เขาคิดว่าพอเขาพูดแบบนี้คนรอบๆ เขาจะรู้สึกไม่ชอบมาพากลแล้วถามเขา จากนั้นเขาก็จะสร้างเรื่องใส่ร้ายเกี่ยวกับร้านขายยาแล้วเพิ่มความสงสัยของผู้คน
แต่ว่าทันทีที่เขาพูดแบบนั้น ชายร่างใหญ่ที่อยู่ข้างๆ เขาก็ผลักเขาอย่างแรงแล้วพูดอย่างโมโหว่า “ไสหัวไป ถ้าแกไม่ได้มาหาวิธีรักษาที่นี่ก็อย่าทำพวกเราเสียเวลา”
“ใช่แล้ว! นายกล้าใส่ร้ายร้านยาหมอหัตถ์เทวดางั้นเหรอ นายไม่รู้หรือไงว่าร้านนี้มีชื่อเสียงขนาดไหน นายน่าจะกลับไปอ่านข่าวบ้างแบบที่คุณตาเขาบอกนายนะ”
ผู้เห็นเหตุการณ์คนหนึ่งจำอวิ๋นเทียนฉีได้แล้วพูดเยาะเย้ยขึ้นมา “ฉันว่าฉันเคยเห็นผู้ชายคนนี้มาก่อน อ้อ ใช่แล้ว เขาคือประธานบริษัทอวิ๋นเภสัชกรรมนี่เอง ฉันได้ยินมาว่าช่วงนี้ผลประกอบการของบริษัทอวิ๋นเภสัชกรรมลดลง ท่านประธานวางแผนใส่ร้ายร้านขายยาเพื่อประโยชน์ของบริษัทงั้นเหรอ ฮะ ฮะๆ”
ทันใดนั้นเอง สายตาทุกคู่ก็จับจ้องไปยังอวิ๋นเทียนฉี เขาอับอายจนรู้สึกเหมือนหน้าถูกแผดเผา
“ฉันไม่คิดเลยว่าเขาคือประธานบริษัทอวิ๋นเภสัชกรรม ฉันจำได้ว่าฉันเคยใช้ยาของบริษัทเขาที่โรงพยาบาลแล้วแทนที่ฉันจะดีขึ้น ฉันกลับเกิดการอักเสบแล้วพอฟ้องร้องไปก็ไร้ผล”
“ยาของบริษัทอวิ๋นเภสัชกรรมเป็นขยะ ฉันไม่มีทางใช้ยาจากบริษัทนี้อีกตลอดชีวิต เพราะฉันไม่อยากถูกวางยาพิษจากยาของพวกเขา!”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ อวิ๋นเทียนฉีก็หน้าซีด เขาผลักคนที่อยู่รอบๆ ออกไปอย่างสิ้นหวัง เมื่อเขากลับมาที่บริษัทอวิ๋นเภสัชกรรมเขาก็รีบจัดประชุมและสั่งให้บอร์ดบริหารทุกคนเข้าร่วม
…
ตอนนั้นเองภายในห้องประชุม อวิ๋นเทียนฉีดูโมโหเล็กน้อย เขากวาดตามองไปรอบห้องอย่างไม่พอใจแล้วตะโกนอย่างเดือดดาล “ทำไมถึงไม่มีคนบอกฉันเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับบริษัทอวิ๋นเภสัชกรรม”
ถ้าไม่ได้เห็นรายงานตอนสิ้นปี เขาก็คงไม่รู้ว่าปีนี้ผลประกอบการของบริษัทอวิ๋นเภสัชกรรมแย่มากขนาดไหน
ผู้บริหารทุกคนมองหน้ากัน พวกเขาบอกอวิ๋นเทียนฉีเรื่องนี้แล้วแต่เมื่อปีที่แล้วเขาเอาแต่มัวเมาอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่งและยุ่งอยู่กับการมีอะไรกับเธอ เขาไม่ได้สนใจบริษัทแม้แต่นิดเดียว! อีกอย่างอวิ๋นเทียนฉีคิดว่าบริษัทอวิ๋นเภสัชกรรมเติบโตไปได้ดีเขาเลยดื่มด่ำกับชีวิตอย่างมีความสุขโดยไร้กังวล เขาไม่คิดเลยว่าจะมีคนบีบบริษัทอวิ๋นเภสัชกรรมให้ออกจากอุตสาหกรรมนี้
ชายวัยกลางคนคนหนึ่งพูดขึ้น “ท่านประธาน ผมคิดว่าตอนนี้พวกเราต้องทำอะไรสักอย่าง”
อวิ๋นเทียนฉีเงียบ เขาสามารถพัฒนาบริษัทอวิ๋นเภสัชกรรมมาได้จนถึงทุกวันนี้เพราะสมบัติของพ่อแม่อวิ๋นลั่วเฟิง อิทธิพลของครอบครัวหลี่ชุ่ยชุ่ยและที่สำคัญกว่านั้นก็คือ สติปัญญาและพรสวรรค์ของเขา
เขาคงไม่ปล่อยให้ใครก็ตามมีโอกาสได้สร้างปัญหาให้กับบริษัทอวิ๋นเภสัชรรม ถ้าเขาไม่ได้หมกมุ่นอยู่กับตัณหาแบบนั้น
“ถึงแม้ว่าร้านขายยาจะมีชื่อเสียง แต่ร้านนี้ก็เพิ่งเปิดเมื่อหนึ่งปีที่แล้วและไม่มีทางสู้ความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัทอวิ๋นเภสัชกรรมของพวกเราได้” ชายวัยกลางคนคนนั้นพูดพร้อมรอยยิ้ม “ดังนั้นผมเสนอให้พวกเรายึดกิจการร้านยาหมอหัตถ์เทวดา”
ดวงตาของอวิ๋นเทียนฉีดำมืด “ใครเป็นเจ้าของร้านยาหมอหัตถ์เทวดา”
“ผมไปตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว เจ้าของเป็นนักศึกษาที่จบจากมหาวิทยาลัยหวาเซี่ย เขามาจากครอบครัวธรรมดาที่เปิดกิจการร้านขายยา ส่วนแพทย์ประจำร้านเป็นศาสตราจารย์ฟู่หรูที่มีชื่อเสียง”
ศาสตราจารย์ฟู่หรูงั้นเหรอ
อวิ๋นเทียนฉียิ้มเย็น ตอนที่เขาไล่อวิ๋นลั่วเฟิงไปที่บ้านเด็กกำพร้า ไอ้แก่ชั่วคนนี้ก็ไปรับเธอมาเลี้ยง
“ก่อนที่พวกเราจะเริ่มซื้อร้านขายยาให้แพร่ข่าวออกไปว่าหมอที่ร้านขายยาเคยข่มขืนนักศึกษา เมื่อหมอที่ร้านขายยาเป็นคนชั่ว ร้านขายยาก็จะขาดความน่าเชื่อถือ!”
เมื่อถึงตอนนั้นเขาก็จะออกมาเป็นผู้มีพระคุณและเสนอการซื้อกิจการร้านขายยา และเจ้าของร้านขายยาก็จะซาบซึ้งในบุญคุณเขา…
ตอนที่ 2210 เรื่องราวอีกบทของหวาเซี่ย (51)
“ได้ครับ ท่านประธาน”
ไม่นานการประชุมก็จบ ทุกคนออกไปทำงานของตัวเองและไม่มีใครพูดถึงการประชุมอีก แต่ว่าสองสามวันต่อมาก็มีพาดหัวข่าวหนึ่งปรากฏขึ้นในหน้าหนังสือพิมพ์…
[ศาสตราจารย์ฟู่หรูของมหาวิทยาลัยหวาเซี่ยเป็นผู้ต้องสงสัยในการข่มขืนนักศึกษาและถูกมหาวิทยาลัยไล่ออก ตอนนี้เขาเป็นแพทย์ประจำร้านยาหมอหัตถ์เทวดา แพทย์แบบนี้เชื่อถือได้จริงหรือ? คุณยังกล้าไปซื้อยาที่ร้านนี้อยู่หรือไม่]
ทันทีที่ข่าวถูกแพร่ออกไป ร้านขายยาที่แน่นขนัดจู่ๆ ก็ยิ่งหนาแน่นขึ้นไปอีก นักข่าวหลายคนรวมตัวกันอยู่ที่หน้าประตูจนเกือบจะลงไปขวางถนน
ตอนนี้เซวียตงกำลังเหงื่อตกอยู่ในร้านขายยา นักข่าวคงพุ่งเข้ามาด้านในถ้าไม่ได้ถูกคนของร้านหยุดไว้ แม้แต่เซวียตงก็ยังได้ยินคำถามคมกริบจากนักข่าวเหล่านี้ที่อยู่ด้านนอกร้านขายยา
“คุณเซวียคะ ทำไมถึงจ้างคนที่ไม่มีคุณธรรมทั้งด้านการแพทย์หรืออาจารย์มาเป็นแพทย์ประจำบ้านคะ”
“ฉันว่ายาของคุณคงจะมีปัญหามากมาย อาชญกรข่มขืนจะเป็นแพทย์ประจำบ้านที่ดีได้ยังไง”
“ให้คำอธิบายด้วยค่ะ ให้คำอธิบายกับสังคมด้วย!”
ภายในร้านขายยา ริมฝีปากของฟู่หรูสั่น หลายครั้งที่เขาพยายามจะลุกออกไปแต่เซวียตงก็หยุดเขาไว้
“อาจารย์ อาจารย์ต้องไม่ออกไปนะ คนพวกนี้ก็แค่รอให้อาจารย์ออกไป อยู่ที่นี่เถอะ ผมเรียกอวิ๋นลั่วเฟิงแล้ว เธอจะจัดการเอง”
ปีที่แล้ว ร้านขายยาเจอเรื่องดีและร้ายมากมายแต่เขาก็สามารถผ่านความลำบากพวกนั้นมาได้ แต่ตอนนี้เมื่อเผชิญกับปัญหารุนแรง เขาก็แทบเสียสติและต้องหันไปขอความช่วยเหลือจากอวิ๋นลั่วเฟิง
“ขอทางหน่อย”
ตอนนั้นเองเสียงของเด็กคนหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลังของฝูงชน เมื่อได้ยินเสียงของเด็ก นักข่าวเหล่านี้ก็หันไปมองต้นเสียงด้วยความแปลกใจ
ที่ด้านหลังฝูงชนมีเด็กหน้าตาน่ารักสองคนเดินจับมือกันเข้ามา พวกเขาดูน่าเอ็นดูจนฝูงชนลืมที่จะถามพวกเขาว่าพวกเขามาที่นี่ทำไม เมื่อเห็นเด็กๆ กำลังจะเข้าไปในร้านขายยา นักข่าวคนหนึ่งก็รีบหยุดพวกเขา
“พวกเธอไม่รู้หรือว่าร้านขายยานี้มีปัญหา”
เมื่อเงยหน้าเห็นนักข่าวหญิงที่หยุดพวกเขา อวิ๋นเนี่ยนเฟิงก็พูดอย่างเฉยชาว่า “ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”
“แก…” ใบหน้านักข่าวหญิงคนนั้นเขียวคล้ำด้วยความโกรธ เด็กคนนี้ดูน่ารักแต่หยาบคาย เธอกัดฟัน “ฉันก็แค่ใจดีกับเธอ ทำไมเธอถึงหยาบคายอย่างนี้ ฉันจะบอกเธอให้ฟัง ยาของร้านนี้มีพิษและทำให้คนป่วย ถ้าเธอไม่อยากฆ่าทุกคนในครอบครัวของเธอ ก็ห้ามซื้อและเอายาจากที่นี่!”
ข่าวลือมีแค่เรื่องของฟู่หรูแต่นางกลับพูดว่ายาของร้านขายยามีพิษงั้นหรือ
แล้วนางยังสาปแช่งครอบครัวของอวิ๋นเนี่ยนเฟิงด้วย!
อวิ๋นเนี่ยนเฟิงที่ตอนแรกกำลังจะเข้าไปในร้านขายยาก็หยุดแล้วหันมาหานักข่าวหญิงคนนั้น “เจ้ามีมารยาทบ้างหรือไม่ เจ้าขวางทางเข้าร้านขายยาและแพร่ข่าวลือ นี่คือมารยาทของเจ้าหรือ เจ้าบอกว่ายาที่นี่มีพิษใช่หรือไม่ ได้ ถ้าข้ายังมีชีวิตหลังจากที่กินยา เจ้าจะไปตายแทนหรือไม่”
อวิ๋นชูเทียนไม่อยากทำตัวสุภาพกับคนชั่วร้ายดังนั้นนางจึงพูดพร้อมยิ้มเยาะ “ท่านพี่เจ้าคะ ท่านแม่บอกว่าพวกเราไม่ต้องทำตัวสุภาพกับคนแบบนี้ ถ้าพวกเขาไม่หลีกทางก็ไล่พวกเขาออกไปเลยเจ้าค่ะ!” อวิ๋นชูเทียนกะพริบตาแล้วหันไปทางนักข่าวพวกนั้น “ท่านแม่บอกว่าท่านจะจัดการชื่อเสียงของอาจารย์ปู่ฟู่หรูภายในสามวัน! ข้าพูดสิ่งนี้ให้ลูกค้าของพวกเราฟัง ไม่ใช่นักข่าวแบบพวกเจ้า!”