บทที่ 393 ตกตายไปตามกัน

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 393 ตกตายไปตามกัน

สวีหวั่นหลัวขมวดคิ้ว

ในแววตาฉายชัดถึงความหวาดกลัว

บัดนี้ ผู้เป็นอ๋องน้อยเริ่มรู้สึกได้ถึงความตายที่คืบคลานเข้ามาอย่างชัดเจนแล้ว

เปลวไฟสีส้มแดงห่อหุ้มกำปั้นของหลินเป่ยเฉิน มันสะท้อนประกายอยู่ในดวงตาที่เบิกกว้างของสวีหวั่นหลัว ราวกับเป็นประตูที่เปิดลงสู่นรกก็ไม่ปาน

สวีหวั่นหลัวเป็นอ๋องน้อยที่เติบโตมาด้วยการถูกเอาใจในทุกสิ่งทุกอย่าง เขาหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี มีนิสัยบ้าคลั่งดุร้าย ไม่เคยมองเห็นผู้ใดอยู่ในสายตา แต่บัดนี้ ความอวดดีจองหองทั้งหลายนั้นได้มลายหายไปหมดสิ้นแล้ว

ทุกอย่างถูกแทนที่ด้วยความหวาดกลัว

“ไม่ได้การแล้ว”

ฉุยหมิงโหลวตกตะลึงเมื่อเห็นการโจมตีของเด็กหนุ่ม

อ๋องน้อยสวีหวั่นหลัวจะมาเสียชีวิตที่นี่ไม่ได้เด็ดขาด มิฉะนั้นแล้ว บิดาของเขาต้องหลุดออกจากตำแหน่งเจ้าเมืองหยุนเมิ่งเป็นแน่แท้

“คุณชายหลินได้โปรดยั้งมือไว้ไมตรี”

ชายหนุ่มทุกคนผงะถอยหลังด้วยความหวาดกลัว มีเพียงฉุยหมิงโหลวคนเดียวเท่านั้นที่ก้าวออกมาข้างหน้า

เขายอมตายเพื่อช่วยชีวิตสวีหวั่นหลัว

เมื่อหลินเป่ยเฉินเห็นดังนั้น เขาก็ไม่ได้รั้งกำปั้นกลับไป

หมัดของเด็กหนุ่มกระแทกใส่ลำตัวของฉุยหมิงโหลวอย่างแรง

“ชีวิตของเราคงจบสิ้นแต่เพียงเท่านี้”

ฉุยหมิงโหลวรู้สึกเหมือนกระดูกจะแตกหักไปทั่วร่างกาย

ก่อนหน้านี้ เขาคิดว่าตนเองรู้จักหลินเป่ยเฉินดีพอสมควร

แต่เมื่อได้มีโอกาสมารับหมัดของเด็กหนุ่มเข้าจริงๆ ฉุยหมิงโหลวถึงได้รับรู้ว่าหลินเป่ยเฉินมีพละกำลังมหาศาลเกินคาดคิด พลังกำปั้นที่ซัดออกมาเพียงพอที่จะระเบิดร่างกายผู้คนได้โดยไม่ต้องใช้พลังลมปราณด้วยซ้ำ!

ผลั่ก!

บุตรชายของท่านเจ้าเมืองลอยไปกระแทกกับผนังไม้ของห้องรับประทานอาหาร

เขากระเด้งกลับมานอนกองอยู่บนพื้น

“ฟู่…”

เลือดเป็นสายพุ่งกระฉูดออกมาจากปาก

แต่ร่างกายของเขาไม่ได้ลุกเป็นไฟ

หลินเป่ยเฉินมีเจตนาปกป้องคุ้มครองสองสาวรับใช้ เขาไม่ได้อยากสังหารใครที่ไม่เกี่ยวข้อง ดังนั้นจังหวะสุดท้าย หลินเป่ยเฉินจึงผ่อนกำลัง สลายลมปราณ ดับไฟที่อยู่รอบกำปั้น และนั่นจึงเป็นสาเหตุที่ฉุยหมิงโหลวสามารถรอดชีวิตมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ

“เจ้าอยากตายนักหรือไง? หลีกทางไปซะ”

หลินเป่ยเฉินหันกลับไปพูดใส่หน้าฉุยหมิงโหลว “อย่ามาขวางทางข้า”

แล้วที่กำปั้นของเขาก็กลับมามีเปลวไฟสว่างไสวอีกครั้ง

“คนชั่วช้าอย่างเจ้าต้องลงนรกไปซะ”

หลินเป่ยเฉินยังคงมีเจตนาสังหารสวีหวั่นหลัว

แต่ครั้งนี้ สวีหวั่นหลัวสามารถโคจรพลังรักษาอาการบาดเจ็บจากการถูกต่อยก่อนหน้านี้เรียบร้อยแล้ว เขาถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก และถอยกรูดไปด้านหลัง

“พวกเจ้าขวางทางมันให้กับข้า”

เขาวิ่งไปที่ประตูพลางสะบัดมือผลักผู้ติดตามสองคนให้ถลาออกไป

ผลั่ก! ผลั่ก!

ชายหนุ่มทั้งสองคนไม่ทันระวังตัว จึงถูกผลักเข้ามาขวางหน้าหลินเป่ยเฉินอย่างไม่มีทางเลือก

“ไม่นะ!”

พวกเขาเบิกตาโตด้วยความหวาดกลัวสุดชีวิต

คิดไม่ถึงเลยว่าอ๋องน้อยสวีหวั่นหลัวจะทำกับพวกเขาเช่นนี้ได้ลงคอ

เมื่อหลินเป่ยเฉินเห็นดังนั้น กลับไม่ได้ผ่อนกำลังสลายลมปราณอีก

ผลั่ก!

ชายหนุ่มทั้งสองคนถูกต่อยลอยกระเด็นออกไป

กร๊อบ! กร๊อบ!

ได้ยินเสียงกระดูกแตกหักดังชัดเจน

กระดูกหน้าอกของชายหนุ่มทั้งสองยุบลงไปเป็นรอยหมัดชัดเจน เลือดไหลทะลักออกปากออกจมูก ก่อนที่ร่างของพวกเขาจะตกกระทบพื้นห้องเสียอีก

ในเวลาเดียวกันนั้น ได้บังเกิดเปลวไฟลุกไหม้ขึ้นมาจากบาดแผลบนหน้าอก มันลุกลามไปทั่วลำตัว ส่งผลให้พวกเขากลายเป็นมนุษย์ไฟสองคน ไม่ว่าจะเป็นร่างกาย เสื้อผ้า เลือดเนื้อ กระบี่หรืออาวุธติดตัว…

ต่างก็เปลี่ยนสภาพเป็นเถ้าถ่านไปในพริบตาเดียว!

สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ทุกคนที่เหลืออยู่หวาดกลัวแทบตายแล้ว

เฉิงเฉียนกุ่ยที่นอนแกล้งตายอยู่มุมห้อง เห็นดังนั้นก็ใบหน้ากระตุก รีบหลับตาลง ใช้มือปาดเลือดจากมุมปากขึ้นไปทาที่ดวงตาและรูจมูกของตนเอง

“เหวอออ…”

หนี่ฟู่กวงหวีดร้องด้วยความหวาดกลัว หมุนตัววิ่งหนีไม่คิดชีวิต

แววตาของหลินเป่ยเฉินเป็นประกายดุร้าย

เขากระแทกหมัดออกไปข้างหน้า

วูบ!

พลังลมปราณพุ่งแหวกอากาศ

พลังลมปราณจากหมัดของหลินเป่ยเฉินกระแทกเข้าใส่ขาของหนี่ฟู่กวงที่อยู่ห่างออกไปสิบวาเศษ

กร๊อบ! กร๊อบ! กร๊อบ!

เสียงกระดูกท่อนขาแตกหักดังชัดเจน

แล้วบุตรชายคนที่ 19 ของผู้ว่าการแคว้นซินจินก็คุกเข่าลงไปกับพื้น ส่งเสียงกรีดร้องเหมือนหมูถูกเชือด สุดท้ายก็เจ็บปวดจนหมดสติไปตรงนั้นเอง

หลินเป่ยเฉินลงมือโดยไม่ลังเล กระโดดตามติดไล่หลังสวีหวั่นหลัว และต่อยหมัดออกไปอีกครั้ง

“คิดจะหนีไปไหน”

กำปั้นของเขามีเปลวไฟลุกโชน

“เหวอ…”

ในที่สุด สวีหวั่นหลัวก็ต้องร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจกลัวแล้ว

เขายังคงใช้ลูกไม้เก่าในการหลบหนี มีชายหนุ่มผู้ติดตามอีกสองคนถูกผลักออกไปเพื่อให้ขัดขวางการตามล่าของหลินเป่ยเฉิน

ผลั่ก!

กำปั้นยังคงถูกต่อยเข้ามา

ชายหนุ่มทั้งสองคนนั้นแสดงสีหน้าหวาดกลัวสุดขีด พวกเขามีเวลาเพียงก้มมองหน้าอกของตนเองที่ยุบเขาไปเป็นรอยกำปั้น ก่อนหูได้ยินเสียงกระดูกแตกหัก และตัวคนแทบจะระเบิดในวินาทีนั้น

เปลวไฟสีส้มแดงแผดเผาร่างกายในทันที

พริบตาต่อมา ชายหนุ่มทั้งสองคนนั้นก็ร่างสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน

พลังลมปราณจากกำปั้นทะลุผ่านร่างกายผู้เสียชีวิตและยังเหลือมวลพลังมาเล่นงานสวีหวั่นหลัวให้ลอยกระเด็นไปกระแทกเข้ากับผนังไม้ของห้องรับประทานอาหาร ม่านพลังที่ถูกคลี่คลุมปิดไว้กระจายตัวเป็นลำแสงสว่างวิบวาว ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับคืนสู่สภาพเดิม

“ย๊าก ให้ตายสิ”

บัดนี้ ผู้เป็นอ๋องน้อยรู้แล้วว่าตนเองไม่มีทางหนี

เขาเป็นคนสร้างค่ายอาคมปิดทางออกจากห้องนี้เอง

นั่นก็เพื่อป้องกันไม่ให้หลินเป่ยเฉินมีโอกาสหลบหนี

นี่คือค่ายอาคมที่เรียกว่า ‘นักโทษแห่งจันทรา’ ต้องใช้เวลาสร้างนานแค่ไหน ก็ต้องใช้เวลาสลายนานแค่นั้น สวีหวั่นหลัวไม่คิดไม่ฝันเลยว่าสุดท้ายกลับกลายเป็นเขาเองที่ไม่สามารถหลบหนีออกไปจากค่ายอาคมแห่งนี้ได้อีก

เขาไม่มีทางคิดว่าหลินเป่ยเฉินจะร้ายกาจถึงเพียงนี้

สวีหวั่นหลัวไม่อยากเชื่อว่าเขาจะชักนำเภทภัยเข้ามาหาตนเอง

อ๋องน้อยจึงได้แต่คลานไปบนพื้น พยายามหลบหนีสุดชีวิต พร้อมกันนั้นเขาก็ส่งเสียงตะโกนว่า “ไม่นะ อย่าฆ่าข้าเลย… ผู้อาวุโสสวี ได้โปรดช่วยข้าน้อยด้วย ผู้อาวุโสสวี…”

การเดินทางมาเมืองหยุนเมิ่งเที่ยวนี้ สวีหวั่นหลัวมาพร้อมกับผู้อาวุโสประจำตระกูล

ผู้อาวุโสที่มีระดับพลังขั้นยอดปรมาจารย์

แต่ด้วยความที่คุยโวโอ้อวดเอาไว้ใหญ่โต งานเลี้ยงคืนนี้เขาจึงไม่ได้นำผู้อาวุโสมาด้วย เพราะผู้คนภายในเมืองหยุนเมิ่งในสายตาของสวีหวั่นหลัวไม่มีค่าให้ควรวิตกกังวล เมืองบ้านนอกเช่นนี้ จะมีผู้มีฝีมือสูงส่งอยู่ได้อย่างไร

ทว่าบัดนี้ เขากลับต้องส่งเสียงอัญเชิญผู้อาวุโสประจำตระกูลให้รีบมาช่วยชีวิตแล้ว

“ไม่มีใครมาช่วยเจ้าได้หรอก”

หลินเป่ยเฉินถลาเข้าไปกระแทกหมัดใส่อีกครั้ง

เปลวไฟลุกโชนสว่างไสว

สวีหวั่นหลัวถูกต้อนไปอยู่ที่มุมห้อง ไม่สามารถหลบหนีไปทางไหนได้อีก เขาไม่มีทางเลือกนอกจากรวบรวมพลังปราณธาตุสายฟ้าในร่างกาย โจมตีใส่กำปั้นของหลินเป่ยเฉินในรูปแบบกระบี่เล่มหนึ่ง

เปรี้ยง!

สวีหวั่นหลัวลอยกระเด็นไปติดผนังอีกครั้ง

หลินเป่ยเฉินใช้เวลาไม่กี่อึดใจ ก็ปั้นกระบี่สายฟ้ากลายเป็นแอปเปิลลูกหนึ่ง และยัดใส่ปากรับประทานด้วยความเอร็ดอร่อย

ไม่ไหวแล้ว!

เจ้าเด็กบ้าคนนี้มันไม่ใช่มนุษย์

ความกล้าหาญลำพองที่เคยมีอยู่เต็มหัวใจของสวีหวั่นหลัวบัดนี้สลายหายไปหมดสิ้น

เขายันตัวลุกขึ้นพยายามหาทางหลบหนีอีกครั้ง

แต่ครั้งนี้ หลินเป่ยเฉินไม่เปิดโอกาสให้สวีหวั่นหลัวได้ทำสำเร็จ เขากระโดดมายืนดักหน้า และกระแทกหมัดออกมาสุดแรงเกิด สวีหวั่นหลัวกระอักเลือดออกมาจากปากคำใหญ่ ดวงตาของเขาเป็นประกายแวววาวด้วยความเจ็บใจ ในเวลาเดียวกันนั้น ก็กำมือเป็นหมัดรวบรวมพลังลมปราณและกระแทกหมัดเข้าใส่หัวเข่าของหลินเป่ยเฉินเช่นกัน

พลัน หลินเป่ยเฉินอ้าปากสูดพลังสายฟ้าทั้งหมดนั้นลงกระเพาะของตนเองหน้าตาเฉย

“ข้าอยู่ของข้าดีๆ เป็นพวกเจ้ามาหาเรื่องข้าเอง!”

“ข้าไม่เคยรู้จักเจ้ามาก่อน แล้วข้าก็ไม่เคยไปหาเรื่องเจ้าด้วย!”

“เจ้ากลับไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ คิดมาหาเรื่องข้าได้อย่างไรกัน!”

“นอกจากหาเรื่องข้าแล้ว เจ้ายังคิดรังแกสาวรับใช้ที่ไม่มีทางต่อสู้กับพวกเจ้าได้เลย แล้วความผิดครั้งนี้ ข้าจะให้อภัยพวกเจ้าได้อย่างไร…”

หลินเป่ยเฉินก้มหน้ามองสวีหวั่นหลัวผู้ตื่นกลัวและพูดเน้นย้ำทีละคำว่า “เพื่อพิทักษ์ความสงบสุขของโลกใบนี้ พวกเจ้าจงตายเสียเถิด”

เด็กหนุ่มยกเท้าขึ้น

กำลังจะกระทืบสวีหวั่นหลัว

เสมือนเหยียบมดปลวกตัวหนึ่ง

แต่ในทันใดนั้น

เสียงตะโกนก็ดังขึ้น

“ช้าก่อน!”

วูบ!

คมกระบี่สาดประกายผ่านผืนฟ้าที่มืดมิดห่างออกไปหลายร้อยวา

คมกระบี่เปรียบเสมือนสายฟ้าฟาด

การโจมตีครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน มันสามารถสลายค่ายอาคมนักโทษแห่งจันทราได้โดยง่าย เสียงฟ้าคำรามดังขึ้นทำให้ทุกคนหูอื้อ หลินเป่ยเฉินเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความประหลาดใจ

นี่คือพลังที่อยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์!

การโจมตีที่หนักหน่วงเช่นนี้มีเพียงยอดปรมาจารย์ด้วยกันเท่านั้นถึงจะต้านรับได้!