บทที่ 107 แค่พี่เท่านั้น

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 107
แค่พี่เท่านั้น

เมื่อโม่หยี่ หมอประจำของตระกูลโม่มาถึงก็เห็นว่า มู่หรงเสวี่ยรักษาแผล, เย็บแผลและพาโม่หลิวเฟิงไปพักที่เตียงเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ดูเหมือนว่าลมหายใจของเขาจะคงที่แล้วแต่ก็คงยังต้องเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิดไปอีกสองวันเพื่อป้องกันแผลติดเชื้อ

“ใครเป็นคนทำ…แผลนี้?” โม่หยี่ถามด้วยความตกใจ
แผลของโม่หลิวเฟิงอยู่ห่างจากหัวใจนิดเดียว ถ้าไม่ระวังอาจจะไปโดนหัวใจเขาได้ อย่างไรก็ตามเขาไม่เข้าใจว่าจัดการแผลนี้ได้ยังไง แผลสมบูรณ์แบบมากๆ ขนาดเขาเองยังไม่มั่นใจเลยว่าตัวเองจะทำแบบนี้ได้หรือเปล่า นี่เป็นฝีมือของหมอผู้เชี่ยวชาญคนไหนกัน

“ไม่ต้องสนใจหรอกว่าใครเป็นคนทำ แค่ตรวจอาการของพี่ชายฉันก่อน ตอนนี้เขาน่าจะเสียเลือดไปเยอะคงจะต้องทำการถ่ายเลือด ซึ่งจะต้องรีบทำทันที” โม่อ้ายหลี่ไม่ได้พูดว่ามู่หรงเสวี่ยเป็นคนรักษาเขา พวกการ์ดของตระกูลโม่และคนอื่นๆก็ถูกเตือนไว้ด้วยเช่นกัน เธอรู้ว่ามู่หรงเสวี่ยไม่อยากที่จะเป็นที่สนใจมากเกินไป ในตอนแรกเธอไม่เข้าใจจึงถามออกไปด้วยความสงสัย อย่างไรก็ตามเด็กสาวตอบว่าเธอรู้ดีว่าหลังจากนั้นมันจะต้องแย่มากๆ

“โอเคครับ” โม่หยี่รู้สายตาแบบนี้ดี เห็นได้ชัดว่าคุณหนูใหญ่ไม่อยากที่จะบอกใครเรื่องนี้ ถ้าเป็นแบบนี้เขาก็จะไม่ถาม แต่ก็เพียงแค่เสียดายที่จะไม่ได้รู้จักผู้เชี่ยวชาญคนนี้

เพราะโม่หลิวเฟิงพ้นขีดอันตรายแล้ว ดังนั้นโม่อ้ายหลี่, มู่หรงเสวี่ยและโม่หยี่จึงจะคอยดูอาการอีกแค่สองวันเพื่อกันไว้ก่อนเท่านั้น

จนกระทั่งดึก โม่หลิวเฟิงก็เริ่มที่จะมีไข้สูง ร่างกายของเขาร้อนราวกับไฟและเขาก็เริ่มหายใจลำบาก ซึ่งโม่หยี่สามารถจัดการกับปัญหาพวกนี้ได้ มู่หรงเสวี่ยจึงทำเพียงแค่มองดูสถานการณ์ก่อนที่จะลงมือทำอะไร ถ้าไม่ใช่เรื่องจำเป็นเธอก็ไม่อยากที่จะเข้าไปยุ่งมากนัก ถ้าเธอเข้าไปยุ่งมากเกินไปจนผิดสังเกตก็กลัวว่าอีกฝ่ายคงจะไม่ปล่อยเรื่องให้ผ่านไปเหมือนก่อนหน้านี้แน่

เช้าวันต่อมา โม่ฉางเฟิงก็กลับมาที่เมือง A ช่วงหัวค่ำของเมื่อคืนเขาได้รับข้อความว่าโม่หลิวเฟิงได้รับบาดเจ็บสาหัสและอาการเป็นตายเท่ากัน เขาจึงรีบออกมาทันที อย่างไรก็ตามเนื่องจากเอกลักษณ์พิเศษของเขาและข้อจำกัดมากมาย เขาจึงได้กลับมาเช้านี้ ตลอดทางเขาเป็นกังวลมากว่าตระกูลโม่จะไร้ซึ่งทายาทแล้ว หลายปีก่อน เขาเคยสูญเสียลูกชายที่รักและลูกสะใภ้ไปแล้ว หลังจากนั้นมาอีกหลายปีเขาจะต้องมาเจอนรกแบบนี้อีกครั้ง

สีหน้าของโม่ฉางเฟิงซีดเผือดและมือสั่นเทิ้ม ระยะทางเพียงไม่นานบนท้องถนนแต่กลับรู้สึกยาวนานเหมือนเป็นศตวรรษ

ในที่สุดก็มาถึงคฤหาสน์ของตระกูลโม่ในเมือง A โม่ฉางเฟิงก้าวออกมาจากรถ ร่างกายแก่ๆของเขาสั่นเทิ้ม ราวกับว่าเขากำลังจะเป็นลมลงไปกับพื้นได้ทุกเมื่อ บอดี้การ์ดที่อยู่ข้างๆเขารีบก้าวเข้าไปเพื่อช่วยพยุงชายแก่คนที่อุทิศทั้งชีวิตเพื่อประเทศ พวกเขาทุกคนต่างก็พร้อมที่จะปกป้องเขาด้วยชีวิต เมื่อพวกเขาได้ยินข่าว พวกเขาก็กลัวว่าผู้บัญชาการจะรับเรื่องนี้ไม่ได้ ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าพวกการ์ดว่าโม่หลิวเฟิงเป็นความหวังเดียวของโม่ฉางเฟิงที่ยังทำให้เขาอยู่บนโลกนี้ได้

“นายน้อยอยู่ที่ไหน?” โม่ฉางเฟิงถามพวกการ์ดที่หน้าประตูด้วยเสียงแหบแห้ง

“นายน้อยอยู่ในห้องครับและเขาก็พ้นขีดอันตรายแล้วครับ!” การ์ดรีบอธิบายสถานการณ์ของโม่หลิวเฟิงทันทีซึ่งเป็นสิ่งที่โม่ฉางเฟิงอยากจะรู้ที่สุดในตอนนี้

หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของการ์ด สีหน้าของโม่ฉางเฟิงก็ค่อยๆผ่อนคลายลงและหัวใจเขาก็สงบลงเล็กน้อย แต่เขายังไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองจึงยังไม่สามารถวางใจได้อย่างที่สุด เขาดึงการ์ดมายืนข้างๆและจับมือเขา ในตอนนี้ในที่สุดเขาก็พอมีแรงขึ้นมาแล้วและรีบเดินไปที่ห้องของโม่หลิวเฟิง

โม่ฉางเฟิงเปิดประตู “หลิวเฟิง”
“คุณปู่ กลับมาได้ยังไงคะ?” โม่อ้ายหลี่บังเอิญเห็นร่างของคุณปู่ เธอเพียงแค่ไม่อยากที่จะทำให้คุณปู่ต้องเป็นกังวล จึงไม่ได้โทรบอกเขาแต่เขาก็ยังรู้เรื่องอยู่ดี

“หลิวเฟิงเป็นยังไงบ้าง?” เขามองไปที่โม่หลิวเฟิงที่ยังนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงด้วยสายตาเป็นกังวล

“คุณปู่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ พี่โม่ไม่เป็นไรแล้ว ลืมไปแล้วเหรอคะว่าใครอยู่ที่นี่ด้วย? พี่ใหญ่ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ” โม่อ้ายหลี่พูดเป็นนัยๆ

โม่ฉางเฟิงสังเกตเห็นว่าในห้องมีกันอยู่สองคน คนหนึ่งคือมู่หรงเสวี่ย ส่วนอีกคนคือโม่หยี่ ในวินาทีที่เขาเห็นมู่หรงเสวี่ย หัวใจของเขาก็สงบลงไปเยอะมาก ใช่ ถ้ามีหนูมู่หรงอยู่ที่นี่ก็คงไม่มีปัญหาอะไร เขาอยากที่จะขอบคุณหนูมู่หรงแต่เห็นว่าในห้องมีคนอยู่กันเยอะเกินไปเขาจึงเงียบไว้ “หนูมู่หรง ลำบากหน่อยนะที่ต้องเจอฉันแบบนี้ ฉันต้องขอโทษจริงๆนะ” ในน้ำเสียงมีความขอบคุณอยู่ลึกๆ
“คุณปู่โม่อย่าพูดแบบนั้นเลยค่ะ ฉันเองก็มองพี่โม่เหมือนเป็นพี่ตัวเองค่ะ” โชคดีที่เธอบังเอิญอยู่ที่บ้านโม่ด้วย ไม่งั้นการรักษาคงจะช้าไปมาก

โม่ฉางเฟิงหันหัวไปหาโม่หยี่และพูดออกมาว่า “โม่หยี่ คุณเองก็ต้องเหนื่อยเลยนะ!”

“ไม่ๆ ไม่เลยครับ นี่เป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว” อีกอย่าง เขาไม่ได้ทำอะไรเลยด้วย เขาเพียงแค่มาดูแลตอนหลังแค่นั้นเอง เขาไม่ได้ทำการผ่าตัดด้วยซ้ำ

หลังจากที่มั่นใจแล้วว่าโม่หลิวเฟิงไม่เป็นอะไรแล้ว เขาก็รู้สึกโล่งอกมากจริงๆ โชคยังดีที่พระเจ้าไม่ได้ใจร้ายเกินไป

“คงไม่เหมาะเท่าไรที่คนมากมายจะมาอยู่ในห้องกันแบบนี้ มันจะกระทบกับการพักผ่อนของพี่โม่ด้วย มีคนอยู่กันเยอะก็จะทำให้อากาศไม่ค่อยถ่ายเทเท่าไร หนูว่าเหลือแค่คนเฝ้าไว้คนเดียวก็น่าจะพอนะคะ อีกอย่างเมื่อคืนทุกคนก็ไม่ได้นอนกันมาทั้งคืน งั้นเราออกไปพักผ่อนกันดีกว่านะคะ หนูจะอยู่เฝ้าเองจนถึงค่ำๆแล้วค่อยให้คนอื่นมาเปลี่ยนกับหนูแล้วกันนะคะ” มู่หรงเสวี่ยพูดออกมา

“ไม่ ไม่ต้องเลย จะให้เธอเฝ้าได้ยังไง? เมื่อวานเธอเหนื่อยมาทั้งวันแล้วกลางคืนยังต้องอดนอนอีกทั้งคืน ฉันจะเฝ้าเอง เธอออกไปพักเถอะ” โม่อ้ายหลี่รีบพูดขึ้นมาเพราะเธอรู้ว่าการผ่าตัดต้องใช้แรงมากแค่ไหน แล้วหลังจากนั้นมู่หรงเสวี่ยก็ยังไม่ได้พักเลย เธอคิดว่าเพื่อนน่าจะเหนื่อยมากกว่าเธอมาก

“ฉันจะเฝ้าเองไม่ต้องห่วงนะ อีกอย่างฉันไม่เหนื่อยด้วย เผื่อมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นไง…” เธอไม่ได้พูดออกมาชัดๆแต่ทุกคนที่รู้ความจริงต่างก็รู้ดีว่าเธอหมายถึงอะไร มีเพียงโม่หยี่ที่ไม่รู้ แต่ก็ไม่กล้าที่จะถามออกมา

“งั้นถ้าเธอเหนื่อยก็ไม่ต้องฟืนนะ เธอต้องบอกฉันนะ แล้วเดี๋ยวฉันจะไปเอาอาหารเช้ามาให้นะ…” โม่อ้ายหลี่รีบเดินเข้าไปในครัวที่ชั้นล่างและบอกให้แม่บ้านเตรียมอาหารเช้าไว้ให้พร้อม
“ฉันไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดีนะหนูมู่หรง ขอบคุณมากเลยนะ” โม่ฉางเฟิงพูดออกมาพร้อมดวงตาที่มีน้ำซึมเล็กๆ พวกเขาตระกูลโม่เป็นหนี้มู่หรงเสวี่ยมากมายเกินบรรยายจริงๆ
มู่หรงเสวี่ยหัวเราะ “คุณปู่โม่ อย่าพูดกับหนูแบบนี้เลยค่ะ คุณปู่ไปพักผ่อนเถอะนะคะเดี๋ยวหนูอยู่เฝ้าเองค่ะ!”

ทุกคนกลัวว่าจะรบกวนการพักผ่อนของโม่หลิวเฟิงจึงรีบออกมาจากห้อง โม่อ้ายหลี่ที่เอาอาหารเช้ามาให้มู่หรงเสวี่ยก็รอจนกว่าเธอจะกินเสร็จแล้วจึงบอกให้แม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดก่อนที่จะออกไป ไม่เพียงแต่กับตระกูลโม่ แต่กับตัวโม่อ้ายหลี่เอง มู่หรงเสวี่ยก็ช่วยเธอไว้มากมายเช่นกัน เธอรู้สึกขอบคุณพระเจ้าจริงๆที่ส่งเพื่อนที่แสนดีแบบนี้มาให้เธอ ไม่เพียงแค่จะคอยช่วยเหลือแต่ยังเป็นเพื่อนแท้ที่ไม่ต้องการอะไรจากเธอเลยสักนิด มู่หรงเสวี่ยคือเพื่อนแท้ที่รักและคอยเป็นห่วงเธอเสมอจริงๆ

เธอหยิบขวดน้ำเล็กๆที่มู่หรงเสวี่ยรินให้เธอไว้เมื่อคืนขึ้นมา นี่เป็นสิ่งที่เสี่ยวเสวี่ยบอกให้เธอดื่ม เธอปฏิเสธเพราะอยากที่จะเก็บไว้ให้เสี่ยวเสวี่ยกับพี่ใหญ่มากกว่า อย่างไรก็ตาม เสี่ยวเสวี่ยบอกเธอว่าไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ อีกอย่างอีกเดือนเดียวเธอก็จะต้องสอบจบการศึกษาแล้ว เสี่ยวเสวี่ยบอกว่าเธอจะไม่ก้าวหน้าถ้าไม่พักผ่อนและทบทวนตำราให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
สิ่งที่เธอต้องทำในตอนนี้คือศึกษาเรื่องตำราให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้และไม่ต้องเป็นห่วงอะไร อาการบาดเจ็บของพี่ใหญ่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่แล้วและส่วนที่เหลือก็แค่การพักฟื้นร่างกายเท่านั้น ดังนั้นเธอไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นห่วงเรื่องนี้ เธอแอบตั้งเป้าหมายอยู่ในใจว่าจะต้องสอบจบการศึกษาให้ผ่าน ไม่ว่ายังไงก็ตามเธอไม่อยากที่จะอยู่ห่างจากมู่หรงเสวี่ย เธออยากที่จะเป็นเพื่อนที่ดีของกันและกันไปตลอดชีวิต

หลังจากที่ทุกคนออกไปแล้ว และมั่นใจแล้วว่าไม่มีใครแล้วจริงๆ มู่หรงเสวี่ยก็เอาน้ำออกมาจากมิติลับและดื่มเข้าไป โชคดีที่เธอยังมีน้ำแห่งจิตวิญญาณ

เธอเดินไปที่ข้างเตียงของโม่หลิวเฟิง ค่อยๆจับที่ชีพจรของเขา ชีพจรเขาคงที่แล้ว ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว เธอรู้สึกโล่งอกจึงเอนตัวลงที่โซฟาเพื่อที่จะพักสักหน่อย

นี่ฝันไปหรือเปล่า?!!
โม่หลิวเฟิงกะพริบตา ใบหน้าที่สวยงามตรงหน้าเขาราวกับนางฟ้าซึ่งทำให้หัวของเขาคิดไปว่านี่เป็นความฝัน เขาอยากที่จะสัมผัสใบหน้าที่สวยงามตรงหน้าแต่ก็กลัวว่าจะต้องตื่นจากฝันที่หายากนี้ เขาขยับนิ้วและรู้สึกว่าตัวเองเจ็บที่หน้าอกจนอดไม่ได้ที่จะร้องออกมา

ทันใดนั้นมู่หรงเสวี่ยที่เพียงแค่พักสายตาก็ตื่นขึ้นมา “พี่โม่ ในที่สุดก็ฟื้นแล้วนะคะ รู้สึกเจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่า…” เธอมองไปที่โม่หลิวเฟิงอย่างมีความสุข

อย่างไรก็ตามโม่หลิวเฟิงไม่ได้ยินสิ่งที่เธอพูด เขายังคงจ้องอยู่ที่มู่หรงเสวี่ย เป็นเวลานานที่เขาบอกไม่ได้ว่านี่เป็นความฝันหรือว่าเรื่องจริงกันแน่?!

หลังจากที่พูดออกไปตั้งเยอะแต่โม่หลิวเฟิงก็ไม่ตอบอะไร มู่หรงเสวี่ยจึงแตะไปที่หน้าผากของเขาด้วยความเป็นห่วง “ไม่มีการกระทบกระเทือนนี่…ไม่มีเหตุผลเลย? พี่บาดเจ็บที่หน้าอก แต่ทำไมถึงไม่พูด…” เธอพึมพำกับตัวเอง

ทันใดนั้นโม่หลิวเฟิงที่ไม่อยากจะเชื่อก็เปิดปากออกมา “มู่หรงเสวี่ยเหรอ?”

“พี่โม่รู้สึกยังไงบ้างคะ?” เธอมองที่โม่หลิวเฟิงอย่างเป็นกังวล

โม่หลิวเฟิงอยากที่จะลุกขึ้นนั่งแต่เขารู้สึกว่ามันเจ็บมากเมื่อขยับ จึงอดไม่ได้ที่จะร้องออกมา

“พี่โม่ ตอนนี้ยังขยับไม่ได้นะคะ” มู่หรงเสวี่ยรีบเช็กแผลที่หน้าอกเขาทันที โชคยังดีที่แผลไม่ฉีก

“ฉันไม่เป็นไร…” โม่หลิวเฟิงพูดปลอบใจ
“พี่โม่ อย่าขยับนะคะ ในระหว่างนี้ก็พักอยู่บนเตียงนิ่งๆไปก่อน แผลที่หน้าอกสาหัสอยู่เหมือนกันนะคะ ดังนั้นคงจะยังลุกไม่ได้อีกสักพัก โอเคไหมคะ?! อีกอย่างตอนนี้คุณปู่โม่กับ โม่อ้ายหลี่ก็อยู่ด้วยนะคะ แต่ฉันบอกให้พวกเขาไปพักก่อน ในห้องนี้อยู่กันหลายคนเกินไปจะรบกวนการพักผ่อนของพี่เปล่าๆ…” มู่หรงเสวี่ยอธิบายออกมาเบาๆ

“เธอช่วยฉันไว้งั้นเหรอ?! เสี่ยวเสวี่ย…” ถึงแม้จะถามออกมาแบบนี้แต่น้ำเสียงก็แสดงออกถึงความมั่นใจอย่างมาก เขาเป็นหนึ่งในคนที่รู้เรื่องฝีมือทางการแพทย์ของมู่หรงเสวี่ยอย่างดี
“คือบังเอิญว่าเมื่อคืนฉันอยู่ที่นี่ด้วย ฉันมาติวหนังสือกับอ้ายหลี่น่ะค่ะ ฉันต้องขอโทษด้วยที่เข้ามารบกวน…โชคดีที่บังเอิญฉันอยู่ที่นี่ไม่งั้นแผลของพี่คงแย่แน่ถ้าได้รับการรักษาไม่ทันเวลา…”

“คิดซะว่าที่นี่เป็นบ้านตัวเองเถอะนะ ฉันเคยบอกแล้วไงว่าที่นี่ต้อนรับเธอเสมอจะมาเมื่อไรก็ได้ เธอเป็นที่ต้อนรับเสมอ อีกอย่างนะเราเป็นหนี้เธออย่างที่สุด และตอนนี้ดูเหมือนว่าชีวิตฉันก็จะเป็นของเธอด้วยนะ…” โม่หลิวเฟิงพูดพร้อมรอยยิ้มจางๆ อันที่จริงเขาค่อนข้างมีความสุข

“พี่โม่ก็พูดเกินไป ฉันเองก็เห็นพี่เป็นพี่ชายด้วยเหมือนกัน คุยกันนานแล้วเดี๋ยวฉันลงไปข้างล่างไปเอาอาหารเช้ามาให้พี่นะคะ…” แล้วมู่หรงเสวี่ยก็รีบวิ่งลงไปข้างล่าง

โม่หลิวเฟิงที่ถูกทิ้งไว้ในห้องยิ้มออกมาอย่างขมขื่น กลายเป็นว่าเป็นได้แค่พี่ชาย แต่มันก็ดีแล้ว เขาเองต้องออกไปทำภารกิจตลอดไม่มีเวลาที่จะมาอยู่กับเสี่ยวเสวี่ย ภารกิจก็อันตรายมากด้วย และในอนาคตก็ยังต้องมีสถานการณ์แบบนี้อีกบ่อยๆ เขาไม่อยากที่จะรั้งเสี่ยวเสวี่ยไว้
ไม่นานมู่หรงเสวี่ยก็ยกข้าวต้มมา เพราะตอนนี้ โม่หลิวเฟิงยังขยับตัวไม่ได้ มู่หรงเสวี่ยจึงต้องป้อนเขาซึ่ง โม่หลิวเฟิงรู้สึกพอใจอย่างมาก แค่นี้ก็พอแล้ว ปล่อยให้เขาเป็นพี่ชายที่พร้อมจะปกป้องเธอด้วยชีวิตของเขา

เมื่อรู้ว่าโม่หลิวเฟิงฟื้นแล้ว โม่ฉางเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาด้วยความขอบคุณและลูบไปที่หัวของมู่หรงเสวี่ย ความรู้สึกขอบคุณของเขาบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้เลย ตั้งแต่นี้ไปเขาจะนับว่ามู่หรงเสวี่ยเป็นคนในครอบครัวของเขาด้วย เธอเป็นคนพิเศษและตัวนำโชคของตระกูลโม่ของเขา

สองวันต่อมา มู่หรงเสวี่ยไม่จำเป็นที่จะต้องเฝ้า โม่หลิวเฟิงอีกแล้ว เธอจึงหันมาอุทิศพลังทั้งหมดของเธอไปกับการช่วยโม่อ้ายหลี่เพื่อการสอบจบการศึกษา โม่อ้ายหลี่พูดถึงเรื่องการสอบจบการศึกษากับมู่หรงเสวี่ยซึ่งได้รับการสนับสนุนจากโม่ฉางเฟิงเต็มที่ ใบสมัครจากทางโรงเรียนเพิ่งมาถึง ก่อนที่จะสอบพวกเธอต้องพยายามให้เต็มที่ที่สุดเพื่อที่จะทบทวนตำรา ในระหว่างนั้นมู่หรงเสวี่ยก็ยังหาเวลาเพื่อมาตรวจการพัฒนาของบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปและอ้ายเสวี่ย แล้วก็ยังเข้าไปเติมสมุนไพรที่โกดังอีกด้วย
ตอนนี้การพัฒนาของอุตสาหกรรมยาของบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเกินความคาดหมายของเธอไปมาก อย่างไรก็ตามมันก็เป็นเพราะการพัฒนายาของมู่หรงเสวี่ยด้วยที่น่าทึ่งมากที่ไม่ใช่แค่รักษาโรคได้แต่ยังเพิ่มความแข็งแรงของร่างกายได้ด้วย หลายคนถึงขนาดรู้สึกว่าพวกเขาดูดีขึ้นหลังจากที่ได้กินยาของบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปเข้าไปด้วย ถึงแม้จะเป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น แต่มันก็เพียงพอที่ทำให้เกิดชื่อเสียงที่โด่งดังขึ้นมาในเมือง Aได้ ถึงขนาดที่ว่าคนที่ไม่ได้ป่วยแต่ก็ยังหาซื้อยาของบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปไปกินด้วยซึ่งทำให้เกิดเรื่องดีๆต่างๆมากมาย

มู่หรงเสวี่ยเองก็ตกใจตอนที่เธอได้เห็นว่าทุกคนต่างก็กินยาที่ใช้รักษาโรคเพื่อความแข็งแรงของสุขภาพ เธอจึงรีบสั่งให้บริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปประกาศออกไปว่าห้ามกินยาเพื่อความแข็งแรงของสุขภาพ ในอนาคตบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปจะผลิตยาเพื่อความแข็งแรงของสุขภาพออกมาต่างหากเอง ให้อดใจรอก่อนและให้หยุดกินยาที่ใช้รักษาโรคนี้ซะ

ประกาศนี้ทำให้พวกกลุ่มคนที่ทำเรื่องบ้าๆนี้หยุดพฤติกรรมแบบนี้ไปได้เพียงเล็กน้อยและพวกเขาก็เที่ยววนไปถามที่ร้านขายยาว่าเมื่อไรสินค้าเพื่อนสุขภาพจะออกว่างจำหน่ายซะที
มู่หรงเสวี่ยรีบแจ้งข่าวลับๆกับพี่กู่ว่าพวกเขาจะปล่อยสินค้าเพื่อสุขภาพในอีกสองเดือนก่อนที่พนักงานในร้านขายจะบ้าไปซะก่อน

เธอเลือกสินค้าเพื่อสุขภาพหลายตัวที่เธอพัฒนามาแล้วและส่งพวกมันให้พี่กู่ ตอนนี้ยาของบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปเป็นที่จับตามองอย่างมาก ถ้าไม่ใช่เพราะพฤติกรรมบ้าๆของประชาชน เธอเองก็ไม่อยากที่จะเปิดตัวสินค้าเพื่อสุขภาพเร็วขนาดนี้หรอก เธอกลัวว่าอีกไม่นานบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปจะกลายเป็นที่จับตามองของทุกคน เธอจะต้องรีบขยายบริษัทให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้