เรนงุนงงไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับไปอย่างไรดี เขาย่นคิ้วลำบากใจ

เขาไม่ได้รู้สึกลำบากใจเพราะช่วยเหลือมิเอลไม่ได้ แต่เป็นเพราะเรนได้พูดคุยตัวต่อตัวกับอาเรียและมิเอลมาก่อน จึงได้สัมผัสถึงตัวตนสองบุคลิกของมิเอลด้วยตัวเองมาแล้ว เมื่อมิเอลแสดงท่าทางขอร้องเขาขนาดนี้ขึ้นมา จึงทำให้รู้สึกอึดอัดใจ

จากนั้นเรนก็รับรู้ได้ถึงสายตาของอาซที่กำลังเฝ้าดูสถานการณ์นี้อย่างสนุกสนาน เขาจึงพูดออกมาราวกับช่วยอะไรเธอไม่ได้

“…เอ่อ ผมขอโทษด้วยนะครับ เจ้านายของผม…ไม่ใช่สิ คนที่ผมรับใช้คือท่านอัสเทอโรพีครับ”

“…คะ”

“ทั้งน้ำใจและของมีของค่าที่เคยส่งให้กับทางคุณนั้น ที่จริงแล้วเป็นเพราะทางเราสับสนระหว่างคุณกับคุณอาเรียเลยส่งไปผิดคนน่ะครับ ในตอนแรกทางเรายังไม่รู้ชื่อของคุณอาเรีย รู้แต่เพียงว่าเป็นเลดี้จากตระกูลเคานต์โรสเซนต์เท่านั้นน่ะครับ”

เรนตอบออกไปเช่นนั้น แล้วหันหลังให้มิเอลที่สติหลุดลอยและจ้องเขาอย่างเลื่อนลอยด้วยดวงตาแห้งผาก ก่อนจะกล่าวทักทายกับอาซ

“ขออภัยที่ทักทายช้าไปครับ จู่ๆ เธอก็เริ่มพูดขึ้นมา…ผมจัดการงานที่ท่านสั่งไว้เสร็จเรียบร้อยแล้วจึงกลับมาครับ”

“เหนื่อยหน่อยนะ ฉันฝากบอกไปแล้วนะว่าให้นายกลับไปพักผ่อนที่บ้าน ไม่รู้จะมาให้เจอเรื่องไม่ดีแบบนี้ทำไม”

“ผมได้ยินแล้วละครับ แต่ผมกลัวจะลืมหน้าตาของเจ้าชายไป ก็เลยมาน่ะครับ”

เรนบ่นพึมพำด้วยสีหน้าเศร้าเล็กน้อยโดยไม่เกรงกลัว ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้เป็นการกวนอารมณ์อาซ

“หากเสร็จธุระเรียบร้อยแล้วจะกลับทันทีเลยไหมครับ”

“…จะบอกว่าให้กลับไปทำงานสินะ วิการ์คงพูดอะไรสักอย่างไว้ละสิท่า”

“…”

อาซและเรนพูดเล่นกันไปมาต่อหน้าคนที่ไม่สามารถแหวกว่ายออกมาจากบ่อแห่งความสิ้นหวังได้ในตอนนี้

คนสองคนที่ทำให้มิเอลตกอยู่ในภาวะสิ้นหวัง

“ดีล่ะ ในเมื่อหมดธุระลงแล้วก็ควรจะกลับไปสักที เรื่องที่จะพูดกับนักโทษก็ไม่มีอีกแล้ว และมันก็ไม่มีอะไรให้สืบตั้งแต่ต้นแล้วด้วย”

อาซพูดออกมาเช่นนั้นด้วยสีหน้าเบาใจราวกับสลัดเรื่องน่ารำคาญใจออกไปได้แล้ว

ถ้าจบเรื่องของมิเอลในตอนนี้ลงแล้ว อาเรียก็จะหลุดออกจากบ่วงในอดีตได้และใช้ชีวิตโดยมองไปที่อนาคตซึ่งมีเขารวมอยู่ด้วยเท่านั้น

“คิดว่าเป็นกรรมตามสนองแล้วกัน เพราะในอดีตเธอก็ทำกับเลดี้อาเรียแบบนี้เหมือนกัน ไม่สิ อาจจะแย่กว่าด้วยซ้ำ เพราะอย่างน้อยร่างกายเธอก็ยังปกติดีอยู่นี่นา”

“นั่นหมายความว่าอะไรน่ะ…!”

อาซหันหลังให้กับมิเอลอย่างเย็นชา มิเอลทำหน้าไม่เข้าใจเป็นอย่างมากท่ามกลางความสิ้นหวัง

ใจจริงแล้วอาซเองก็อยากตัดลิ้นมิเอลเหมือนกับที่อาเรียเคยโดนเมื่อในอดีต แต่เพราะไม่แน่ใจว่าบางทีอาเรียอาจจะอยากคุยกับมิเอลเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้ เขาจึงกลั้นความต้องการนั้นไว้และออกมาจากคุก

“ได้ตัดสินใจเรื่องการลงโทษแล้วหรือยังครับ”

เรนถามอาซที่กำลังมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้าขากลับอย่างเงียบๆ

“ไม่รู้สิ ฉีกแขนฉีกขาดีไหมนะ”

“ไม่โหดร้ายเกินไปหน่อยหรือครับ”

“เทียบกับที่เลดี้อาเรียต้องเจอแล้วมันยังน้อยไปด้วยซ้ำ”

คำตอบนั้นทำเอาเรนเอียงคอสงสัยขึ้นมา

“ถ้าผมเข้าใจผิดไปก็ต้องขออภัยด้วยครับ แต่ดูเหมือนเรื่องที่เลดี้อาเรียเจอไม่ได้รุนแรงถึงขนาดนั้นนะครับ แน่นอนว่าการที่มิเอลสร้างข่าวลือเสียๆ หายๆ หรือการใส่ยาพิษในน้ำชาและการโยนความผิดให้กับคุณอาเรียนั้นทำให้เธอสมควรตายก็จริง แต่ความผิดทั้งหมดนั่นก็ยังไม่หนักหนาถึงขนาดที่จะต้องลงโทษด้วยการฉีกแขนขาเลยนี่ครับ ทั้งที่ความผิดฐานก่อกบฏยังจบลงด้วยการขังคุกเท่านั้นเองครับ”

ตาของอาซขยายขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดของเรนที่กำลังสื่อว่านั่นไม่เป็นการลงโทษที่เข้มงวดเกินเหตุเพราะมีความรู้สึกส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้องหรอกหรือ เพราะอาซรู้ถึงเรื่องในอดีตที่เรนไม่รู้ เขาจึงรู้ว่านั่นไม่ใช่การลงโทษที่มากเกินเหตุเลยแม้แต่น้อย

หากเป็นไปได้เขาอยากจะสั่งทรมานเธอในขณะที่มีสติครบถ้วน แล้วจุดไฟเผาไม่ให้เหลือแม้แต่เส้นผมเลยด้วยซ้ำ

แต่ความจริงแล้วหากทำแบบนั้นลงไป แน่นอนว่าจะต้องโดนครหาว่าเป็นเจ้าชายบ้าคลั่งแน่ๆ จึงได้ตอบเรนไปว่าหากลงโทษด้วยการฉีกแขนขาล่ะเป็นอย่างไร แต่เมื่อเห็นว่าเรนตกใจกลัวและแย้งกลับมา อาซจึงได้แต่กลืนความจริงลงไป

“ถ้าจะแสดงออกว่าไม่ชอบขนาดนั้นแล้วนายจะถามฉันเพื่ออะไรล่ะ ถ้าฉีกแขนขาไม่ได้ก็เหลืออยู่แค่โทษทัณฑ์เดียวแล้วละ”

นั่นก็คือการใช้เครื่องกิโยตีนแบบเดียวกับที่ใช้ประหารฝ่ายขุนนางนั่นเอง เป็นวิธีเดียวกับที่อาเรียเคยโดนเมื่อในอดีต

วิธีการประณามด้วยการป่าวประกาศความผิดทั้งหมดต่อหน้าทุกคน จากนั้นก็ปล่อยให้สิ้นลมหายใจท่ามกลางเสียงโห่ร้องแห่งความยินดี

“ผมถามเพราะคิดว่าบางทีอาจจะยกโทษให้กับความผิดในครั้งนี้เหมือนคราวที่แล้วน่ะครับ”

“ต่อจากนี้จะไม่มีเรื่องแบบนั้นแล้วละ เพราะทุกอย่างมันจบลงแล้ว ฉันคิดว่าอย่างนั้นละนะ”

หากการแก้แค้นของอาเรียสิ้นสุดลง ก็ไม่จำเป็นต้องมีเมตตาอีกต่อไป

อาซกลับมาที่พระราชวังทันที เขาไล่ข้ารับใช้ออกไปจากห้องทำงานพร้อมบอกว่าต้องจัดการงานด่วนและต้องการเวลาคิดสักพัก

ในขณะที่พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้วและความมืดได้ปกคลุมลงมา อาซข้ามมิติพื้นที่ไปที่คฤหาสน์ของอาเรีย

“เลดี้ครับ ผมออกไปได้ไหมครับ”

อาซอยู่ในห้องเล็กๆ ที่มีอยู่ในห้องของอาเรียอีกทีหนึ่ง เขาหันไปทางนอกประตูและส่งสัญญาณออกไป อาเรียสร้างห้องนั้นขึ้นมาเพื่ออาซ โดยมีโซฟาและโต๊ะสำหรับคนหนึ่งคนถูกจัดเตรียมเอาไว้

เพื่อไม่ให้ถูกเปิดเผยเรื่องพลังและหลบสายตาผู้คนแล้ว นั่นยังมีความหมายอาซสามารถมาหาเธอได้ทุกเมื่อและเป็นการปกป้องชีวิตส่วนตัวของอาเรียด้วย

“คุณอาซ”

ดูเหมือนอาเรียจะอยู่ที่คฤหาสน์พอดี อาเรียจึงตอบอาซด้วยน้ำเสียงตกใจเป็นอย่างมาก

เมื่อแน่ใจแล้วว่าอาเรียอยู่ในห้อง อาซก็ค่อยๆ เปิดประตูออกมาอย่างระมัดระวัง

“ช่างเป็นห้องที่มีประโยชน์จริงๆ นะครับ”

“ดีจังเลยนะคะที่ทำเอาไว้”

อาเรียยิ้มต้อนรับอาซ เธอเรียกสาวใช้และสั่งให้เตรียมน้ำชาให้อีกแก้วหนึ่ง

แต่เพราะไม่สามารถให้สาวใช้เห็นภายในห้องได้ เธอจึงสั่งให้วางเอาไว้หน้าห้องแทน สาวใช้เอียงคอสงสัย แต่เธอก็คิดว่านั่นคงจะมีเหตุผลอะไรบางอย่าง จึงนำชาวางไว้นอกประตูและกลับไปตามที่สั่ง

“ทั้งที่ยุ่งอยู่แท้ๆ เหตุใดถึงมาเวลานี้หรือคะ”

“การสืบสวนคดีของเด็กคนนั้นเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ เหลือเพียงแค่ตัดสินโทษเท่านั้นครับ”

“…เอ่อ…เพราะอย่างนั้นเลยมาหาดิฉันหรือคะ”

เพื่อขอคำอนุญาตครั้งสุดท้ายจากฉันสินะ

อาเรียรับรู้ได้ถึงเจตนาของอาซ เธอฉิบชาไปหนึ่งทีและครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนจะค่อยๆ พูดออกมาว่า

“ทุกสิ่งที่เจอมาดิฉันเอาคืนไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้นดิฉันไม่ติดใจอะไรแล้วค่ะ กลั่นแกล้งกลับไปเท่าที่ควรจะทำ และก็ไม่มีความจำเป็นต้องยื้อชีวิตของเธอไว้อีกต่อไปค่ะ ไม่แน่บางทีเธออาจจ่ายค่าตอบแทนมากเกินไปแล้วก็ได้ค่ะ”

อาเรียพูดออกมาพร้อมสีหน้าที่ไม่มีความเศร้าใจหรือความเสียดายอยู่เลย

ราวกับบอกว่าเรื่องที่จะต้องทำได้ลุล่วงหมดทุกอย่างแล้ว ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่อดีตจะถูกสลัดทิ้งไปเสียที

“เข้าใจแล้วครับ ถ้าอย่างนั้นผมจะดำเนินการตามกฎหมายของราชอาณาจักรนะครับ”

อาซตอบกลับมาด้วยสีหน้าที่ว่าในที่สุดเรื่องที่หวังมาตลอดก็จะได้สิ้นสุดลงเสียที

“ผมไม่อยากไว้ชีวิตเธอแม้แต่เสี้ยววินาที เลยคิดว่าจะดำเนินการตัดสินโทษทันทีในช่วงเช้ามืดของวันพรุ่งนี้ครับ …จะเป็นอะไรไหมครับหากไม่ได้พบมิเอลเป็นครั้งสุดท้าย”

“ครั้งสุดท้าย…นั่นสินะคะ”

อย่างที่อาซพูดเอาไว้ หากตัดสินโทษในเช้ามืดของวันพรุ่งนี้ ก็จะไม่สามารถเจอหน้ามิเอลได้เลย

อีกอย่างอาเรียเองก็มีเรื่องที่อยากจะถามอีกด้วย เป็นเรื่องที่อยากถามมาตลอดตั้งแต่ก่อนที่เธอจะพลิกนาฬิกาเสียอีก แม้ว่าเธออาจจะไม่ได้คำตอบที่ถูกต้องก็ตาม แต่อย่างน้อยก็อยากจะถามดู

หลังจากอาเรียตกลงแล้ว อาซก็ลุกขึ้นและยื่นมือออกมา เนื่องจากเป็นสถานการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมานักต่อนักแล้ว อาเรียจึงเข้าใจถึงเจตนาของอาซในทันที เธอลุกขึ้นจากที่นั่งเช่นเดียวกับอาซและจับมือเขาไว้

จากนั้นชั่วพริบตาทรรศนะที่มองเห็นก็เปลี่ยนไป อาเรียมาถึงคุกอันโสโครกที่เปียกชื้นและมืดมิดซึ่งอาศัยแสงสว่างจากคบเพลิงหลายอัน เธอก้มลงมองเท้าของตัวเองแล้วถอนหายใจโล่งอกออกมา โชคดีจริงๆ ที่ใส่รองเท้าสำหรับสวมในบ้านอยู่

“…”

เมื่อทอดสายตาไปยังทางที่ได้ยินเสียงกลืนน้ำลายด้วยความตกใจ ก็ได้พบกับมิเอลที่ถูกขังอยู่ในคุกสกปรกและคับแคบ มิเอลไม่สามารถซ่อนสีหน้าตกใจที่ได้เห็นอาเรียและอาซปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันได้

“ก็เคยเห็นมาแล้วรอบหนึ่ง เธอตกใจอะไรขนาดนั้นล่ะ”

อาเรียถามออกไปเช่นนั้น ส่วนอาซก็บอกว่าขอตัวสักพักและหลีกออกไป ดูท่าเขาคงอยากให้อาเรียได้พูดคุยอย่างสบายๆ โดยที่ไม่มีใครเข้ามาขวางนั่นเอง

“…ทำไมถึงทำแบบนี้กับฉันได้คะ”

ดูเหมือนในที่สุดมิเอลก็เข้าใจแล้วว่าอาเรียตั้งใจไล่ต้อนเธอลงเหว เธอถามออกไปอย่างไร้เรี่ยวแรงแต่ยังคงน้ำเสียงเยือกเย็นไว้อยู่

“เธอต่างหากล่ะ ทำไมถึงทำกับฉันแบบนั้นได้”

“…ฉันทำอะไร”

ทว่ามิเอลกลับถามออกมาอีกครั้งด้วยสายตาดูหมิ่นต่อคำถามที่เหมือนการซักไซ้ของอาเรีย ทั้งที่ไม่ได้ทำความผิดใหญ่โตอะไรแท้ๆ เหตุใดถึงกลั่นแกล้งเธอได้ถึงขนาดนี้

อาเรียตอบเจ้าของแววตานั้นเหมือนเช่นเวลาปกติ

“ครั้งแรกที่เธอทำเรื่องเลวๆ ก็คือตอนที่เธออายุประมาณสิบสามสินะ เธอส่งสาวใช้ของเธอมาให้ฉันและสั่งให้พวกเธอยุยงให้ฉันทำเรื่องแย่ๆ คงหวังจะให้ฉันกลายเป็นนางร้ายแบบที่เธอปล่อยข่าวออกไปละสิ”

เพราะนั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งในอดีตและปัจจุบัน ทำให้มิเอลกลั้นหายใจด้วยความตกใจ

“และฉันก็ช่างโง่เขลาสิ้นดี เผลอเต้นไปตามจังหวะของพวกสาวใช้จนทำเรื่องแย่ๆ กับเธอขึ้นมา และไม่สามารถประพฤติตัวได้อย่างเหมาะสมจนในที่สุดผู้คนก็ลือกันมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าฉันเป็นนางร้ายสมกับข่าวลือ”

ทว่าเนื้อหาที่อาเรียพูดตั้งแต่ส่วนนี้นั้นไม่เคยมีอยู่ในความทรงจำของมิเอลเลย เธอจึงขมวดคิ้วขึ้นมา ที่จริงแล้วอาเรียกำลังพูดเรื่องอะไรกันแน่

อาเรียพูดต่อไป

“ทุกคนพากันยกย่องฉันที่เป็นแบบนั้น แต่ข้างในกลับด่าทอว่าฉันคือนางร้ายงี่เง่าซื่อบื้อ ต่อหน้าก็พูดว่าฉันสวยและเลิศเลอกว่าคนอย่างเธอ แต่ที่จริงแล้วฉันมันก็แค่ตุ๊กตาที่มีแต่เปลือกนอกเท่านั้น”

“นี่ นี่พูดเรื่องอะไรน่ะ ฉันไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย…! ”

“เพราะอย่างนั้นนิสัยฉันก็ค่อยๆ บิดเบี้ยวขึ้นมา กลายเป็นนางมารที่กลั่นแกล้งน้องสาวและรู้สึกต่ำต้อยด้อยค่าไปในที่สุด ทุกอย่างเป็นเพราะเธอ”

อาเรียพูดออกมาอย่างไม่เร่งรีบจนถึงตอนนั้น จากนั้นสีหน้าของเธอก็ดูเหมือนคนที่ใจแตกสลาย

เมื่อเธอพลิกนาฬิกาทรายและได้โอกาสแก้แค้นขึ้นมา เธอก็แสร้งทำเป็นโชคดีและไม่เป็นอะไรมาตลอด แต่พอนึกถึงอดีตอันน่าสะพรึงกลัวขึ้นมาทีไร ก็ถูกความเคียดแค้นและความรู้สึกที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมเข้ามาครอบคลุมอีกครั้ง

แม้จะพลิกนาฬิกาทรายย้อนเวลากลับมาได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าการตายของแม่เธอจะหายไป และไม่ได้แปลว่าเธอจะไม่ถูกบั่นคออีก

ความเวทนา ความรู้สึกด้อยค่า ความโกรธแค้นและความอยุติธรรมทั้งหมดมันถูกสลักลึกอยู่ในหัวและในจิตใจของอาเรียไปแล้ว

ทุกอย่างยังแจ่มชัดและไม่สามารถลบออกไปได้ตลอดกาล

“…ถ้าเธอทำกับฉันแค่นั้น ฉันก็คงไม่ได้ย้อนเวลากลับมาแบบนี้หรอก และก็คงจะจบลงด้วยการใช้ชีวิตแบบนางมารร้ายโง่ๆ แค่นั้น! ทำไมแกต้องทำให้ฉันกับแม่ตกอยู่ในสภาพที่น่าเวทนาแบบนั้นด้วย เรื่องชนชั้นมันสำคัญอะไรนักหนา…! ถึงกับทำให้ฉันแค้นกับความอยุติธรรมจนต้องย้อนเวลากลับมาแบบนี้!”

เสียงตะโกนที่เก็บเอาไว้ในใจมาแสนนานดังก้องผ่านห้องขังไปถึงหูของอาซที่รออยู่ไกลออกไปเล็กน้อย มันเศร้าจนทำให้คนที่ไม่เคยประสบกับเรื่องแบบนั้นด้วยตัวเองอย่างเขารู้สึกปวดใจขึ้นมา

ทว่ามิเอลยังคงไม่เข้าใจถึงเสียงตะโกนนั้นอยู่เช่นเคย จนในที่สุดเสียงตะโกนที่ก้องไปทั่วห้องขังอย่างไร้ทิศทางก็สลายไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นเสียงตะโกนที่ไม่มีประโยชน์อะไร

“ถึงฉันพูดไปเธอก็คงไม่เข้าใจอยู่ดี เพราะมันคืออดีตที่เธอไม่รู้ ก่อนที่ฉันจะย้อนเวลากลับมายังไงล่ะ มีแค่ฉันเท่านั้น…มีแค่ฉันคนเดียวที่รู้เรื่องอดีตอันน่าเวทนานั่น”

มิเอลจ้องมองอาเรียที่ลูบแก้มของเธอและพูดปลดปล่อยความรู้สึกออกมาราวกับมองเห็นคนบ้าอย่างไรอย่างนั้น

เธอบอกว่านางร้ายนั่นกลายเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ และยังเพ้อฝันไปเองจนเสียสติไปแล้ว

“นี่ นี่แกจะบอกว่าเพราะความเพ้อฝันบ้าๆ แบบนั้น แกเลยทำให้ฉันตกอยู่ในสภาพนี้เหรอ…”

หลังจากที่มิเอลถามออกมาเพราะรู้สึกว่านั่นไม่ยุติธรรม อาเรียก็สลัดความรู้สึกสกปรกทิ้งไปและกลับมาทำสีหน้าแบบเดิมที่เธอเคยทำมาตลอดอีกครั้ง ก่อนจะเผยถึงความจริงที่มิเอลจะรู้เอาไว้หรือไม่รู้ก็ได้ออกไป

“เพ้อฝันงั้นรึ ถึงจะอธิบายให้ฟังเป็นร้อยรอบเธอก็คงไม่เข้าใจหรอก แต่ว่าฉันน่ะมีพลังที่สามารถย้อนเวลาได้ และทุกอย่างที่ฉันพูดในตอนนี้เป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วทั้งนั้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนที่ฉันจะย้อนเวลากลับยังไงเล่า เรื่องที่เลดี้ผู้สง่างามทำขึ้นมาเพื่อฆ่านางร้ายผู้โง่เขลาไงล่ะ”

“…บ้า บ้าไปแล้วจริงๆ! ถ้าไม่บ้าแล้วละก็ไม่มีทางจะพูดอะไรไร้สาระแบบนั้นออกมาได้หรอก…!”

มิเอลตะโกนออกมาราวกับว่าที่เธอต้องกลายเป็นแบบนี้เป็นเพราะภาพเพ้อฝันและเล่ห์กลจากความบ้าของอาเรีย

ราวกับว่าฝ่ายที่ไม่ได้รับความยุติธรรมคือตัวมิเอลเอง

เธอยังคงคิดว่าความผิดที่ตัวเองก่อนั้นเบาบางอยู่เช่นเคยและตะโกนออกมาว่าตัวเองได้รับการปฏิบัติที่ไม่ยุติธรรม

“ขนาดพลังย้ายที่ยังมีเลย นับประสาอะไรกับพลังย้อนเวลาล่ะ เธอจะไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรแต่ลองคิดดูสิ ว่าลูกสาวโสเภณีที่เธอบอกว่างี่เง่าและซื่อบื้อนั้น วันดีคืนดีก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนแล้วสั่งสมอำนาจกับความมั่งคั่งขึ้นมาได้อย่างไร นั่นไม่ใช่เพราะว่ามีพลังย้อนเวลาและล่วงรู้ถึงอนาคตได้ทั้งหมดหรอกหรือ”

“…ว่า…อะไรนะ…!”

เนื่องจากความรู้สึกที่เก็บไว้เป็นเวลานานถูกปลดปล่อยออกมาและเธอก็ได้พูดสิ่งที่อยากจะพูดออกไปหมดแล้ว อาเรียจึงรู้สึกว่าไม่มีค่าอะไรให้เผชิญหน้ากับมิเอลอีกต่อไป เธอพูดทิ้งท้ายเอาไว้และเดินไปยังที่ที่อาซหายออกไป

ต่อจากนี้ไปเธอไม่มีอะไรติดใจอีกแล้ว

เธอแก้แค้นได้เท่าที่ใจอยากและได้พูดสิ่งที่อยากพูดออกไปหมดแล้ว และเหนือสิ่งอื่นใดเธอยังได้รู้จักและคบหากับผู้คนดีๆ ที่ในอดีตนั้นเธอไม่มีวันจินตนาการถึงมันได้เลย

แม้จะไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วมิเอลจะยังคิดว่าตัวเองไม่ได้รับความยุติธรรมอยู่อีกหรือไม่ แต่นั่นก็เป็นผลลัพธ์ที่น่าพอใจในแบบของมัน

เพราะการร้องตะโกนว่าตัวเองไม่ได้รับความยุติธรรมและตายไปนั้น มันเป็นการตายที่น่ากลัว ทุกข์ทรมานและน่าสังเวชมากกว่าการยอมรับและเสียใจกับคืนวันที่ผ่านมานั่นเอง

“…จะกลับเลยไหมครับ”

“ค่ะ ขอบคุณนะคะ”

เมื่อเห็นสีหน้าที่ไร้ซึ่งความทุกข์ใจของอาเรียเข้า อาซก็จับมือเธอด้วยสีหน้าพึงพอใจ

เพราะในตอนนี้เรื่องทุกอย่างได้จบลงแล้ว และอาเรียก็หลุดพ้นออกมาจากอดีตได้แล้วจริงๆ และยังมีอนาคตที่เธอจะได้ใช้ชีวิตเพื่อตัวเธอเองรออยู่

……………………………..