหดร้ายเกินไป โหดร้ายจนทำให้เธอไม่อาจยอมรับได้เลย!

ความจริงแล้วเธออยากได้ยินเสียงนั้นเอ่ยปฏิเสธ แม้ว่าจะเป็นการหัวเราะหาว่าเธอคิดเพ้อเจ้อเหลวไหลก็ได้…

ผลลัพธ์คือเสียงนั้นเสมือนเป็นใบ้ไปแล้ว ไม่ยอมพูดสักคำ

กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าทั้งร่างอ่อนยวบไปหมด แทบจะลอยอยู่กลางอากาศไม่ไหวแล้ว…

วาจาของมู่เฟิงผุดวาบขึ้นมาในใจอีกครั้ง เวลาของเขาเหลือไม่มากแล้ว…

————————————————————————-

บทที่ 1749 ข้าแค่อยากรู้ว่าเขายังเหลือเวลาอยู่เท่าไหร่?!

“วันที่ข้าคืนชีพจะเป็นวันตายของเขาใช่หรือไม่?” กู้ซีจิ่วเอ่ยำถามที่แทบจะไม่กล้าถามเลยออกมา หลังจากเอ่ยถามประโยคนี้ออกมา เธอก็กลั้นหายใจตามสัญชาตญาณ…

เสียงนั้นยังคงเงียบงันเช่นเดิม

หัวใจดั่งถูกแช่แข็ง สมองพร่าเบลอ ความรู้สึกนั้นเปรียบเสมือนพลัดตกลงไปในโพรงน้ำแข็งในวันเหมายันที่หนาวเหน็บที่สุด โลหิตทั้งร่างแทบจะจับตัวแข็งทื่อแล้ว

เป็นการบรรยายถึงสถานการณ์ของกู้ซีจิ่วในยามนี้

แน่นอนว่าตอนนี้เธอยังไม่มีร่างกาย แต่มีความรู้สึกเช่นนั้น!

เธอก้าวถอยหลังไป แทบจะหดตัวเข้าหากันแล้ว หลอมเข้ากับอากาศธาตุ “เช่นนั้นข้าจะฟื้นคืนชีพไปทำไมกัน?! ข้าไม่อยากคืนชีพแล้ว!”

หากว่าการคืนชีพของเธอต้องแลกด้วยชีวิตของเขา เช่นนั้นเธอยอมไม่ฟื้นคืนชีพ!

“เรื่องนี้…ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้า” เสียงนั้นเงียบงันไปเนิ่นนาน ในที่สุดก็เอ่ยขึ้นมาแล้ว ทว่าถ้อยคำที่เอ่ยออกมากลับโหดเหี้ยมไร้ปราณี “ยังมีอีก ชะตาของเขาถูกกำหนดไว้แล้ว เจ้าจะคืนชีพหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวข้องกัน ถ้าเจ้ามุมานะฝึกฝน อาจคืนชีพได้หลังผ่านพ้นไปสี่สิบห้าสิบปี ถ้าเจ้ายืดยาดไม่ฝึกฝน ผ่านพ้นไปสี่ร้อยห้าร้อยปีเจ้าก็จะถูกบังคับให้ฟื้นคืนชีพ เป็นความจริงที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้ อย่างมากเจ้าก็จะได้รับทัณฑ์สวรรค์อีกครั้ง เนื่องจากฝ่าฝืนลิขิตสวรรค์ก็เท่านั้น…”

กู้ซีจิ่วตกตะลึง เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกชิงชังสวรรค์เช่นนี้!

เธอหลับตาลงเล็กน้อย เอ่ยถามอีก “สรุปแล้วลิขิตสวรรค์คือสิ่งใดกันแน่? ใครเป็นผู้บัญญัติ?”

เสียงนั้นหัวเราะเบาๆ “จำได้ว่ามนุษย์อย่างพวกเจ้ามีคำกล่าวอยู่ประโยคหนึ่ง วันนี้ได้ทราบแล้วว่าลิขิตสวรรค์ไร้เมตตา…ลิขิตสวรรค์ก็คือโชคชะตา พวกเจ้าต่างมีโชคชะตาของตัวเอง ไม่มีผู้ใดสามารถฝ่าฝืนได้…ต่อให้เป็นเทพเซียนในดินแดนเบื้องบนก็ไม่อาจทำได้ ดังนั้นเจ้าอย่าได้คิดเคลื่อนไหวอื่นใดเลย”

กู้ซีจิ่วเงียบไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็ถามขึ้น “เช่นนั้นในผังชะตาของสวรรค์ ข้ากับเขาไร้วาสนาต่อกันใช่หรือไม่?”

เสียงนั้นเงียบงันไปอีกครั้ง

น่าจะไร้วาสนาต่อกันจริงๆ กระมัง บุพเพนี้เป็นคนผู้นั้นฝืนช่วงชิงมา ดังนั้นคนผู้นั้นจึงต้องจ่ายค่าตอบแทนที่หนักหนาสาหัสยิ่ง…

เพียงแต่คนผู้นั้นฝืนเบี่ยงเบนลิขิตสวรรค์หลายต่อหลายครั้ง ถึงขั้นที่หลุดออกจากผังชะตาของสวรรค์อยู่หลายครั้ง แทบจะอยู่เหนือการควบคุมแล้ว ในยามนี้ก็นับเป็นการฝืนเบี่ยงกลับมา…

“เขายังเหลือเวลาอีกเท่าไหร่? ห้าสิบปีหกสิบปี?” กู้ซีจิ่วถามต่อไป ในเมื่อเธอจะฟื้นคืนชีพในอีกสี่สิบห้าสิบปีให้หลัง เช่นนั้นอย่างน้อยเขาก็น่าจะยืนหยัดอยู่จนถึงยามนั้นได้กระมัง?

อาณาจักรไม่อาจขาดประมุขได้แม้เพียงวันเดียว เช่นนั้นแผ่นดินก็คงไม่อาจขาดเทพศักดิ์สิทธิ์ได้แม้เพียงวันเดียวเช่นกันกระมัง?

เสียงนั้นถอนหายใจเบาๆ “เจ้าไม่ต้องคิดแล้วว่าเขาเหลือเวลาอยู่เท่าไหร่ เจ้ากับเขาไม่มีโอกาสได้พบกันอีกแล้ว เจ้าคิดไปเถอะว่าหลังจากคืนชีพแล้วจะบริหารจัดการใต้หล้านี้อย่างไร!”

กู้ซีจิ่วรู้สึกเพียงว่าในสมองเกิดเสียงดังตูมขึ้น ไม่มีโอกาสได้พบกันอีกแล้วหรือ?!

อายุขัยของเขาแม้กระทั่งสี่สิบห้าสิบปีก็อยู่ไม่ถึงแล้วใช่ไหม?!

“เขายังอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่?! ข้าแค่อยากรู้ว่าเขายังเหลือเวลาอยู่เท่าไหร่?!”

เสียงนั้นเงียบไปแล้ว

หัวใจของกู้ซีจิ่วกระสับกระส่ายยิ่งนัก “เจ้าพูดมาสิ! เขาเหลือเวลาอยู่เท่าไหร่?!” ดวงหน้าที่ซีดเซียวของตี้ฝูอีรวมถึงเรือนผมขาวโพลนของเขาแวบเข้ามาในสมองกู้ซีจิ่ว มือเท้าเริ่มสั่นสะท้าน

คงมิใช่ว่าเขาเข้าสู่ช่วงความเสื่อมถอยทั้งห้า[1]แล้วกระมัง?!

น้ำเสียงเธอแฝงแรงอารมณ์ไว้แล้ว “เจ้าจะไม่พูดใช่ไหม?ถ้าเจ้าไม่พูดข้าจะไม่เพียงแต่ยืดยาดไม่ฝึกฝนเท่านั้น ต่อให้ฟื้นคืนชีพข้าก็จะไม่กระทำเรื่องใดทั้งสิ้น อีกทั้งจะกลายเป็นมารทำลายโลกนี้ให้พินาศไปเสียเลย ข้าเป็นคนพูดจริงทำจริง! บอกมา!”

เสียงนั้นคล้ายจะสำนึกเสียใจแล้วที่คุยกับเธอไปมากมายถึงเพียงนี้ เอ่ยอย่างเยียบเย็นว่า “หากเจ้ากลายเป็นมารจะได้รับโทษทัณฑ์เพิ่มเป็นเท่าตัว!”

ในสมองกู้ซีจิ่วเกิดเสียงดังหึ่งๆ แล้ว ยอมเสี่ยงเสียค่าตอบแทนที่สูงล้ำ “อย่างไรก็ได้! แม้แต่ความตายข้ายังไม่หวั่นเกรงเลย ไหนเลยจะยังกลัวโทษทัณฑ์ของพวกเจ้า?! สรุปแล้วเขาเหลือเวลาอยู่กี่ปี? สามสิบสี่สิบปีหรือ? ”

ในที่สุดเสียงนั้นทอดถอนใจแล้ว “ไม่ได้…มากขนาดนั้น”

หัวใจของกู้ซีจิ่วจมดิ่งอีกครั้ง “เช่นนั้นก็ยี่สิบสามสิบปีกระมัง? ต้องรอเวลาให้ข้าออกไปรับช่วงต่อใช่ไหม?”

——————————————————————-

[1]  ความเสื่อมถอยทั้งห้า ตามความเชื่อของชาวจีนแม้ว่าเทพเวียนจะมีอายุขัยยืนยาว แต่ก็มีวันต้องดับสูญเช่นกัน เมื่ออายุขัยของเทพเซียนใกล้หมดลงจะเกิดความเปลี่ยนแปลงห้าประการ เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าใกล้จะสิ้นบุญแล้ว