บทที่ 392 กินมันซะ

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 392 กินมันซะ

“หืม?”

สวีหวั่นหลัวชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้

“เปลวไฟ? เจ้าคิดจะใช้ไฟมาสู้กับข้าอย่างนั้นหรือ?”

สวีหวั่นหลัวมีสีหน้าเหมือนได้ยินเรื่องตลกที่สุดในโลก

พลังปราณธาตุสายฟ้าของเขาเป็นพลังที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มเชื้อพระวงศ์ และถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในสามพลังปราณธาตุที่แข็งแกร่งที่สุดของจักรวรรดิเป่ยไห่ และว่ากันว่ามีพลังเหนือล้ำกว่าปราณธาตุไฟอยู่หนึ่งขั้น

เมื่อผู้มีพลังปราณธาตุสายฟ้าและผู้มีพลังปราณธาตุไฟมาเผชิญหน้ากัน ผลการต่อสู้มักจะสรุปได้ตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ

วูบ!

เปลวไฟสีม่วงเข้มแผ่ออกมาจากร่างกายของอ๋องน้อยสวีหวั่นหลัว ก่อเกิดเป็นรัศมีน่าเกรงขามรอบลำตัวของเขา

เสมือนลมหายใจมังกร

อากาศในห้องรับประทานอาหารพลันทวีความร้อนขึ้นมา

อุณหภูมิพุ่งขึ้นสูง

ชายหนุ่มคนอื่นๆ ที่อยู่ภายในห้องต้องโคจรพลังลมปราณในร่างกายเพื่อต้านทานความร้อนเหล่านี้

มีเพียงหลินเป่ยเฉินคนเดียวเท่านั้นที่ไม่สะทกสะท้านเลยใดๆ เลย

เขายืนหยัดปกป้องเฉียนเหมยและเฉียนเจิน ไม่ให้พวกนางถูกมวลพลังงานความร้อนเล่นงาน

เด็กหนุ่มกระทำโดยไม่รู้ตัว

หากจะให้บรรยายลักษณะของห้องรับประทานอาหารในขณะนี้โดยละเอียด ก็ต้องบอกว่ามันเปลี่ยนสภาพเป็นนรกอันร้อนระอุโดยสมบูรณ์ ความร้อนสามารถทำร้ายผู้คน โดยเฉพาะกับผู้ที่มีพลังไม่สูงส่งอย่างสองสาวรับใช้ พวกนางก็อาจเสียชีวิตได้ในพริบตาเดียว

แต่เมื่อมีหลินเป่ยเฉินคอยยืนกำบัง พวกนางจึงยังพอทนทานได้

หลินเป่ยเฉินจ้องมองสวีหวั่นหลัวไม่วางตา

ปรากฏว่าเสื้อผ้าและเครื่องประดับของอ๋องน้อยถูกกลืนหายไปใต้เปลวไฟสีม่วงนั้น แต่ไม่มีสัญญาณที่บอกว่าพวกมันจะถูกเผาไหม้เลย

ถ้าเขาสามารถควบคุมพลังได้อย่างชำนาญ เสื้อผ้าและเครื่องประดับก็จะไม่ไหม้ไฟอีกแล้วสินะ?

สงสัยต้องหาวิธีฝึกการโคจรพลังปราณธาตุไฟรูปแบบใหม่เสียแล้ว

แต่เมื่อเห็นหลินเป่ยเฉินนิ่งเงียบไม่พูดคำใด ทุกคนจึงเข้าใจว่าคนเสเพลอันดับหนึ่งแห่งเมืองหยุนเมิ่งตกอยู่ภายใต้อาการหวาดกลัว

และพวกเขาก็ไม่รู้เช่นกันว่าเพราะเหตุใดผู้มีพลังปราณธาตุน้ำอย่างหลินเป่ยเฉิน ถึงสามารถควบคุมไฟได้อย่างนี้

แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกแล้ว

ต่อให้หลินเป่ยเฉินมีพลังปราณธาตุไฟ ก็ไม่สามารถต่อกรกับพลังปราณธาตุสายฟ้าของอ๋องน้อยได้อยู่ดี

นี่ไม่แตกต่างไปจากการต่อสู้ระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้า

มนุษย์ต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้และตายไปอยู่วันยังค่ำ

“เจ้ามีพลังปราณธาตุไฟจริงๆ เสียด้วย”

สวีหวั่นหลัวระเบิดเสียงหัวเราะ ยกมือขึ้นวาดนิ้วแทนกระบี่

“กระบี่มังกรสายฟ้า… เจ้าจงตายเสียเถิด” เปลวไฟสีม่วงเปลี่ยนสภาพกลายเป็นกระบี่เล่มหนึ่ง มันพุ่งผ่านอากาศอย่างเชื่องช้า ตรงลิ่วเข้าไปหาหลินเป่ยเฉิน

ทุกผู้คนสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงระดับพลังการทำลายล้างจากกระบี่สายฟ้าเล่มนี้

อย่าว่าแต่หลินเป่ยเฉินเลย แม้แต่เฉียนเหมยกับเฉียนเจิน เช่นเดียวกับผนังไม้ของห้องรับประทานอาหาร ก็จะต้องแหลกสลายเป็นผุยผงแน่นอน

“คุณชายหลินระวัง!”

ฉุยหมิงโหลวตะโกนออกมาโดยไม่รู้ตัว

หลินเป่ยเฉินมีสีหน้าแปลกประหลาดใจ

แล้วในพริบตาต่อมา เด็กหนุ่มที่เหมือนตกอยู่ภายใต้ความหวาดกลัวจนพูดอะไรไม่ออก กลับสามารถยกมือขึ้นมาคว้าจับกระบี่สายฟ้าได้หน้าตาเฉย

แม้ว่ามือขวาของเขาจะยังคงมีเปลวไฟสีส้มแดงลุกโชนสว่างไสว แต่มันจะมีประโยชน์อันใดกัน?

พลังปราณธาตุไฟไม่สามารถสู้กับพลังปราณธาตุสายฟ้าได้อยู่แล้ว

สีหน้าของกลุ่มคนผู้ติดตามอ๋องน้อยสวีหวั่นหลัวปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยันอำมหิต

กระบี่สายฟ้านี้สังหารชีวิตผู้คนมาแล้วนับไม่ถ้วน

ไม่เคยมีการโจมตีครั้งใดที่จะล้มเหลว

พวกเขาเฝ้ารอคอยที่จะได้เห็นร่างของหลินเป่ยเฉินล้มลงไปชักกระตุกและส่งเสียงอ้อนวอนขอความเมตตา

แต่ทว่า…

ฟู่! ฟู่! ฟู่!

เสียงเปลวไฟปะทุตัวดังขึ้น

หลินเป่ยเฉินไม่เพียงสามารถจับกระบี่สายฟ้าสีม่วงเล่มนั้นได้เท่านั้น แต่เขายังสามารถหยุดยั้งมันไม่ให้โจมตีต่อเนื่องได้อีกด้วย

รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าของทุกคนสลายหายวับ

เสียงลมหมุนดังขึ้นในอากาศ

หลินเป่ยเฉินใช้สองมือที่ลุกเป็นไฟของเขายึดจับกระบี่สายฟ้าแนบแน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลังจากนั้น เขาก็เริ่มดัดมันให้โค้งงอ แล้วในที่สุด กระบี่สายฟ้าของอ๋องน้อยสวีหวั่นหลัวก็เปลี่ยนสภาพกลายเป็นลูกบอลสายฟ้าสีม่วงเข้มลูกหนึ่งลอยวนอยู่เหนือฝ่ามือของเขาอย่างมหัศจรรย์ยิ่ง

“นี่มันอะไรกัน?”

“เป็นไปไม่ได้…”

เหล่ามือกระบี่หนุ่มอุทานออกมาด้วยความเหลือเชื่อ

อ๋องน้อยสวีหวั่นหลัวก่อนหน้านี้ยังคงมีสีหน้าเย็นชาปราศจากความรู้สึก บัดนี้ ความมั่นใจสลายหายไปหมดสิ้น สีหน้าของเขาปรากฏความตกตะลึงชัดเจน เหมือนได้พบเห็นวิญญาณภูตผีกลางวันแสกๆ ก็ไม่ปาน

ทุกคนย่อมรู้ดีว่าพลังปราณธาตุสายฟ้าของเขามีความรุนแรงมากแค่ไหน

มิหนำซ้ำ เขาลงทุนฝึกฝนจนสามารถควบคุมมันได้อย่างชำนาญ

ไม่มีใครสามารถใช้พลังสายฟ้าได้ดีมากกว่าสวีหวั่นหลัวคนนี้อีกแล้ว

เพราะยิ่งฝึกฝนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความเข้าใจต่อการใช้พลังมากขึ้นเท่านั้น

สวีหวั่นหลัวมั่นใจมาตลอดว่าพลังปราณธาตุสายฟ้าของเขา ไม่มีผู้ใดสามารถโค่นล้มได้

แต่บัดนี้ โลกทั้งใบของเขากำลังพลิกกลับตาลปัตร

หลินเป่ยเฉินเพิ่งจะใช้มือเปล่าเปลี่ยนกระบี่สายฟ้าของเขาให้กลายเป็นก้อนกลมต่อหน้าต่อตาได้อย่างไร?

หรือว่าธาตุไฟที่เจ้านั่นมีอยู่ในตัว จะไม่ใช่ไฟธรรมดา…?

ความคิดที่ไม่น่าเชื่ออย่างหนึ่งผุดวาบขึ้นมาในหัวของสวีหวั่นหลัว

แต่ในทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินก็เคลื่อนไหวอีกครั้งและทำให้ทุกคนต้องตกตะลึงหนักกว่าเก่า

เขายกลูกบอลสายฟ้าเข้าไปใกล้ปากของตนเอง เมื่อลองเลียดูสองสามครั้งและพบว่าไม่มีอันตรายอะไร เด็กหนุ่มก็เริ่มกัดกินก้อนสายฟ้าเหมือนแทะทานผลไม้ลูกหนึ่ง

หลินเป่ยเฉินรับประทานลูกบอลสายฟ้าเข้าไปจริงๆ…

ทุกชีวิตที่อยู่ในห้องรับประทานอาหารเบิกตาโตจนดวงตาแทบหลุดออกมาจากเบ้า

สวีหวั่นหลัวรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจที่สุด

เมื่อหลินเป่ยเฉินรับประทานลูกบอลไฟจนหมดสิ้น เขาก็เรอออกมาเล็กน้อย สีหน้าบอกชัดว่ามีความสุขล้นเหลือ

“เอื๊อก… รสชาติอร่อยใช้ได้อยู่นะเนี่ย ไหนเอามากินอีกสักลูกสิ”

หลินเป่ยเฉินก็ไม่รู้เช่นกันว่าทำไมตนเองถึงพูดออกไปอย่างนั้น

สาบานต่อสวรรค์ก็ได้

สิ่งที่เขากำลังทำอยู่ตอนนี้ไม่ใช่การเสแสร้ง

ด้วยในระหว่างที่กำลังดัดกระบี่สายฟ้าให้เป็นก้อนกลมเมื่อสักครู่นี้ หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนมีใครบางคนคอยกระซิบอยู่ข้างหูตลอดเวลาว่า

กินมันซะ กินมันซะ กินมันซะ กินมันซะ!

เขาจึงกินไปโดยไม่รู้ตัว

มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่กินหมดแล้วนั่นแหละ

หลินเป่ยเฉินไม่เข้าใจเลยว่าตนเองเพิ่งทำอะไรลงไป?

เขาเพิ่งรับประทานลูกบอลสายฟ้าใช่ไหม?

แล้วมันจะมีอันตรายหรือเปล่า?

อวัยวะภายในร่างกายของเขาจะถูกเผาไหม้หรือไม่?

มันจะสามารถย่อยสลายได้หรือไม่?

หรือว่าสุดท้ายพลังสายฟ้าเหล่านั้นจะระบายออกมาจากร่างกายเอง?

ถ้าออกมาเองไม่ได้ เขาก็ต้องหาวิธีกำจัดมันออกไปจากร่างกายใช่ไหม…?

คำถามจำนวนมากผุดขึ้นมาในจิตใจ

แต่ไม่ว่าอย่างไร ลูกบอลสายฟ้าก็รับประทานเข้าไปแล้ว มันลงไปอยู่ในท้องของเขาทั้งหมดแล้ว

เมื่อดูจากการที่เขายังคงยืนอยู่ได้ดังเดิม ย่อมหมายความว่าการรับประทานลูกบอลสายฟ้าเข้าไป คงไม่มีผลข้างเคียงอะไรหนักหนากระมัง?

หลินเป่ยเฉินมองหน้าสวีหวั่นหลัว

แกล้งตีสีหน้าเย็นชา

อ๋องน้อยสวีหวั่นหลัวไม่สามารถรักษาความเยือกเย็นได้อีกต่อไป เขาถึงกับพูดตะกุกตะกักออกมาว่า “เจ้ามีพลังปราณธาตุน้ำไม่ใช่หรือ? แล้วเหตุใด… ทำไมเจ้าสามารถรับประทานสายฟ้าได้? นี่เจ้า… แท้จริงแล้ว… เจ้าเป็นใครกันแน่?”

ผู้ที่มีพลังปราณธาตุน้ำ ปราณธาตุไฟและปราณธาตุสายฟ้าอยู่ในตนเอง นับดูในจักรวรรดิจะมีสักกี่คนกัน!

“ข้าคือพ่อของเจ้า!”

หลินเป่ยเฉินพูด

หลังจากนั้น ตัวคนก็ถลันวูบ

ผลั่ก!

เขาต่อยหมัดออกไป

กำปั้นของเขาห่อหุ้มด้วยเปลวไฟสีส้มแดง

“โอหังนัก!”

สวีหวั่นหลัวแผดเสียงคำรามด้วยความเกลียดชัง

“ต่อให้เจ้าสามารถกินพลังสายฟ้าของข้าได้ แต่พลังยุทธ์ของเจ้าก็ยังต่ำต้อยมากกว่าข้าอยู่ดี จงยอมรับความพ่ายแพ้เสียเถิด!”

อ๋องน้อยสะบัดฝ่ามือ

นิ้วมือทั้งสิบของเขาประกบรวมกัน แล้วเปลวไฟสีม่วงก็พวยพุ่งออกมารวมตัวเป็นม่านพลังขวางกั้นอยู่เบื้องหน้า ก่อนที่ม่านพลังนั้นจะเปลี่ยนสภาพกลายเป็นกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง

วูบ!

สวีหวั่นหลัวเอื้อมมือจับกระบี่เล่มนั้นและตวัดตัดขวางในอากาศ

เปรี้ยง!

กำปั้นและกระบี่ปะทะกันอย่างแรง!

เสียงระเบิดดังกึกก้องกังวาน

มวลพลังงานแผ่กระจายไปรอบทิศทาง

เพล้ง!

ข้าวของเครื่องใช้ภายในห้องรับประทานอาหารแตกกระจาย หยดน้ำสาดกระเซ็นในอากาศ ความปั่นป่วนโกลาหลบังเกิดขึ้นอย่างแท้จริง

“ฟู่”

กระบี่สายฟ้าสีม่วงแตกหักเป็นสองท่อน

สวีหวั่นหลัวลอยกระเด็นไปกระแทกกับผนังห้อง ก่อนจะเด้งกลับมายืนโซเซตรงจุดเดิม เลือดไหลทะลักออกจากปาก ใบหน้าซีดขาวราวหิมะ

หลินเป่ยเฉินกระโดดแย่งกระบี่สายฟ้าเล่มนั้นมาถือในมือ เขาจัดการปั้นมันเป็นก้อนกลมและยัดใส่ปากรับประทานอีกครั้ง

“เจ้าต้องตายซะ”

พร้อมกันนั้น เด็กหนุ่มก็ย่างสามขุมตรงเข้าไปสาวหมัดใส่สวีหวั่นหลัว

ผู้อ่อนแอต้องตาย

ไม่ว่าใครก็ตามที่มามีเรื่องกับหลินเป่ยเฉินคนนี้จะต้องตายไปให้หมด

ไม่ว่าจะเป็นอ๋องน้อยสวีหวั่นหลัวหรือผู้ติดตามคนไหนในคณะ ก็อย่าหวังเลยว่าคืนนี้จะรอดชีวิตกลับออกไปจากโรงเตี๊ยมแห่งนี้ได้อีก!