บทที่ 252 ทั้งสามคนเจอหน้ากัน

ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง

เชอร์รีนมองแผ่นหลังของเขา ภาพใต้โต๊ะก็ผุดขึ้นบนสมองเธอ ทันใดนั้นเธอรู้สึกอึดอัด ทำตัวไม่ถูก

ทั้งสองนั่งลง หลังจากที่สั่งอาหารเสร็จ เชอร์รีนพลันถามตรงๆว่า“คุณลุงมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ?”

“ฉันคิดว่าควรให้สิ่งนี้กับหนู” สิงหายื่นแฟ้มหนังอันหนึ่งไปให้ พลางดื่มน้ำหนึ่งคำ “ดูสิ”

เชอร์รีนเลิกคิ้ว พลางเปิดแฟ้มหนังออก ด้านในคล้ายกับมีรายงานอะไรบางอย่าง เมื่อดึงออกมาเธอก็อ่านลงไปทีละบรรทัด ……

ยิ่งอ่านลงไปมากเท่าไหร่ คิ้วของเธอก็ยิ่งขมวดแน่นขึ้นเท่านั้น สุดท้ายคือขมวดคิ้วเป็นปมเลย เธอหายใจเร็ว หัวใจเต้นตึกตักไม่หยุด

เชอร์รีนหลับตาแล้วหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็ยื่นเอกสารชุดนั้นกลับไป เธอหันหน้าไปคุยกับบริกรด้วยหน้าตายิ้มแย้ม “อาหารเสร็จหรือยังคะ?”

ท่าทีของเธออยู่เหนือการคาดหมายของสิงหา“หนูไม่เชื่อรายงานชุดนี้เหรอ?”

“หนูไม่เข้าใจว่าทำไมคุณลุงถึงให้หนูดูพวกนี้ หนูอยากรู้จุดนี้มากค่ะ”เธอยกแก้วน้ำชาขึ้นมาดื่ม

“อันที่จริงเรื่องนี้เกินความคาดหมาย เธอเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว จำเป็นต้องปลูกถ่ายไขกระดูก ซึ่งไขกระดูกของคนในครอบครัวตอบโจทย์กว่า เธอมีหนูตอนสาว แต่ด้วยสาเหตุหลายๆอย่างจึงทำให้ต้องจำใจทอดทิ้ง แต่ก่อนทิ้งได้ใส่แหวนหยกที่ผ้าห่อเด็กทารก เมื่อวานฉันส่งซารางไปที่โรงพยาบาลแล้วเห็นแหวนหยกชิ้นนั้นแขวนอยู่บนคอของซาราง ฉันเลยให้ผู้ช่วยไปตรวจสอบเรื่องนี้ ซึ่งผลรายงานชุดนี้เป็นความจริงนะ หนูไม่จำเป็นต้องสงสัยเลย”

แหวนหยก……

เชอร์รีนกระพริบตาปริบๆ นึกถึงตอนถอดเสื้อให้ซารางเมื่อคืน ซึ่งเห็นแหวนหยกแขวนอยู่ที่คอของลูกสาว แต่ไม่ได้สนใจอะไร คาดไม่ถึงว่ากลับ ……

ร่างกายเธออดสั่นเทาเบาๆไม่ได้ กระทั่งมือที่ถือแก้วน้ำชาก็สั่นระริกเล็กน้อย เธอจับแก้วน้ำชาไว้แน่น ไม่ได้พูดอะไร

เธอฟังความเข้าเดียวไม่ได้ ต้องกลับไปถามพ่อกับแม่ก่อน ถึงแม้จะมีผลตรวจกองอยู่ตรงหน้าก็ตามที

“HLAของพวกหนูเข้ากันได้แบบนี้ จึงมีโอกาสสูงที่หนูจะช่วยเธอได้ หนูในฐานะครูก็ดี หรือด้วยความเป็นคนมีจิตใจเมตตาก็ช่าง คาดว่าแม้กระทั่งคนแปลกหน้าก็จะยื่นมือช่วยด้วยความยินดี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นแม่แท้ๆเลย ใช่หรือเปล่า?ฉันคิดว่าคงมีเหตุจำเป็นต้องทิ้งหนูไปตอนนั้น เพราะไม่มีแม่คนไหนไม่รักลูกสาวตัวเองหรอก ไม่งั้นคงไม่เอาแหวนหยกไว้ให้หนูหรอก จริงไหม?”

สิงหาพูดได้สวยหรูมาก ทั้งช่วยวินดาพูดในแง่ดีและยังยกยอปอปั้นเชอร์รีนอีกด้วย สมกับเป็นคนราชการจริงๆ!

“หนูหิวแล้ว คุณลุงค่ะ หนูกินข้าวได้หรือยังคะ?” เห็นได้ชัดว่าเชอร์รีนไม่อยากคุยเรื่องนี้ต่อ จึงเฉไฉไปทางอื่น

ได้ยินดังนี้ สิงหาก็ไม่สะดวกคุยต่อ ยิ้มกล่าวว่า“ฉันมัวแต่คุยธุระ ลืมเรื่องกินไปเลย มา กินข้าว กินข้าว กินข้าวก่อน กินเยอะๆนะ”

พึงบอกชาติกำเนิดของเธอก็รีบร้อนให้เธอบริจาคไขกระดูก มันกะทันหันเกินไป ต้องให้เวลาเธอปรับตัวเสียหน่อย เขาจะคาดคั้นกว่านี้ไม่ได้

เชอร์รีนใจลอยตลอดช่วงบ่าย โชคดีที่เพิ่งเปิดเรียนเป็นวันแรก ยังไม่มีคาบสอนหนังสือ

รัดเกล้าก็สอนห้องเดียวกันกับเธอ เพียงแต่เธอทำหน้าที่สอนภาษาประจำชาติ ส่วนเขาสอนภาษาอังกฤษ ทำให้ทั้งสองอยู่ในห้องทำงานเดียวกัน ยังไงก็ต้องเจอกันบ่อยๆแน่นอน

ตอนบ่ายเลิกเรียนเช้าเป็นพิเศษ จึงไปรับซารางที่โรงเรียนอนุบาล จากนั้นก็กลับบ้านทันที ซึ่งตอนนี้มีเพียงกนกอรอยู่บ้าน ส่วนจักรกฤษไม่อยู่

มีแตงโมหั่นเป็นชิ้นอยู่บนโต๊ะ กนกอรอุ้มซารางมาแล้วหยิบชิ้นที่ใหญ่ที่สุดป้อนให้ “อากาศเย็นขึ้นเรื่อยๆ คงเป็นแตงโมลูกสุดท้ายในฤดูร้อนปีนี้แล้วนะคะ”

“คุณยายกินอันที่ใหญ่สุดเลยค่ะ หนูเล็กสุด จะกินชิ้นที่เล็กที่สุดเองค่ะ” ซารางยื่นแตงโมให้กนกอร พร้อมกับส่งเสียงกินเอร็ดอร่อย

“โธ่ หลานยายรู้ความมากเลย บอกยายสิว่าวันนี้ที่โรงเรียนสอนอะไรบ้างคะ?”

“ข่งสาลี่สละหรงค่ะ” เธอครุ่นคิดอย่างละเอียด ก่อนจะมีเสียงใสตามประสาวัยเด็กดังขึ้น

ได้ยินดังนั้น กนกอรก็อดหัวเราะคิกคักไม่ได้ มันกลั้นหัวเราะไม่ได้จริงๆ“ข่งหรงสละสาลี่นะคะ ไม่ใช่ข่งสาลี่สละหรง”

“ออ ใช่ค่ะ ข่งหรงสละสาลี่” ซารางจับใบหน้าเล็กของตนอย่างเก้อเขิน

ส่วนเชอร์รีนกลับอ้ำๆอึ้งๆ สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรมาออก หลังจากเธอกล่อมซารางนอนแล้วก็ไปที่ห้องรับแขกเพื่อจะไปดื่มน้ำเสียหน่อย ทว่ากลับเห็นกนกอรนั่งดูรูปถ่ายของซารางตอนเด็กบนโซฟา

ตรงหน้าเธอมีอัลบั้มรูปสามสี่เล่มขนาดหนาวางอยู่ เธอหย่อนกายนั่งลงบนโซฟา ก่อนจะหยิบอัลบั้มรูปขึ้นมาพลิกดูด้วยท่วงท่าสบายๆและบังเอิญเจอรูปถ่ายเธอเข้า ซึ่งเป็นรูปตอนที่เธอยังแบเบาะทั้งอัลบั้ม แต่ไม่มีรูปถ่ายตอนเกิด

หัวใจเธอเต้นรัวแรงอย่างไม่รู้ตัว เธอถามออกมาในท้ายที่สุด“แม่ค่ะ หนูเป็นลูกที่เก็บมาเลี้ยงหรือเปล่าคะ?”

กนกอรชะงักงัน สีหน้าแข็งทื่อ จากนั้นก็เงยหน้ามองเธอนิ่งๆ“ทำไมเหรอลูก?”

“หนูเป็นลูกที่เก็บมาเลี้ยงหรือเปล่าคะ?” เธอเอ่ยปากถามอีกครั้ง ภายในใจกำลังร้องภาวนาว่า ขออย่าเป็นจริงเลย ต้องเข้าใจผิดแน่นอน!เธออยากให้อีกฝ่ายบอกว่า‘ไม่ใช่’เหลือเกิน!

“ได้ยินใครพูดอะไรมาเหรอลูก?” กนกอรถามอีกครั้ง เชอร์รีนคงไม่ถามเช่นนี้โดยไม่มีต้นสายปลายเหตุแน่ ต้องมีคนพูดอะไรลับหลังแน่ๆ

“แม่ค่ะ หนูอยากรู้คำตอบค่ะ อยากได้คำตอบที่เป็นความจริงค่ะ แม่อย่าหลอกหนูนะคะ” เธอไม่ได้ตอบคำถาม แค่ยืนกรานกับสิ่งที่เป็นข้อกังขาในใจ

กนกอรปิดอัลบั้มรูป ก่อนจะถอนหายใจเสียงลากยาว แล้วพยักหน้าหงึกๆ “ใช่ แม่เก็บได้หน้าประตู”

แต่ไหนแต่ไรท่านก็ไม่ใช่คนพูดปดมดเท็จ ท่านเก็บเรื่องนี้ไว้ในก้นบึ้งของหัวใจตั้งนานแล้ว เมื่อเชอร์รีนถาม แสดงว่าคงรู้อะไรบางอย่างมาบ้างแล้ว

โครม เชอร์รีนรู้สึกหัวใจพังทลาย เสียงที่เอ่ยออกมาไม่มั่นคงเล็กน้อย “แล้วแหวนหยกที่ซารางใส่ล่ะคะ?”

“มันอยู่ในผ้าห่อตัวลูก”

เธอรู้สึกถูกสูดเอาพละกำลังทั่วร่างไปหมด นั่งตัวอ่อนยวบอยู่บนโซฟาโดยไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใด

ภาวนาในใจเป็นหมื่นๆครั้งว่าไม่ใช่ หวังอย่างยิ่งว่าเป็นเพียงเรื่องตลกที่กุขึ้นมา ทว่ากลับเป็นความจริงอันแสนโหดร้ายเสียอย่างนั้น!

วินดา ผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงคนนั้นเป็นแม่บังเกิดเกล้าของเธอ!ใช่แล้ว เธอรับไม่ได้เลย และไม่อยากยอมรับความจริงข้อนี้

“เชอร์รีน หนูจำไว้นะลูก หนูคือลูกแท้ๆของแม่ สายเลือดเป็นเพียงสัญลักษณ์อย่างหนึ่งเท่านั้น แม่รักลูกกับซารางเสมอ พูดตามความเป็นจริงเลยนะ ลูกย้อนคิดดูสิ ตอนที่ลูกกับพี่ชายทะเลาะกัน แม่จะเข้าข้างใคร?แม่เลี้ยงลูกโตขนาดนี้แล้ว คนอื่นอย่าได้คิดจะแย่งลูกไปจากแม่เลย ลูกเป็นแก้วตาดวงใจของแม่นะ”

ท่านก้มหน้ากอดเชอร์รีน ท่านตบไหล่เธอเบาๆเหมือนตอนเด็ก

เชอร์รีนหายใจเป็นปกติ หัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำก็ค่อยๆกลับมาปกติช้าๆ เชอร์รีนกอดท่านแนบแน่น ใบหน้าซุกเข้าในอ้อมอกของอีกฝ่าย

“ฉันเลี้ยงลูกสาวจนโตขนาดนี้แล้ว ลูกสวยราวกับดอกไม้และหยกอย่างนี้ ไม่มีทางที่ใครจะมาแย่งไปได้ ตอนนี้บอกแม่ได้หรือยังว่าใครพูดอะไรกับหนู?”

เธอส่ายหัว พลางพูดขอไปทีสองสามประโยคว่า“ไม่มีอะไรค่ะ แค่ฟังคนอื่นคุยเล่นๆกัน แล้วลองล่อถามแม่ดูค่ะ ไม่คิดว่าแม่จะยอมรับง่ายๆอย่างนี้”

“ไอ้ลูกบ้า!ที่แม่ไม่บอกเพราะไม่อยากให้หนูมีปมในใจ แม่เลี้ยงลูกตั้งแต่เล็กมาจนโต หนูคือลูกแท้ๆของแม่นะ วันหลังคนอื่นคุยเล่นอะไรหนูก็ถือว่าไม่ได้ยินนะ”

สองแม่ลูกนั่งคุยกันบนโซฟาอีกสักพักใหญ่ๆ ก่อนจะกล่าวราตรีสวัสดิ์แล้วแยกย้ายกันไปพักผ่อน

เชอร์รีนนอนคิดฟุ้งซ่านไปต่างๆนาๆ สมองไม่อาจทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ เพียงแค่หนึ่งวันสั้นๆ เธอกลับรู้สึกว่าชีวิตของตนพลิกผันหนึ่งร้อยแปดสิบองศาเลยทีเดียว

วินดาคือมารดาผู้ให้กำเนิดเธอ ซึ่งอีกฝ่ายแอบเป็นชู้ของสิงหา!

เธอไม่คิดจะนับแม่กับวินดา ตอนนี้เธอมีชีวิตที่เป็นสุขแล้ว เธอไม่อยากถูกอีกฝ่ายทำลาย

ก่อนจะรู้เรื่องนี้ วินดาคือคนแปลกหน้าสำหรับเธอ และหลังจากรู้เรื่องนี้ อีกฝ่ายก็แค่คนแปลกหน้าที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดเท่านั้น ซึ่งอย่างไรเสียก็ยังคงเป็นคนแปลกหน้าเช่นเดิม

ท้องฟ้าค่อยๆมืดมนเรื่อยๆ ความคิดอันยุ่งเหยิงก็ค่อยๆกลับมาเป็นปกติ……

ช่วงนี้ออกัสไปทำงานที่อเมริกา ซึ่งได้บอกล่วงหน้าไว้แล้ว ตอนเธอตื่นมาหกโมงเช้าก็ได้รับสายจากอีกฝ่าย เธอคุยได้เพียงสองประโยค จากนั้นก็ยื่นมือถือให้ซาราง เธอไม่รู้ว่ามีอะไรให้สองพ่อลูกคุยกัน พวกเขาใช้เวลาคุยกว่าครึ่งชั่วโมง เธอรู้สึกคุยสู้พวกเขาไม่ได้จริงๆ

เธอส่งซารางไปที่โรงเรียน จากนั้นก็ไปทำงาน เมื่อถึงเวลาอาหารเที่ยง ครั้งนี้สิงหารอเธออยู่ในห้องทำงานของผู้อำนวยการ เธอไม่ต้องคิดก็รู้ว่าอีกฝ่ายมาด้วยเจตนาอันใด

ภายในร้านกาแฟตรงข้ามโรงเรียน สิงหาเอ่ยด้วยความจริงใจ “เชอร์รีนฉันรู้ว่าไม่ควรเร่งหนู แต่สำหรับคนป่วยแล้ว เร็วขึ้นหนึ่งวันเท่ากับมีความหวังเพิ่มขึ้นหนึ่งส่วนนะ ไม่ว่ายังไงเธอก็เป็นแม่ของหนูนะ เธอให้ชีวิตหนู การเอาไขกระดูกจากหนูคงไม่เกินไปหรอกใช่ไหม?”

“มีใครรู้เรื่องนี้บ้างคะ?” เชอร์รีนไม่ได้แยแสในสิ่งที่เขาพูด เพียงแค่ถามประโยคนี้

“ฉัน หนูและเธอ สามคนเท่านั้น”

“หนูจะพิจารณาดูค่ะ ถ้าได้คำถามแล้วหนูจะบอกค่ะ หนูยังมีสอนไปก่อนนะคะ” เธอไม่ได้ดื่มกาแฟ ลุกขึ้นทันที

ความสัมพันธ์ทางสายเลือดที่สิงหาใช้เป็นตัวดึงเกมไม่ค่อยเป็นผล อีกฝ่ายเป็นคนคลอดเธอจริง แต่คนที่เลี้ยงเธอจนเติบใหญ่คือกนกอร

ยิ่งไปกว่านั้น หากเธอดูไม่ผิดล่ะก็ วินดาก็ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับเธอเลยสักนิด ไม่เช่นนั้น คนที่มาคุยกับเธอก็ต้องเป็นอีกฝ่าย ไม่ใช่สิงหา ไม่ใช่เหรอ?

หลังจากเข้าสอนช่วงบ่ายทั้งหมดเสร็จ เธอก็ทำการจัดแจงโต๊ะทำงาน ซึ่งเวลานี้เสียงมือถือพลันดังขึ้น เจ้าของสายคือออกัส“ทำอะไรอยู่?”

“เก็บเอกสารกับของบนโต๊ะให้เข้าที่ แล้วเตรียมตัวไปรับลูกสาวของคุณ แล้วคุณล่ะ?”

“พึ่งกลับจากบริษัทมาถึงบ้าน คุณกับลูกสาวอยากได้อะไรไหม ผมจะไปซื้อให้”

“ไม่มีค่ะ คุณกินข้าวตรงเวลาด้วยนะ แล้วดื่มกาแฟน้อยๆหน่อย คุณรู้ว่าลูกสาวคุณไม่ชอบให้คุณสูบบุหรี่ค่ะ”

“ผมจำพวกนี้ได้แล้ว ฝ่ายบอกลูกสาวว่าผมรักลูก แล้วฝากบอกหม่ามี๊ของลูกสาวด้วยว่า ผมก็รักเธอ