เช้าวันถัดมา

ทันทีที่ความมืดมิดจางหายและดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า แท่นประหารก็ถูกนำมาตั้งไว้ที่ลานกว้างอีกครั้ง

เพราะการตัดสินโทษต่อหน้าทุกคนเป็นเรื่องที่มีไม่บ่อยนัก คนที่รู้ข่าวจึงสลัดความง่วงและรีบมารวมตัวกันที่ลานกว้างแต่เช้าตรู่

แต่ละคนที่มารวมตัวกันนั้นต่างรอคอยและจินตนาการว่านักโทษคือใครและทำเรื่องน่ากลัวอะไรถึงได้มีการตั้งเครื่องกิโยตีนขึ้น ณ ลานกว้าง

น่าเสียดายที่การตัดสินโทษครั้งนี้ถูกดำเนินการอย่างกะทันหัน จึงทำให้ไม่มีพวกขุนนางที่มีชื่อเสียงมาเข้าร่วมเหมือนเช่นครั้งที่ประหารฝ่ายขุนนาง

และเป็นเพราะครั้งนี้ไม่ใช่คดีใหญ่หลวงอะไร เป็นเพียงการประหารชีวิตของเด็กผู้หญิงซอมซ่อตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่ถูกลดสถานะให้กลายเป็นสามัญชนเท่านั้น

การประหารเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ไม่มีผู้ใดให้ความสนใจอีกต่อไป

ถึงอย่างนั้นเธอก็เป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกับอาเรีย จึงมีเหล่าขุนนางที่เคารพและมีไมตรีจิตกับอาเรียมาเข้าร่วมในที่ที่ถูกเตรียมไว้ข้างเวทีประหาร ลานกว้างต่างแน่นขนัดไปด้วยผู้ชมที่บริโภคความตายและความเคราะห์ร้ายของผู้อื่นเป็นความเพลิดเพลิน

อาเรียเองก็มารอมิเอลและเตรียมตัวปลดปล่อยอดีตอันน่าสะพรึงกลัวด้วยเช่นกัน

เธอเฝ้ารอว่าสุดท้ายแล้วมิเอลจะปรากฏตัวออกมาด้วยสีหน้าเช่นไร เธอตีหน้าเศร้าสร้อยเหมือนที่มิเอลเคยทำในอดีตและใช้ผ้าเช็ดหน้าที่ซาร่าให้เป็นของขวัญเช็ดขอบตา

และแล้ว

มิเอลก็ปรากฏมาพร้อมกับรถม้าเหล็กเสียงดังน่าหนวกหู สีหน้าของเธอดูเหมือนคนไร้สติยิ่งกว่าที่อาเรียคาดหวังเอาไว้เสียอีก เป็นสีหน้าที่ถือว่าคุ้มค่ากับการพูดความจริงไปในเมื่อคืนและดูน่าสังเวชเข้ากับช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตยิ่งนัก

“ลงมา! ”

มิเอลถูกลากลงมาจากรถม้าด้วยแรงบังคับของทหาร เธอถูกผู้ชมขว้างปาก้อนหินและเศษขยะขยะใส่ตัวก่อนจะถูกลากขึ้นไปยังแท่นประหาร ในตอนนี้ไม่มีใครช่วยเป็นโล่กำบังให้เธอได้อีกแล้ว เธอจึงต้องรับมือกับความรุนแรงนั้นด้วยตัวเอง

“ฉันแค่เดาเอาไว้นะเนี่ย แต่นางสารเลวนั่นทำเรื่องชั่วอีกจริงๆ หรือนี่! ”

“มันทำเรื่องเลวๆ อะไรอีกล่ะทีนี้”

“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ แต่ว่าต้องเป็นเรื่องที่น่ากลัวและชั่วร้ายมากแน่ๆ ค่ะ! ”

ผู้คนต่างแสดงความโกรธแค้นต่อมิเอลที่ต้องขึ้นมาอยู่บนลานตัดสินถึงสองครั้งสองคราด้วยกัน

เธอจะแก้ตัวว่าตัวเองไม่ผิดอีกเปล่านะ อาเรียแอบสงสัยว่ามิเอลจะแก้ตัวว่าพี่สาวของเธอเป็นคนสั่งหรือไม่ แต่คาดไม่ถึงเลยว่ามิเอลจะชะเง้อหาอาเรียและพูดออกมาด้วยสีหน้าร้อนรน

“จริง จริงๆ มะ มันย้อนเวลากลับ…! อั๊ก!”

ทว่ามิเอลไม่สามารถพูดต่อต่อไปได้เมื่อทหารสั่งให้เธอเงียบและกระชากเชือกที่มัดตัวเธอไว้อย่างแรง จนเธอกลิ้งไปบนพื้นอย่างไม่น่ามอง

“ย้อนเวลา…งั้นหรือ”

อาเรียเอ่ยถึงคำพูดของมิเอลออกมาเบาๆ และจมอยู่ในความคิดตัวเอง

สีหน้าที่ดูร้อนรนและยังพูดคำว่าย้อนกลับด้วย

อย่าบอกนะว่ามิเอลเชื่อเรื่องที่เธอเล่าให้ฟังเมื่อคืนทั้งหมด เลยถามออกมาว่าย้อนเวลากลับมาได้จริงๆ หรือเปล่าน่ะ จะยืนยันข้อเท็จจริงเอาตอนนี้เพื่ออะไรกัน

ก็แค่โทษในความผิดของตัวเองแล้วตายไปแบบที่ไม่ปิดบังความโกรธแค้นเอาไว้มันก็จบแล้วแท้ๆ

“บังอาจวางยาคุณอาเรียผู้มีพระคุณและให้ความเมตตาหลายต่อหลายครั้งยังไม่พอ แต่ยังทำความผิดด้วยการวางยาเคนพี่ชายแท้ๆ ของตัวเองอีกด้วย!”

และแน่นอนว่าเวลาซึ่งอยู่เคียงข้างอาเรียนั้นไม่ได้ช่วยเหลือมิเอลที่เป็นศัตรูเก่าแก่ของเธอเลย แม้จะน่าเวทนา แต่มิเอลก็ทำได้แค่นอนแผ่ราบลงบนพื้นรอคำตัดสินโทษครั้งสุดท้ายเท่านั้น

ผู้ดำเนินคำตัดสินพูดต่อโดยไม่เว้นช่วงแม้แต่น้อย

“ขอตัดสินโทษประหารชีวิตนักโทษมิเอลด้วยการตัดหัวตามกฎหมายของราชอาณาจักร!”

ในครั้งนี้ทุกอย่างดำเนินการอย่างรวดเร็วต่างจากครั้งที่แล้วซึ่งทำให้นักโทษรู้สึกกระวนกระวายและตกอยู่ในความหวาดกลัว บางทีอาจเป็นเพราะได้รับคำสั่งจากองค์รัชทายาทให้กำจัดนักโทษออกไปให้พ้นลูกตาอย่างรวดเร็วก็เป็นได้

ดูเหมือนการดำเนินการภายในเวลาอันรวดเร็วจะถูกใจเขาเป็นอย่างมาก อาซถึงได้ยกยิ้มมุมปากขึ้นในขณะที่มองมาจากที่นั่งของผู้ทรงเกียรติ

“มะ ไม่ได้นะ!”

เมื่อห้วงสุดท้ายอันน่ากลัวของตนได้ถูกประกาศออกมาอย่างกะทันหัน มิเอลก็กรีดร้องออกมาขณะที่ใช้มือค้ำตัวขึ้น

ทว่าผู้ประกาศคำตัดสินโทษก็ปิดปากแน่นและส่งสายตาอันเย็นชามาที่มิเอลเท่านั้น ผู้ชมต่างส่งเสียงประณามและเรียกร้องให้รีบตัวหัวของมิเอล

สุดท้ายที่ที่สายตาของมิเอลจับจ้องไปก็ไม่ใช่ที่อื่นใด แต่คืออาเรียนั่นเอง

แววตาของมิเอลเต็มไปด้วยความคับแค้น อีกทั้งความชิงชังว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะอาเรียคนเดียว

“นั่นสิ เธอน่าจะทำตัวดีๆ เสียแต่แรก”

อาเรียจ้องมิเอลพร้อมกับพึมพำออกมา โดยทำรูปปากอย่างชัดเจนที่แม้จะไม่ได้ยินแต่ก็อ่านปากแทนได้

พูดโดยใส่ความจริงใจเข้าไป

“…! ”

มิเอลอ่านมันด้วยโกรธแค้น แต่ก่อนที่เธอจะได้แสดงความรู้สึกออกไป ก็ถูกลากไปยังแท่นประหารไม่ต่างจากสัตว์เสียก่อน มีดที่คมจนสามารถตัดกระดูกคอแข็งๆ ได้ภายในครั้งเดียวพุ่งสูงขึ้นฟ้า

เป็นสถานการณ์เช่นเดียวกับที่อาเรียถูกประหารตัดคอ สถานการณ์ที่ไม่มีใครช่วยเหลือมิเอลเลย มีเพียงผู้คนที่พากันร้องประณามว่าทุกอย่างเป็นความผิดของมิเอล

“ตายซะ!”

“ฆ่านางร้ายชั่วๆ นั่นซะ!”

“ทำให้นางนั่นได้ลิ้มรสความตายที!”

“ตายซะเถอะ! ตายไปซะ! “

ไม่นะ ไม่…ไม่ได้นะ!

ในสถานการณ์ที่มุ่งสู่ความตายอย่างรวดเร็วไม่มีแม้แต่เวลาให้เตรียมใจเลยสักนิด ดวงตาของมิเอลเต็มไปด้วยน้ำตาเธอร้องออกมาเป็นเสียงกรีดร้องที่ไม่มีเสียง

แต่เพราะครอบเหล็กอันแน่นหนารัดคอของมิเอลอยู่ เธอจึงไม่สามารถหนีไปไหนได้อีกต่อไป ผู้ชมที่ตกอยู่ในความบ้าคลั่งพากันส่งเสียงดังร้องเรียกให้ตัดคอเธออย่างรวดเร็ว

“ไม่นะ! อย่า! ขอร้อง! ได้โปรด!!”

และในตอนที่มิเอลซึ่งกำลังดิ้นรนตะเกียกตะกายในความหวาดกลัวได้หันมาสบตาอาเรียนั้น

“…! ”

“เฮฮฮฮฮฮ!”

“นางมารร้ายถูกประหารแล้ว!”

“นางร้ายที่ชั่วช้าที่สุดในอาณาจักรนั่นตายแล้ว!”

คมมีดที่ร่วงลงด้วยความเร็วเหนือแสงนั้น ฟาดฟันเข้าไปที่คอเพรียวระหงของมิเอล

การประหารนางมารร้ายได้นำพาความสุขและความดีใจมาสู่มวลประชาแห่งราชอาณาจักร ทุกคนต่างส่งเสียงแห่งความปีติยินดีอย่างอึกทึกเมื่อลำคอเรียวบางของหญิงสาวร่วงหล่นลง

และช่างโชคร้ายยิ่งนัก แม้จะถูกตัดคอไปแล้วแต่ชั่วขณะที่ยังมีชีวิตและกะพริบตาได้อยู่นั้น มิเอลต้องจดจำฉากและน้ำเสียงเหล่านั้นก่อนจะตายไปพร้อมความรู้สึกที่มากมายเหลือเกิน

ช่างเป็นการตายที่น่าสมเพชเหมาะกับมิเอลซึ่งทำให้ใครคนหนึ่งต้องทนทุกข์อยู่นานแสนนาน ดูคล้ายกับห้วงสุดท้ายของอาเรียในอดีตเหลือเกิน

เมื่อได้เห็นประกายชีวิตในดวงตาที่ตนจ้องมองดับลง ตอนนั้นเองที่อาเรียสามารถปล่อยลมหายใจที่กลั้นเอาไว้เป็นเวลานานออกมาได้

ในที่สุด ในที่สุดทุกอย่างก็จบลงเสียที

ได้ย้อนเวลากลับมาและเปลี่ยนแปลงสิ่งที่อยากแก้ไขในอดีตได้สำเร็จ

สายตาของอาเรียที่มองมิเอลได้หันไปมองอาซ

“…! ”

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่อาซจับจ้องมาที่ตน เมื่อหันไปมองเขาอาเรียก็สบตากับดวงตาสีฟ้าครามในทันที

แม้จะไม่สามารถคุยกันได้ด้วยเพราะอยู่ห่างกัน แต่อาเรียก็รู้ได้ว่าอาซต้องการจะพูดอะไรผ่านทางรูปปากและดวงตาอันอ่อนโยนของเขา

เขาบอกเธอว่าไม่เป็นอะไร ทุกอย่างจบลงแล้ว

ไม่มีเหตุผลให้ต้องทนทุกข์และไม่จำเป็นต้องโกรธแค้นอะไรอีกต่อไป

“มาดามครับ ผมมีเรื่องด่วนจะเรียนให้ทราบครับ…”

และในระหว่างนั้นข้ารับใช้ก็พูดออกมาว่ามีเรื่องจะแจ้งให้คารินที่เฝ้ามองการประหารด้วยความตึงเครียดเช่นเดียวอาเรีย ข้ารับใช้คนนั้นเดินเข้ามาใกล้และกระซิบอะไรบางอย่างเบาๆ ข้างหูเธอ

“…ตายจริง”

และคารินก็ถอนหายใจเฮือกยาวออกมา เธอหายใจเข้าแล้วกลั้นมันอยู่หลายครั้งราวกับไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน

จากนั้นอาเรียก็ละสายตามาจากอาซและถามเธอว่าเกิดอะไรขึ้น คารินตอบออกมาเบาๆ ด้วยเสียงที่สั่นเล็กน้อยว่า

“พ่อของลูก…ไม่ใช่สิ อดีตท่านเคานต์คนก่อนปลิดชีวิตตัวเองลงน่ะ”

“…อะไรนะคะ! ”

อาเรียได้ยินว่าคารินได้รับข่าวสารหลายๆ อย่างผ่านทางข้ารับใช้ที่ส่งไปติดตาม แต่เธอไม่นึกเลยว่าเขาจะฆ่าตัวตาย

สาเหตุที่เขาทำอย่างนั้นเป็นเพราะการถูกถอดยศ ถูกริบทรัพย์สิน และร่างกายเสื่อมโทรม แถมยังสูญเสียลูกๆ ไปอีกรึเปล่านะ

หรือบางทีอาจเป็นเพราะถูกหักหลังจากที่พึ่งพิงเพียงหนึ่งเดียวอย่างคารินก็เป็นได้ จึงสูญเสียความตั้งใจที่จะมีชีวิตต่อไป

อาเรียตอบออกมานิ่งๆ ท่ามกลางผู้คนที่โห่ร้องออกมาด้วยความยินดีต่อความตายของนางมารร้าย

“…อย่างนั้นเองหรือคะ ต่อจากนี้ก็ถือว่าตระกูลโรสเซนต์ได้ล่มสลายลงไปอย่างสมบูรณ์แล้วสินะคะ”

เพราะการแก้แค้นที่ไม่สามารถจินตนาการได้นั้นลุล่วงลงไปอย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้อาเรียรู้สึกถึงความสุขใจที่ต่างไปจากการตกใจไหลไปทั่วร่าง

แม้จะรู้สึกขนลุกจากความไร้ศีลธรรมของตัวเอง แต่เธอก็คิดว่ามันคือกรรมตามสนอง

มันเป็นการแก้แค้นที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เธอคิดเอาไว้ แต่เธอก็คิดว่าทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากการกระทำของพวกเขาเอง ไม่ว่าใครก็ต้องคิดแบบนั้นแน่นอน

เพราะมันเป็นทั้งอนาคตและอดีตอันน่ากลัวและน่าสังเวชที่อาเรียได้เคยประสบมา

***

หลังจากการประหารมิเอลสิ้นสุดลงชีวิตของอาเรียและโลกใบนี้ก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากมายนัก ต่างไปจากที่เคยหวังเอาไว้อย่างใจจดจ่อ

ราวกับว่ามันไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาตั้งแต่แรก ไม่สิ โลกหมุนไปอย่างเงียบสงบราวกับว่าเรื่องเล็กน้อยเช่นนั้นไม่มีความสำคัญอะไรเลย

เรื่องยิ่งใหญ่สำหรับใครบางคนจนต้องย้อนเวลากลับมานั้น กลับเป็นเรื่องที่ไม่มีค่าอะไรเลยสำหรับใครบางคน

เพราะเหตุนั้นอาเรียจึงไม่ยึดติดกับอดีต เธอปรับตัวให้เข้ากับเวลา เฟ้นหาและให้การสนับสนุนนักธุรกิจใหม่อย่างที่เคยทำมาตลอด ทั้งยังหยิบยื่นโอกาสแห่งการศึกษาให้กับผู้ยากไร้ และสั่งสมชื่อเสียงพร้อมเงินทองมากขึ้น

ในระหว่างนั้นด้วยอิทธิพลของอาเรียและการสนับสนุนของอาซก็ทำให้ตำแหน่งที่ยังว่างในราชอาณาจักรค่อยๆ ถูกเติมเต็มขึ้นเรื่อยๆ สถานการณ์ทางการเมืองที่ยุ่งวุ่นวายก็ค่อยๆ กลับมามั่นคงอีกครั้ง

เพราะแบบนั้นจากที่อาเรียมักจะเจอกับอาซซึ่งแอบปลีกตัวมาที่ห้องของเธอ ในที่สุดเธอก็สามารถพบเขาอย่างเป็นทางการข้างนอกได้เสียที อาเรียรีบเตรียมตัวเพื่อจะออกไปข้างนอกแต่เช้า แต่จู่ๆ คารินก็เคาะประตูห้องที่เปิดอ้าเอาไว้ขึ้นมา

“ลูกว่างไหม”

“…ตอนนี้เหรอคะ”

เพราะเธอไม่สะดวกจะคุยด้วยจึงได้ถามกลับพร้อมเลิกคิ้วขึ้น แต่คารินกลับพยักหน้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ขึ้นมาแทน

“…งั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวค่อยคุยแล้วกันเนอะ”

“…”

ทั้งที่เธอควรจะตอบไปว่าเอาอย่างนั้นก็ได้ค่ะแท้ๆ

แต่จะให้เธอตอบแบบนั้นไปได้อย่างไรเล่า ในเมื่อคารินทำหน้าผิดหวังแถมยังหลุบตาลงต่ำอีกต่างหาก ดูเหมือนคารินได้ตัดสินใจครั้งใหญ่ก่อนที่จะมาหาอาเรียด้วยซ้ำ

อาเรียถอนหายใจเล็กๆ และถามว่า

“เรื่องที่จะคุยยาวไหมคะ ถ้าคุยกันสั้นๆ ละก็พูดออกมาตอนนี้เลยก็ได้ค่ะ”

“เอ่อ งั้นหรือ ไม่ต้องกังวลหรอกนะ แม่คุยด้วยแค่ครู่เดียวเท่านั้น! “

“โอเคค่ะ ถ้าอย่างนั้นก็รีบเข้าเรื่องเลยดีกว่าค่ะ”

หลังจากที่อาเรียตอบตกลงเรียบร้อยแล้ว คารินก็รีบไล่พวกสาวใช้ออกไป

ดูเหมือนแอนนี่จะอยากรู้อยากเห็น เธอจึงได้เบิกตาโตและเดินออกไปด้วยฝีเท้าเอื่อยเฉื่อย หลังจากคารินตรวจดูว่าทุกคนออกไปกันหมดแล้ว เธอก็หน้าแดงและลูบคลำนิ้วมือตนเองก่อนจะค่อยๆ เปิดปากออกมา

“เอ่อ…แม่เพิ่งหย่าได้ไม่นาน มันก็ควรจะระวังที่จะต้องพูดแบบนี้ แต่…”

อาเรียรู้ได้ทันทีว่าคารินจะพูดอะไรก่อนที่เจ้าตัวจะพูดจบเสียอีก

“แม่จะแต่งงานใหม่สินะคะ”

“เอ๊ะ! อะ เอ่อ…. ใช่…”

ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไรเลยสักนิด เพราะที่ผ่านมาคารินก็นัดเจอกับโคลอีและใช้เวลาอยู่ด้วยกันแทบจะทุกวันอยู่แล้ว

มันจะดูแปลกมากกว่าถ้าเธอไม่คิดแต่งงานใหม่ อาเรียพยักหน้าเห็นด้วย

“ชีวิตของแม่ แม่ทำตามใจต้องการเถอะค่ะ”

นอกจากนั้นอาเรียยังคิดว่านี่ไม่ใช่ปัญหาที่เธอต้องเข้าไปยุ่งด้วยเลย เพราะคารินไม่จำเป็นต้องถูกเงินตราหรือสถานะมากำหนดตัวเธอแล้ว เธอก็ควรจะสนุกกับชีวิตให้เต็มที่ไม่ใช่หรือไง

แต่แม้ว่าอาเรียจะอนุญาตออกมาแบบนั้นแล้วก็ตาม ดูเหมือนคารินยังมีเรื่องที่อยากจะพูดอยู่อีก เธอจึงกัดริมฝีปากล่างและกวาดตาไปมา

“เอ่อ อาเรีย…”

“พูดมาเถอะค่ะ”

อาเรียตอบออกมาตามปกติ

ที่จริงแล้วแม่จะพูดอะไรอีกนะ เพราะต้องออกไปข้างนอกอาเรียจึงเร่งขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นคารินก็ถอนหายใจยกใหญ่ราวกับช่วยไม่ได้ ก่อนจะค่อยๆ พูดออกมาอย่างระมัดระวัง

“แม่คิดว่าถ้าแต่งงานใหม่ก็จะย้ายไปอยู่ที่อาณาจักรโครอาน่ะ…ลูกจะไม่ไปด้วยกันหรือ”

คำพูดของคารินทำให้อาเรียทำหน้าแข็งทื่อขึ้นมา

“อาณาจักรโครอาหรือคะ…”

“อืม ยังไงลูกก็ยังเป็นผู้เยาว์อยู่ แม่ว่าลูกย้ายไปกับแม่น่าจะดีกว่าน่ะ จะให้แม่ทิ้งลูกเอาไว้คนเดียวแล้วไปที่อาณาจักรโครอาได้ยังไงเล่า และดูเหมือนมาร์ควิสเปียสต์เองก็รอคอยลูกอยู่ด้วย…เราควรจะไปเจอคนในตระกูลหน่อยไม่ใช่หรือ นอกจากนี้เราต้องจัดการเรื่องสำมะโนครัวด้วย อีกอย่างการไปทำความรู้จักและเห็นหน้าค่าตาเหล่าขุนนางของอาณาจักรโครอาก็เป็นเรื่องที่จำเป็นนะ ไม่ว่าจะอย่างไรหากโคลอีรับตำแหน่งมาร์ควิสต่อแล้ว สายเลือดเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลก็คือลูกนะ และก็…”

ต่างจากคารินที่พรั่งพรูคำพูดออกมาอย่างไม่หยุดหย่อนราวกับเตรียมตัวมา อาเรียยังคงสีหน้าเย็นชาไม่แสดงท่าทีใดๆ ออกมาทั้งสิ้น

แต่นั่นไม่ได้เป็นเพราะคำพูดที่บอกให้เธอไปพบเครือญาติอย่างกะทันหันแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะสถานการณ์ในตอนนี้จะต้องไม่ถูกใจอาซอย่างมากนั่นเอง

‘…ถ้าคุณอาซรู้เข้าละก็ คงจะเศร้าและผิดหวังน่าดู’

อาเรียคิดเช่นนั้นและไม่ตอบอะไรกลับไป จากนั้นคารินซึ่งร่ายคำพูดที่เตรียมมาอย่างต่อเนื่องก็หยุดพูดและเรียกอาเรีย

“อาเรีย อาเรีย! ฟังแม่อยู่รึเปล่า”

“เอ่อ…ค่ะ”

“แม่ไม่รู้ว่ามันจะเป็นการฝืนใจลูกรึเปล่า แต่แม่ไม่ได้หมายความว่าจะให้ลูกไปอยู่ที่นั่นตลอดไปหรอกนะ แค่ให้ไปเจอหน้ากันเท่านั้นเอง แม่อยากให้ลูกลองคิดถึงตัวเองบ้าง เรื่องอื่นแม่ไม่รู้หรอก แต่จัดการสำมะโนครัวมันเป็นขั้นตอนที่จำเป็นเอามากๆ “

“…”

อาเรียยังคงไม่ตอบอะไร คารินหันหลังและเดินออกไปจากห้องของเธอเงียบๆ นั่นเพราะนี่เป็นปัญหาที่ไม่สามารถให้คำตอบได้ในทันทีนั่นเอง

แม้ว่าตอนนี้ใกล้จะได้เวลาที่อาซจะมาถึงแล้วก็ตาม แต่อาเรียยังจมอยู่ในความคิดตัวเองโดยไม่แม้แต่จะเรียกพวกสาวใช้ให้เข้ามาในห้องเสียด้วยซ้ำ

……………………………..