บทที่ 394 เจ้าต้านทานได้อย่างไร?

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 394 เจ้าต้านทานได้อย่างไร?

บัดนี้ ทุกอย่างดูจะเชื่องช้าลง

กระบี่นี้เขาไม่สามารถต้านทานได้

นี่คือสิ่งที่หลินเป่ยเฉินกำลังคิดอยู่ในใจ

เขามีพลังเพียงขั้นปรมาจารย์ระดับที่ 3 ยังไม่ใช่คู่มือของผู้มีพลังระดับยอดปรมาจารย์

หลินเป่ยเฉินไม่มีทางสู้ได้แน่นอน

โชคดีที่ร่างกายของเขาตอบสนองได้เร็วมากกว่าความคิด

เด็กหนุ่มเอนกายไปด้านหลัง ทำให้สามารถหลบลำแสงกระบี่ได้ทันเวลา

วูบ!

ลำแสงกระบี่พุ่งผ่านขมับของเขาไปเพียงนิดเดียว

วาบ!

เด็กหนุ่มรู้สึกเย็นวูบที่บริเวณข้างขมับของตนเอง

เส้นผมกระจุกหนึ่งของเขาขาดกระจุย

“ท่านผู้อาวุโส!”

สวีหวั่นหลัวเบิกตาโต ดวงตาเป็นประกายแวววาว

บัดนี้ อ๋องน้อยอาศัยจังหวะที่หลินเป่ยเฉินไม่มีเวลามาสนใจตนเอง ม้วนตัวกลิ้งออกมาจากมุมห้องและกระโจนผ่านช่องว่างบนผนังที่เกิดขึ้นจากคมกระบี่เมื่อสักครู่หลบหนีออกไปด้านนอก

หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้ติดตาม

เขายังคงรู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบที่ข้างขมับ

เมื่อสักครู่นี้ ถึงสามารถหลบคมกระบี่ได้ทันเวลา แต่พลังของมันก็ยังทำให้หลินเป่ยเฉินได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย

เด็กหนุ่มยกมือขึ้นแตะข้างขมับ

ปลายนิ้วของเขาเป็นสีแดง

มีเลือดไหล

แต่ปัญหาก็คือหลินเป่ยเฉินไม่ได้บาดเจ็บแค่ผิวหนังเท่านั้น

ลำแสงกระบี่เมื่อสักครู่แทรกพลังซึมเข้าไปถึงด้านในกะโหลกศีรษะของเขาแล้ว

ผู้อาวุโสประจำตระกูลสวีต้องมีฝีมือสูงส่งถึงระดับไหนกันนะ?

หากเปลี่ยนเป็นผู้มีพลังขั้นปรมาจารย์ระดับที่ 3 คนอื่น ลำแสงกระบี่นี้คงทำให้กะโหลกศีรษะแตกกระจุย แน่นอนว่าผู้ที่โดนโจมตีย่อมไม่อาจรอดชีวิตได้อีก

แต่หลินเป่ยเฉินเพียงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น

เขาลองโคจรพลังลมปราณโดยสัญชาตญาณ และเมื่อเปลวไฟลุกโชนขึ้นเหนือศีรษะ ความรู้สึกหนาวเย็นเหล่านั้นก็หายไป

ยังคงมีหยดเลือดไหลซึมออกมาจากบาดแผลข้างขมับเล็กน้อย

ถ้ายังมีพลังปราณธาตุน้ำเหมือนก่อนหน้านี้ หลินเป่ยเฉินก็คงสามารถรักษาการบาดเจ็บให้ตนเองได้แล้ว

แล้วพลังปราณธาตุไฟสามารถทำได้เช่นกันหรือไม่? เหตุไฉนเขาถึงไม่รู้สึกเจ็บอีกแล้ว? หรือมันเป็นเพราะความแข็งแกร่งของร่างกายเขาเองกันแน่?

หลินเป่ยเฉินไม่แน่ใจ

แต่เห็นได้ชัดกว่าพลังปราณธาตุไฟมีความแข็งแกร่งมากกว่าพลังปราณธาตุน้ำหลายเท่า

หลินเป่ยเฉินคิดได้ดังนั้นก็เริ่มตั้งสติอีกครั้ง และก็ต้องรู้สึกโล่งอกเมื่อพบว่าในตัวไม่หลงเหลือพลังตกค้างจากลำแสงกระบี่อยู่อีกแล้ว

โครม!

ทันใดนั้น ผนังห้องด้านหนึ่งพังทลาย

ชายชราผมสีเทาผู้หนึ่งลอยเข้ามาพร้อมกับสวีหวั่นหลัว

ชายชราคนนี้มีความสูงถึงเก้าเซี๊ยะ ร่างกายกำยำ ใบหน้าราบเรียบธรรมดา แต่ที่น่าตกใจก็คือบริเวณใต้คิ้วขวามีแผลเป็นจากรอยกระบี่พาดไปตลอดความยาวใบหน้า แม้มันจะเป็นบาดแผลที่เกิดขึ้นนานแล้ว แต่ก็ยังสามารถจินตนาการได้อย่างชัดเจนถึงความเจ็บปวดที่ชายชราต้องพบเจอยามแผลเป็นเหล่านี้เพิ่งกำเนิดขึ้นใหม่ๆ

สีหน้าของชายชราเต็มเปี่ยมด้วยความอำมหิต

หลินเป่ยเฉินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

ดวงตาของชายชราเป็นประกายเรืองรอง เวลาจ้องมองให้ความรู้สึกเหมือนมีคมกระบี่นับพันเล่มกำลังทิ่มแทงร่างกาย และส่งผลให้หลินเป่ยเฉินรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

“หมอนี่แหละ… ผู้อาวุโสสวี ท่านต้องฆ่ามันให้กับข้า”

สวีหวั่นหลัวยืนอยู่ข้างกายชายชราร่างกำยำ ระเบิดเสียงคำรามเหมือนสัตว์ร้ายผู้บาดเจ็บ

ชายชราคนนี้มีสถานะเป็นองครักษ์ประจำตัวสวีหวั่นหลัว

ผู้อาวุโสสวีละสายตาไปจากหลินเป่ยเฉินและกราดมองทั่วห้องรับประทานอาหารที่ข้าวของตกแตกกระจัดกระจาย และเห็นร่างของซูซือเหวินถูกผ่าเป็นสองซีกกองอยู่บนพื้น หลังจากนั้นจึงได้พบเห็นร่องรอยการสังหารบรรดาคุณชายผู้ติดตามสวีหวั่นหลัวอีกหลายคน แล้วดวงตาของชายชราก็หรี่ลงเล็กน้อย

“เจ้าสังหารคนเหล่านี้หรือ?”

ชายชราหันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉินอีกครั้ง

“แล้วจะทำไม?”

หลินเป่ยเฉินหัวเราะเยาะตอบกลับไป

“อายุเพียงเท่านี้ เจ้ากลับจิตใจโหดร้ายอำมหิต หากปล่อยให้เติบโตต่อไป โลกนี้คงต้องปั่นป่วนวุ่นวาย ผู้คนจะต้องเดือดร้อนอีกมากมาย ความผิดที่เจ้าก่อในครั้งนี้ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถให้อภัยได้อีกแล้ว”

ผู้อาวุโสสวีพูดด้วยน้ำเสียงสั่งสอน “แต่ในเมื่อเจ้ามีสถานะเป็นผู้ที่ถูกเลือก ข้าก็จะให้เกียรติเจ้าได้ปลิดชีวิตตนเองเสีย และข้าจะทิ้งศพของเจ้าไว้ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด”

หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่ม

เขาชูนิ้วกลางให้ชายชรา

“ไปตายซะ ไอ้แก่”

นี่คือถ้อยคำที่พูดออกมาได้อย่างไร?

มีหรือที่ยอดฝีมือจะทนทานได้

ผู้อาวุโสสวีแสดงสีหน้าโกรธแค้นออกมาแล้ว

ความเปลี่ยนแปลงของกล้ามเนื้อบนใบหน้าทำให้รอยแผลเป็นบริเวณหางคิ้วมีความน่าสะพรึงกลัวมากกว่าเก่า “ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าเป็นผู้ที่ถูกเลือกได้อย่างไร แต่ในเมื่อเจ้าไม่เคยคิดถึงสิ่งที่จะตามมาจากการกระทำของตนเอง ก็ไม่มีเหตุผลที่ข้าต้องเกรงใจวิหารเทพกระบี่อีกต่อไป เพราะฉะนั้น… เจ้าจงตายซะ!”

ป๊อก!

ชายชรายกมือขึ้นดีดนิ้ว

นับเป็นเสียงที่คุ้นเคยยิ่ง

หลินเป่ยเฉินหันไปมองสวีหวั่นหลัวที่ยืนอยู่ข้างกายชายชรา

เขารู้เหตุผลแล้ว

ที่แท้สวีหวั่นหลัวก็เรียนวิธีดีดนิ้วมาจากชายชราคนนี้นี่เอง

สวีหวั่นหลัวระเบิดเสียงหัวเราะเหยียดหยาม “ฮ่าฮ่า เจ้าคนแซ่หลิน เจ้าเพิ่งได้รับลำแสงกระบี่จากผู้อาวุโสสวี บัดนี้พลังลมปราณยังตกค้างอยู่ในสมองของเจ้า บัดนี้ ผู้อาวุโสดีดนิ้วโคจรพลังแล้ว เจ้าก็จะต้อง…”

แต่พูดมาถึงตรงนี้ ท่านอ๋องน้อยก็พลันมีสีหน้าตกตะลึง

เพราะหลินเป่ยเฉินยืนอยู่ตรงนั้น นอกจากสมองจะไม่ระเบิด เด็กหนุ่มยังไม่มีอาการของความเจ็บปวดแสดงออกมาแม้แต่น้อย

ตอนนั้นเอง อ๋องน้อยถึงนึกขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้เขาก็โจมตีหลินเป่ยเฉินด้วยพลังปราณสายฟ้า แต่ก็ยังไม่สามารถทำอะไรหลินเป่ยเฉินได้เช่นกัน

ห้องรับประทานอาหารตกอยู่ในความเงียบงันอีกครั้ง

ผู้อาวุโสสวีมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย ถามออกมาว่า “เจ้าสามารถต้านทานพลังกระบี่เยือกแข็งของข้าได้อย่างไร?”

ต้านทานกับผีน่ะสิ

หลินเป่ยเฉินไม่รู้จะตอบอย่างไรดี

เพราะเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตนเองถึงไม่เป็นไรเลย

“เอาล่ะ ในเมื่อเจ้าไม่ยอมแพ้โดยง่าย ข้าก็คงต้องใช้พลังขั้นสูงสุดกับเจ้าแล้ว”

สีหน้าของชายชราเยือกเย็นยิ่งกว่าน้ำแข็งขึ้นมาทันที

ความหนาวเย็นแผ่ปกคลุมบรรยากาศ

แล้วแท่งน้ำแข็ง 6 แท่งก็พลันปรากฏขึ้นสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มันหมุนวนอยู่รอบลำตัวของผู้อาวุโสสวีราวกับเป็นเกล็ดหิมะที่กำลังโปรยปราย

คาดไม่ถึงเลยว่าชายชราก็มีพลังปราณธาตุน้ำแข็งเช่นกัน

หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในคณะผู้ติดตามอ๋องน้อยสวีหวั่นหลัวเบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อ

เพราะพลังปราณธาตุน้ำแข็งของชายชรา มีความแข็งแกร่งมากกว่าพลังของนาง ชนิดที่ไม่สามารถนำมาเทียบกันได้เลย

บัดนี้ หลินเป่ยเฉินบังคับให้ผู้อาวุโสสวีต้องแสดงฝีมือที่แท้จริงออกมาแล้ว

ในแววตาของชายชราเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร เขากำลังจะระเบิดพลังจัดการเจ้าเด็กหนุ่ม

แต่วินาทีนั้นเอง…

“ช้าก่อน”

หลินเป่ยเฉินพูดออกมา

ชายชราชะงักเล็กน้อย ก่อนหัวเราะในลำคอ “เจ้ายังมีคำใดอยากสั่งเสีย?”

สวีหวั่นหลัวแหงนหน้าระเบิดเสียงหัวเราะชอบใจ “คนแซ่หลิน สุดท้ายเจ้าก็หวาดกลัวแล้ว แต่ต่อให้เจ้าคุกเข่าขอร้องอ้อนวอน หรือแม้แต่โขกศีรษะจนสมองไหลออกมา ข้าก็ไม่มีทางให้อภัยเจ้าเด็ดขาด… ผู้อาวุโสสวี ท่านต้องจัดการมันเดี๋ยวนี้ ข้าอยากให้มันตายโดยทันที!”