เชอร์รีนส่งเสียงหัวเราะคิกคัก ความห่อเหี่ยวใจในวันนี้จางหายไปไม่น้อย เธอรู้สึกสบายตัวสบายใจมากขึ้น
พวกเขาไม่ได้คุยกันแค่แป๊บเดียวเท่านั้น คุยมาจากห้องทำงานไปถึงหน้าประตูโรงเรียน และวางสายอีกทีก็หลังจากโบกรถได้แล้ว
เพราะกนกอรมารับซารางกลับบ้านแล้ว เธอจึงกลับบ้านได้เลย เธอขังตัวเองอยู่ในห้อง คิดวนไปมาว่าตัวเองควรทำเช่นไรถึงจะถูก
คิดใคร่ครวญสักพัก เธอก็ตัดสินใจได้ เธอโทรหาสิงหาเพื่อนัดเจอกันด้วยน้ำเสียงแน่วแน่
สถานที่นัดเจอกันไม่ได้ห่างจากบ้านมากนัก เชอร์รีนไปถึงก็เห็นสิงหานั่งเคียงข้างกับวินดา เธอเข้าไปนั่งตรงข้ามพวกเขา
“เชอร์รีนนัดพวกเราออกมาเจอกันตอนดึกอย่างนี้ เพราะคิดดีแล้วใช่ไหม?” สิงหาเอ่ยปากถาม
เชอร์รีนพยักหน้าอย่างเฉยเมย พลางกวาดสายตาผ่านตัววินดาอย่างราบเรียบ สีหน้าเธอนิ่งสงบมาก ไม่มีความตื่นเต้นหรือปีติยินดีอะไร
“ให้หนูบริจาคไขกระดูกก็ได้ แต่มีเงื่อนไขที่พวกคุณต้องรับปากหนูหนึ่งข้อค่ะ”
ใบหน้าสิงหาเผยความรื่นรมย์ เอ่ยปากว่า“หนูบอกมาได้เลย”
“หลังบริจาคไขกระดูกแล้ว หนูกับเธอไม่เกี่ยวข้องกันอีก และไม่บอกคนอื่นเรื่องความสัมพันธ์ของหนูกับเธอด้วย อย่างที่คุณลุงบอก เธอให้ชีวิตหนู หนูก็คืนไขกระดูกให้หนึ่งครั้ง ว่าไงคะ?”
เชอร์รีนไม่ได้มองวินดาตั้งแต่ต้นยังจบแม้แต่แวบเดียว เพราะไม่มีความจำเป็นต้องมอง
สาเหตุที่เธอรับปากสิงหา ไม่ใช่เพราะเธอเป็นคนดี มีความเมตตา แต่เป็นเพราะวินดาคลอดเธอ เคยรู้สึกเจ็บปวดจากการคลอดเธอ การที่เธอยอมมอบไขกระดูกให้เพราะต้องการจะตัดขาดความสัมพันธ์สิ่งเดียวที่มีอยู่ให้หมดสิ้นไป
วินดาให้ชีวิตเธอ เธอก็จะคืนชีวิตให้อีกฝ่าย หลังจากนั้นก็ไม่เกี่ยวข้องกันอีก
สิงหามองวินดาด้วยรอยยิ้มเจือจางมุมปาก ส่วนวินดามีสีหน้าไม่สะทกสะท้าน ไม่ได้มีคลื่นอารมณ์มากนัก ได้”
“ดีเลยค่ะ วันหลังถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องโทรหาหนูนะคะ หนูไม่อยากเห็นพวกคุณโทรมา หวังว่าจะได้ร่วมมือกันอย่างมีความสุขนะคะ”
เมื่อทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ต่อ เชอร์รีนลุกขึ้นแล้วเดินออกไปโดยไม่ชายตามองทั้งสองคน
วินดายิ้ม เธอกับพ่อของเธอทั้งเย็นชาและกระด้างกระเดื่องเหมือนกันทั้งคู่
เชอร์รีนไม่ได้ปรึกษาหารือเรื่องการปลูกถ่ายไขกระดูกกับกนกอรและจักรกฤษ เพราะเธอคิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องปรึกษา เธอสามารถตัดสินใจเองได้
หลังปลูกถ่ายไขกระดูกเสร็จก็จะกลายเป็นคนแปลกหน้า แล้วทำไมจะต้องทำให้พวกท่านที่ชุบเลี้ยงชีวิตตนมาต้องเป็นห่วงด้วย?
ยิ่งออกัสแล้ว เธอยิ่งไม่อาจเปิดปากพูดได้ ปกติเธอเป็นคนเก็บคำพูดไม่เป็น ทว่าเรื่องความสัมพันธ์ของวินดากับสิงหา เธอยากจะปริปาก
รอให้เธอคิดหาวิธีพูดได้แล้วค่อยบอกอีกฝ่ายจะดีกว่า
เพราะถึงอย่างไรสิงหาก็เป็นพ่อของออกัส ไม่ใช่คนอื่นคนไกล……
เชอร์รีนรู้สึกสะอิดสะเอียนเมื่อนึกถึงพวกเขาสองคนอยู่ด้วยกัน ขยะแขยงสุดๆ หากออกัสรู้เรื่องนี้แล้วจะทำอย่างไรกันนะ?
……
สุนันท์รู้สึกช่วงนี้สิงหาไม่เคยอยู่บ้านเลย เอาแต่ออกไปด้านนอกทุกวัน
เธอไม่เข้าใจว่าเขาจะมีงานในเมืองSให้ยุ่งอะไรกันนักหนา?ถึงจะจำเป็นต้องทำ จำเป็นต้องสร้างปฏิสัมพันธ์อันดีงามกับบุคคลสำคัญในเมืองS ทว่าก็ไม่จำเป็นต้องออกไปตีสนิททุกวันหรอกมั้ง ไม่ใช่เหรอ?
อยู่บ้านตระกูลสิริไพบูรณ์คนเดียวมันน่าเบื่อเหลือเกิน ไม่รู้ว่าควรไปไหนดี ทันใดนั้นไม่รู้เพราะเหตุใด เธอถึงอยากไปดูผู้หญิงคนนั้นที่โรงพยาบาลวินดา
สุนันท์ชมชอบการพูดการจาของวินดามาก เพราะได้ยินคำเยินยอจากผู้หญิงงามพิสุทธิ์ มันสามารถเติมเต็มความภาคภูมิใจในตัวเองมากขึ้น
เธอโทรถามสิงหาว่าไปไหน
สิงหาบอกว่ากำลังอยู่กับบุคคลสูงศักดิ์ในเมืองS เธอจึงคุยสายไปสองสามประโยคก็วางสาย
สุนันท์อาบน้ำ แต่งหน้าแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็ถือกระเป๋า จากนั้นก็มองสำรวจตัวเองตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าหนึ่งรอบ ก่อนจะออกจากบ้านตระกูลสิริไพบูรณ์
ณ โรงพยาบาล
สิงหาวางสายก็ปอกแอบเปิ้ล วินดาที่อยู่บนเตียงคนไข้ยิ้มละมุนละไม“เมียคุณโทรมาเหรอคะ?”
“อืม” สิงหาหั่นแอบเปิ้ลเป็นชิ้นแล้วป้อนเข้าปากเธอ “ทำไมตอนนั้นคุณถึงทิ้งลูกของตัวเองล่ะ?”
“เพราะมีเหตุผลและสาเหตุที่ต้องทำอย่างนั้น” เห็นได้ชัดว่าวินดาไม่อยากคุยเรื่องนี้ มองนอกหน้าต่างอย่างเนือยๆ“ถึงฤดูใบไม้ร่วงแล้ว”
เมื่อดูนอกหน้าต่างจะเห็นใบไม้ของต้นร่มกันแดดFirmiana ที่ตอนนี้เริ่มเหลืองแล้ว ทิ้งตัวร่วงโรยตามกระแสลมลงมาสู่พื้นดิน
สิงหาริมน้ำอุ่นมา จากนั้นก็เดินไปยื่นให้เธอ ทว่าเขากลับลื่นล้มอยู่บนเตียงคนไข้อย่างไม่ทันระวัง น้ำอุ่นแก้วนี้จึงหกใส่เสื้อโรงพยาบาลบนกายวินดา
โชคดีที่น้ำไม่ได้ร้อน สิงหาจึงโล่งอก ก่อนจะหยิบชุดตัวใหม่แล้วเริ่มลงมือเปลี่ยนให้วินดา
วินดาไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด พูดติดขี้เกียจว่า“ชั้นในก็เปียกแล้ว ช่วยฉันเปลี่ยนด้วยค่ะ ฉันชอบใส่สีดำนะคะ”
ทันทีที่ถอดเสื้อโรงพยาบาลออก สิ่งที่เผยอยู่ตรงหน้าคือชุดชั้นใน
วินดาเป็นคนรักสวยรักงาม ไม่ว่าจะด้านผิวพรรณหรือรูปร่าง ล้วนบำรุงเป็นอย่างดี ทั้งยังเล่นโยคะมาหลายปี ส่งผลให้หุ่นดีอ่อนนุ่มอย่างเหลือเชื่อ และเวลาเดียวกันก็ยังเซ็กซี่เย้ายวนใจอีกด้วย
สิงหาหายใจไม่เป็นจังหวะอย่างควบคุมไม่ได้
บรรยากาศภายในห้องจึงร้อนระอุขึ้นมา ดังนั้นจึงไม่ทันสังเกตการณ์มาเยือนของแขกที่ไม่ได้รับเชิญ
สุนันท์จับจ้องแผ่นหลังอันคุ้นเคยจนไม่รู้จะคุ้นเคยกว่านี้ยังไงแล้ว เธอรู้สึกเหมือนฟ้าถล่มดินทลายก็ไม่ปาน จึงยืนไม่มั่นคง ทรุดนั่งกับพื้น ก่อนจะยกแก้วน้ำบนโต๊ะแล้วสาดใส่พวกเขาทั้งสองคน และเกิดเสียงกรีดร้องตามลำดับ “กรี๊ด!”
ไม่อยากเชื่อเลย ตอนนี้คือสุนันท์สูญเสียสติการยับยั้งชั่งใจ โกรธเป็นฟืนเป็นไฟจนรู้สึกมึนศีรษะกันเลยทีเดียว เธอหยิบแก้วน้ำขึ้นมาสาดใส่พวกเขาทั้งสองคนอีกครั้ง ……
สุนันท์ตัวสั่นเทิ้ม ดวงตาแดงก่ำ มองสิงหาด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความเคียดแค้น
เมื่อเธอยกมือก็ได้ยินเสียง“เพี๊ยะ——”หนึ่งเสียง ฝ่ามือหล่นใส่ใบหน้าสิงหา จากนั้นก็เผยรอยฝ่ามือสีแดงออกมา
“หน้าไม่อาย ไอ้กะหรี่” สุนันท์ด่าทอด้วยความกราดเกรี้ยวถึงขีดสุด เดินไปใกล้เตียงคนไข้ จากนั้นก็ง้างมือเข้าหาวินดา
ระหว่างที่ฝ่ามือเธอเกือบโดนเป้า สิงหาก็ก้าวเข้ามาด้วยความเร็วแสง จากนั้นก็คว้ามือเธอไว้“พอแล้ว!”
“ปล่อย!พอแล้วเหรอ?อะไรที่เรียกว่าพอแล้ว?”สุนันท์หันไปมองสิงหา ก่อนจะปล่อยอารมณ์บ้าคลั่งออกมา “ฉันตบมันแล้วคุณปวดใจเหรอ?”
“ไป พวกเรากลับไปคุยกันที่บ้าน” ระหว่างที่พูด สิงหาดึงข้อมือของสุนันท์ไปนอกห้องผู้ป่วย
สุนันท์ถอยหลังพลันคว้าจับเตียงคนไข้ไว้ หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่ไป จากนั้นก็ตะโกนเสียงดังกังวาน “ไม่กลับไป!ทำไมฉันต้องกลับไปด้วย!วันนี้ฉันจะให้มันรู้ผลของการขโมยสามีคนอื่น!”
ตอนนี้เธอสูญเสียสติสัมปชัญญะอย่างสิ้นเชิง เธอไม่รู้จะทำตัวทุเรศหรอก ตะเบ็งเสียงก่นด่าไม่หยุดหย่อน
ซึ่งตั้งแต่ต้นยันจบวินดาไม่ได้โต้เถียงอะไร นอนบนเตียงเงียบๆ มองสุนันท์เหมือนสุนัขบ้าอย่างไม่สะทกสะท้าน
เวลาผู้หญิงเป็นบ้าขึ้นมาจะมีกำลังวังชาอย่างน่าอัศจรรย์ใจ อาทิเช่นสุนันท์ในตอนนี้