บทที่ 108
การสอบ

ผลิตภัณฑ์อ้ายเสวี่ยได้เริ่มจัดส่งให้กับลิซซี่พาวิลเลี่ยนแล้ว และตั้งแต่นั้นมาชื่อของอ้ายเสวี่ยก็เข้าไปอยู่ในใจของสาวๆชั้นสูง หลายคนต่างก็คิดว่าอ้ายเสวี่ยเป็นธุรกิจในเครือของลิซซี่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าพวกเขาจะถามยังไง ลิซซี่ก็ไม่เปิดเผยอะไรออกมาเลย ตอนที่เซ็นต์สัญญา มู่หรงเสวี่ยได้เซ็นต์ข้อตกลงการรักษาความลับด้วยเพื่อที่จะไม่เปิดเผยตัวตนของเจ้าของบริษัท

แต่ก็ไม่มีใครโง่ ถึงแม้จะไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ของลิซซี่แต่ก็เกี่ยวข้องกับลิซซี่พาวิลเลี่ยน ไม่มีใครโง่พอที่จะเข้าไปยุ่งกับลิซซี่ ยังไงซะลิซซี่ก็มีประวัติอันยาวนานและมีหลากหลายธุรกิจทั่วโลกซึ่งไม่คุ้มที่จะเข้าไปยุ่ง ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะจัดการเรื่องข่าวของอ้ายเสวี่ยและเข้าไปอยู่ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางได้ง่ายๆ

สิ่งที่มู่หรงเสวี่ยเป็นกังวลที่สุดคือบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ป เมื่อเร็วๆนี้มีบริษัทใหญ่มากๆที่เริ่มจะมีการเคลื่อนไหว รวมถึงมีข่าวออนไลน์ออกมาว่ายาของพวกเขามีปัญหาด้วย ถึงขนาดมีบางคนออกมาอ้างว่าหลังจากที่กินยาของบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปเข้าไปแล้ว พวกเขาป่วยหนักกว่าเดิมจนต้องไปร้องเรียนที่ร้านของบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ป

ถึงแม้จะเป็นแค่ส่วนน้อย แต่ก็มองออกว่านี่เป็นความตั้งใจของบริษัทอื่นๆที่อยากจะเข้ามาทำลายชื่อเสียงอุตสาหกรรมยาของบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปซึ่งเป็นเพียงปัญหาเล็กๆเท่านั้นและเดี๋ยวก็ไม่นานก็จะจัดการได้ อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้มู่หรงเสวี่ยปวดหัวคือการที่ไม่รู้ว่าคนอื่นจะใช้เหตุผลอะไรมาอ้างต่ออีก

ช่วงเวลากลางวันที่ยุ่งๆทำให้มู่หรงเสวี่ยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อยแต่พอตกดึกก็อดไม่ได้ที่จะต้องร้องไห้ออกมา…เธอยังไม่ลืม…ทุกวันเธอจะถือโทรศัพท์ไว้อย่างไม่รู้ หวังว่าเขาจะโทรมาแต่ก็ไม่มีเลย

ในเวลานี้ชางกวนโม่มีสภาพราวกับศพเดินได้ ฝังตัวเองอยู่กับกองงานต่างๆมากมายในทุกๆวัน ไม่ใช่แค่มู่หรงเสวี่ยที่เฝ้ารอโทรศัพท์ เขายังไม่ลบเบอร์ของมู่หรงเสวี่ยออกไปจากเครื่องแต่ก็ไม่กล้าที่จะกดโทรไป
ไป๋เสวี่ยหลี่แทบจะโกรธจนเป็นบ้า พี่โม่มักจะหลบหน้าเธอตลอดและถึงขนาดไปทำงานที่ต่างประเทศเลยด้วยซ้ำ เมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้แล้ว ตอนนี้พี่โม่ไม่ยอมมาเจอเธอเลย ทำไมล่ะ…มู่หรงเสวี่ยก็ไปแล้ว…ตอนนี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่ามีเพียงแค่พวกเขาสองคนเท่านั้นเอง

อีกไม่นานก็จะถึงเวลาสอบจบการศึกษาแล้ว ในตอนนี้โม่อ้ายหลี่รู้สึกมั่นใจอย่างมาก เธอมั่นใจมากว่าตัวเองจะสอบผ่าน มู่หรงเสวี่ยเปรียบดั่งพระเจ้า แผลของโม่หลิวเฟิงดีขึ้นเกือบ 78% แล้ว แต่ก็ต้องขอบคุณยาที่มู่หรงเสวี่ยพัฒนาขึ้นมา ไม่งั้นคงจะไม่หายเร็วได้ขนาดนี้

โม่หลิวเฟิงมาส่งทั้งสองที่ห้องสอบ เมื่อลงมาจากรถคนทั้งสามต่างก็ตกใจ

เดิมทีวันนี้เป็นวันสอบจบการศึกษา นักเรียนคนอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องจึงได้หยุดจึงไม่คิดว่าจะเจอเข้ากับนักเรียนมากมายที่มาเรียงเป็นสองแถวตรงหน้าทางเข้าโรงเรียนแบบนี้ ซึ่งแต่ละคนก็ถือธงเล็กๆไว้ในมือซึ่งอ่านได้ว่า :สู้ๆนะ! มู่หรง! โชคดีนะ!
นอกจากนี้ยังมีป้ายมากมายแขวนอยู่ที่ถนนพร้อมด้วยอักษรตัวใหญ่ว่า : “เทพมู่หรง พวกเราขอให้เธอสอบจบการศึกษาสำเร็จนะ!”

เธอไม่รู้ว่านักเรียนคนอื่นๆรู้เรื่องที่เธอจะมาสอบจบการศึกษาได้ยังไง ปีนี้เธอจะจบจากโรงเรียนแล้ว ทำให้เกิดเป็นข่าวใหญ่ในโรงเรียน มีนักเรียนหลายคนที่ถึงกับร้องไห้และทุกๆวันจะมายืนรอเธอที่หน้าประตูโรงเรียน โชคไม่ดีที่มู่หรงเสวี่ยไม่เคยมาที่โรงเรียนเลยจึงทำให้นักเรียนหลายคนผิดหวังและกลับเข้าไปเรียน

มู่หรงเสวี่ยอึ้งจนพูดอะไรไม่ออกไปเลย นี่เป็นสถานการณ์ที่เหนือความคาดหมายจริงๆ เธอ เทพงั้นเหรอ!!!

เธอค่อยๆเดินไปข้างหน้าอย่างระวัง เหล่านักเรียนทั้งสองข้างต่างก็มองมาที่เธอด้วยสายตาที่อบอุ่นพร้อมทั้งร้องเชียร์เธอตามหลัง โม่อ้ายหลี่ถึงกับเงียบและหัวเราะออกมา “เสี่ยวเสวี่ย ไม่คิดเลยนะว่าเธอจะเป็นที่ต้อนรับขนาดนี้!!!”
มู่หรงเสวี่ยหันกลับมามอง “เธอพูดมากไปแล้ว! ขอบคุณนะคะพี่โม่ที่มาส่งพวกเรา ขับรถกลับดีๆนะคะ” เธอมองจ้องไปที่โม่อ้ายหลี่และยิ้มอีกครั้งพร้อมกล่าวลาพี่โม่

โม่หลิวเฟิงพยักหน้าและขับรถออกไป เขาไม่คิดว่า มู่หรงเสวี่ยจะดังขนาดนี้แต่เมื่อนึกถึงความเก่งกาจของเธอก็ดูเหมือนจะเข้าใจได้…เธอมีค่าจริงๆ

มู่หรงเสวี่ยกล่าวทักทายเหล่านักเรียนทั้งสองข้างด้วยรอยยิ้ม ทำให้เกิดเสียงเชียร์ดังสนั่น เหตุการณ์นี้เหมือนกับฉากในหนังฝรั่งดังๆเลยซึ่งทำให้เธอรู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อย

โม่อ้ายหลี่หัวเราะอย่างสุภาพและพูดว่าเธอสนุกกับการเป็นจุดสนใจของคนมากๆเพราะมันทำให้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นดาวเด่นเลย

ในที่สุดพวกเธอก็สอบจบการศึกษาเสร็จ แน่นอนว่าผลยังไม่ออกแต่โม่อ้ายหลี่เดาว่าตัวเองน่าจะได้คะแนนสูง ข้อสอบทั้งหมดที่เธอทำมาตลอดเดือนช่วยเธอไว้ได้มากจริงๆ
หลังจากนั้น โม่อ้ายหลี่ก็เริ่มที่จะเช็กสถานะของมหาวิทยาลัยต่างๆในเมืองหลวงจากที่บ้านเพื่อเตรียมจะเลือกที่เรียน

มู่หรงเสวี่ยและกู่หมิงคุยกันถึงเรื่องการขยายธุรกิจในเมืองหลวง กู่หมิงและโม่จื่อเหวินนอกจากลั่วเฉิงเฟยที่เคยคุยเรื่องความก้าวหน้ากับมู่หรงเสวี่ยแล้ว ตอนนี้พวกเขาเห็นความทะเยอทะยานของมู่หรงเสวี่ยอย่างชัดเจน ไฟในดวงตาของคุณหนูใหญ่ช่วยกระตุ้นไฟในตัวพวกเขาอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งลั่วเฉิงเฟยจะได้มีห้องทำงานเป็นของตัวเอง นอกนั้นก็ไม่มีอะไรน่าเบื่อมากนัก

มีหลายคนคุยกันว่าพวกเขาจะไปเมืองหลวงเพื่อดูสถานการณ์ ถึงแม้พวกเขาอยากที่จะขยายธุรกิจแต่ก็ควรที่จะเตรียมตัวให้พร้อมด้วย ถ้าไม่มีการเตรียมตัวเลยพวกเขาก็กลัวว่าต้องพังก่อนที่จะได้รุ่ง พวกเขาไม่กล้าที่จะหยิ่งผยอง

หลังจากนั้นมู่หรงเสวี่ยก็กลับมาที่บ้านในระหว่างที่เธอกำลังรอใบรายงานผลสอบ อีกไม่นานเธอจะต้องไปที่เมืองหลวง พ่อแม่จึงอยากจะให้เธอกลับไปที่บ้านก่อน พวกท่านดูเป็นกังวลแต่ก็ยังเห็นด้วยกับการตัดสินใจของเธอ ในโลกนี้มีเพียงพ่อกับแม่เท่านั้นที่ทำให้เธอรู้สึกผิดอย่างมาก บางทีอาจจะเป็นเพราะการตายที่น่าเศร้าของพวกท่านในชีวิตที่แล้วที่ทำให้หัวใจเธอเต็มไปด้วยความกลัว ในชีวิตของเธอ พวกท่านจะต้องมาเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้ก็เพราะเธอ

หลังจากนั้นไม่กี่วัน ผลการสอบก็ออกและมู่หรงเสวี่ยเกือบจะได้คะแนนเต็ม ข่าวนี้ดังไปทั่วไม่เพียงแค่ในเมืองAแต่เกือบจะทั่วประเทศ สื่อบางแห่งถึงขนาดบอกว่าอยากที่จะสัมภาษณ์เธอแต่เธอก็ปฏิเสธไป

อย่างไรก็ตามถึงแม้เธอจะปฏิเสธไปแต่ก็ยังมีสื่อมากมายที่ไปคุ้ยข่าวจนรู้ว่าเธอชนะรางวัลที่หนึ่งในการแข่งขันทางวิชาการระดับนานาชาติ นี่เป็นอีกครั้งที่ชื่อของมู่หรงเสวี่ยถูกเข้าถึงเป็นอันดับสูงสุดและเข้าไปอยู่ในใจของคนมากมายนับไม่ถ้วน

มู่หรงเสวี่ยอยากจะตายจริงๆ สื่อใหญ่ๆลงรูปของเธอด้วย ตอนนี้เธอไม่อยากที่จะออกไปข้างนอกเลย มันแย่มากเลย เดิมทีที่เธออยากจะไปเมืองหลวงเพื่อดูสถานการณ์ที่เมืองหลวงกับพี่กู่ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาคงจะต้องไปกันเองก่อน เธอต้องหลบหน้าหลบตาคนไปก่อนสักพัก

เมื่อเวลาผ่านไปก็ถึงเวลาที่จะต้องเข้าไปสอบที่มหาวิทยาลัยการแพทย์เมืองหลวงแล้ว เพราะคุณปู่โม่เป็นคนแนะนำเธอให้กับศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยการแพทย์ เธอจึงต้องไปสอบอีกครั้งด้วย แต่เดิมมหาวิทยาลัยการแพทย์รับเฉพาะนักศึกษาที่มีผลการเรียนดีและมีความรู้พื้นฐานทางการแพทย์เท่านั้น อย่างไรก็ตาม มู่หรงเสวี่ยพลาดการสอบเข้ามหาวิทยาลัยการแพทย์แบบเต็มรูปแบบไปนานแล้ว ดังนั้นเธอจึงต้องไปสอบที่มหาวิทยาลัยการแพทย์คนเดียว แน่นอนว่ากับศาสตราจารย์ไป๋ที่คุณปู่โม่เป็นคนแนะนำ

หลังจากที่ไปถึงเมืองหลวงแล้ว ในที่สุดมู่หรงเสวี่ยก็ได้เจอกับศาสตราจารย์ไป๋ที่คุณปู่โม่พูดถึง เขาอายุประมาณ 50 ใบหน้าดูทั่วๆไปแต่จริงจัง เขามองมู่หรงเสวี่ยอยู่นาน เหมือนกับนักวิชาการแก่ในความคิดของคนทั่วๆไป เขาไม่พูดหรือยิ้มอะไรเลย ทำเพียงแค่จ้องมู่หรงเสวี่ยอยู่นานก่อนที่จะหันกลับไป
“เธอคืออัจฉริยะทางการแพทย์ที่ตาแก่โม่พูดถึงงั้นเหรอ?” ในสายตาของเขาไม่อาจจะบอกอารมณ์ที่ชัดเจนได้และสีหน้าก็ไม่แสดงออกอะไรด้วย

พูดกันตามตรงถ้าไม่ใช่เพราะเพื่อนของเขาที่แนะนำมาอย่างหนักแน่น เขาก็คงจะไม่สนใจคนที่อยู่ตรงหน้าแน่ๆ อย่างไรก็ตาม เพื่อนเขาไม่ใช่ศาสตราจารย์ในด้านการแพทย์ดังนั้นคือยังยากที่จะบอก เขาจะรู้เองหลังจากที่สอบแล้ว

มู่หรงเสวี่ยยิ้มอย่างถ่อมตัว “ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ ยังต้องเรียนรู้กันอีกมากเลยค่ะ”

ศาสตราจารย์ไป๋พยักหน้า ถ่อมตัวดีมาก
“นี่เป็นข้อสอบพื้นฐานของการแพทย์แผนจีน เธอลองทำดูก่อนฉันจะลองดูว่าเธอถนัดเรื่องไหนแล้วค่อยสอบอย่างอื่น” ศาสตราจารย์ไป๋หยิบกระดาษข้อสอบออกมาประมาณ 10 แผ่นแต่ข้อสอบที่เขาหยิบออกมาก็ยังเป็นข้อสอบระดับต่ำสำหรับการสอบเข้า แต่เป็นเอกสารทดสอบหัวข้อระดับสูงที่ไม่ได้เผยแพร่สำหรับนักศึกษาอาวุโสในวิทยาลัย พวกมันก็ยังมีความยากอยู่บ้างด้วย
ในเมื่อเพื่อนเขาแนะนำมา ก็น่าจะพอมีความรู้อยู่บ้างดังนั้นแค่ระดับง่ายๆมันคงยังไม่พอ จะเข้าที่นี่ได้ต้องพิเศษหน่อยเขาจึงเอาข้อสอบระดับสูงออกมาให้ด้วยซึ่งเป็นเนื้อหาเรื่องวัสดุยาและหัวข้ออื่นๆที่เกี่ยวข้องเพื่อเอามาหลอกด้วย แล้วก็ยังมีเคสพิเศษอื่นๆอีกด้วย

มู่หรงเสวี่ยรับข้อสอบมาและเริ่มทำทันที ความเร็วของเธอทำให้ศาสตราจารย์ไป๋ถึงกับต้องมอง เขาถึงขนาดคิดไปเองว่ามู่หรงเสวี่ยคงทำข้อสอบแบบมั่วๆ จึงเดินไปข้างๆมู่หรงเสวี่ยเพื่อดูคำตอบที่เธอเขียนลงไป อย่างไรก็ตามเขาเองก็ต้องถึงกับประหลาดใจเพราะในทุกข้อจะมีการเขียนคำอธิบายและถึงขนาดว่าสูตรยาบางตัวเขาเองก็ยังไม่เคยเห็นด้วยซ้ำ

ศาสตราจารย์ไป๋พอใจกับคำตอบของมู่หรงเสวี่ยขึ้นมาทันที ทุกครั้งเธอจะรู้สึกว่าตัวเองทำได้ เวลาผ่านไปทีละวินาทีและเธอไม่รู้ว่ามันผ่านไปนานแค่ไหนแล้วที่เธอต้องทำข้อสอบ 10 หน้านี้ ก่อนที่เธอจะเรียงข้อสอบทั้ง 10 หน้าเสร็จ ศาสตราจารย์ไป๋ก็จับเธอไว้และมองอย่างระวัง

มู่หรงเสวี่ยถึงกับพูดไม่ออก ได้โปรดอย่าไล่เธอออกไปเลยนะ! อย่างไรก็ตามเธอรู้สึกกลัวท่าทางของศาสตราจารย์ไป๋จริงๆ แม้แต่ตอนที่เธอเห็นวิธีการรักษาแบบนี้ เธอเองก็ถึงกับตกใจไปนานเหมือนกัน ใช่ คำตอบที่เธอเขียนลงไปเป็นวิธีการรักษาของเธอในมิติลับ

มู่หรงเสวี่ยยืนรออยู่เงียบๆโดยไม่รบกวนศาสตราจารย์ไป๋
หลังจากที่เวลาผ่านไปนาน ศาสตราจารย์ไป๋ก็เงยหน้าขึ้นมาจากกระดาษข้อสอบและเห็นว่ามู่หรงเสวี่ยเองก็จ้องมาที่เขาเหมือนกัน เขารู้สึกเขินจึงไอออกมาเบาๆ “โอเค เธอสอบผ่าน หลังจากนี้เธอจะได้เป็นนักเรียนของฉัน อีกเดือนหนึ่งหลังจากนี้จะเริ่มเทอมใหม่ก็ค่อยเข้ามาเรียนได้ ฉันจะแจ้งเธออีกทีก่อนเริ่มเรียน” ไม่แปลกใจเลยที่เพื่อนเขาเรียกเธอว่าอัจฉริยะ ดูเหมือนว่าเขาจะได้เจอกับของล้ำค่าเข้าซะแล้วจนอดที่จะรู้สึกมีความสุขในหัวใจไม่ได้

“ไม่มีการประเมินอย่างอื่นแล้วเหรอคะ?” มู่หรงเสวี่ยถามอย่างสงสัย เขาเพิ่งพูดไม่ใช่เหรอว่าหลังจากที่ทำข้อสอบเสร็จ เธอก็จะต้องทำการประเมินอย่างอื่นอีก!

“ไม่ต้อง เธอผ่านแล้ว”

“ค่ะ ขอบคุณนะคะศาสตราจารย์ไป๋!” มู่หรงเสวี่ยทำความเคารพและเดินออกมา

ในที่สุดเธอก็ผ่านแล้ว เวลาที่เหลือเธอจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะช่วยบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปตั้งหลักในเมืองหลวง พวกสื่อต่างก็เลิกกวนเธอไปมากแล้วดังนั้นเธอก็เริ่มลงมือได้แล้วเช่นกัน