อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป แม้นางจะรู้สึกตกใจ ทว่าใบหน้าของนางกลับไม่ปรากฏความรู้สึกที่มากเกินไปจนทำให้เว่ยเหม่ยเจียสังเกตเห็นและคาดเดาความคิดของนางได้
ตรงกันข้าม ซูจิ่นซีหรี่ตามอง พลางแสดงออกในเชิงดูหมิ่นและไม่เชื่อ
“หึ ตอนนั้นเจ้าอายุเพียงห้าหกปี กระทั่งเฉินไท่เฟยยังไม่ทราบเรื่องนี้ เช่นนั้นเจ้ารู้ได้อย่างไร? เว่ยเหม่ยเจีย แผนการของเจ้าต่ำช้าเกินไปหรือไม่? กล้าใช้วิธีการเช่นนี้ยั่วยุความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับเยี่ยโยวเหยา”
เว่ยเหม่ยเจียยังคงแสดงท่าทางไม่ใส่ใจ
“พี่สะใภ้ อย่างน้อยสิ่งที่เหม่ยเจียรู้มาทั้งหมด วันนี้ก็ได้บอกกล่าวท่านไปแล้ว จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ท่าน หากพี่สะใภ้ยังมีข้อสงสัย ตอนนั้นเป็นที่รู้กันดีว่า อนุกู้แห่งจวนสกุลซูมีวิชาแพทย์เป็นหนึ่งในใต้หล้า นางมีรายชื่อให้ไปบรรเทาภัยพิบัติโรคระบาดที่เมืองเจียงหลิง และบรรดาหมอหลวงที่ราชสำนักส่งไปบรรเทาภัยพิบัติที่เมืองเจียงหลิง ได้ถูกสังหารโดยขุนพลผีที่เสร็จพี่เป็นผู้นำทัพ นี่เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่อาจโต้แย้งได้เช่นกัน”
เว่ยเหม่ยเจียโหดร้ายยิ่งนัก ความจริงที่ซูจิ่นซีพยายามหลบหนีไม่นึกถึงมัน กลับถูกฉีกกระชากต่อหน้าและเปิดเผยให้นางได้รับรู้
“เว่ยเหม่ยเจีย เจ้าช่างน่ารังเกียจ ไปตายเสียเถิด! ”
ซูจิ่นซีสบถเสียงต่ำ นางพลิกฝ่ามือเข้าด้านใน ใช้ปลายนิ้วซัดเข็มเงินออกไปโจมตีเว่ยเหม่ยเจียอย่างรวดเร็ว
แม้ซูจิ่นซีไม่มีวรยุทธ์ ทว่าในมิติปัจจุบัน นางเคยฝึกฝนที่สำนักการแพทย์แห่งชาติอยู่สองสามครั้ง ดังนั้นการรับมือกับเด็กอ่อนหัดอย่างเว่ยเหม่ยเจียจึงเป็นเรื่องง่ายแค่ปลายจมูก
อย่างไรก็ตาม ขณะที่เข็มเงินอยู่ห่างจากใบหน้าของเว่ยเหม่ยเจียเพียงสามชุ่น เว่ยเหม่ยเจียก็เคลื่อนย้ายรถเข็นที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษ รถเข็นหมุนวนอย่างรวดเร็วและหลบหลีกเข็มเงินของซูจิ่นซีไปได้
“พี่สะใภ้… ”
เว่ยเหม่ยเจียแอบซ่อนความยินดีไว้ภายในใจ นางกำลังจะกล่าววาจายั่วยุซูจิ่นซีอีกครั้ง ทว่าเพิ่งเอ่ยปากพูด นางก็รู้สึกว่ามีชุดสีเหลืองปรากฏอยู่เบื้องหน้า ใบหน้าของนางพลันปรากฏความตกตะลึง
คาดไม่ถึงว่า ซูจิ่นซีใช้เข็มเงินเพื่ออำพรางสายตาเท่านั้น เจตนาที่แท้จริงของนางคือต้องการเปิดผ้าคลุมหน้าของเว่ยเหม่ยเจีย
ตั้งแต่ลงจากรถม้า อาคมกำไลปี่อั้นก็ถูกเปิดใช้งานด้วยความถี่สูงสุด ซูจิ่นซีได้ยินเสียงพูดของเยี่ยโยวเหยากับมู่หรงอวิ๋นเกอ และคนอื่นๆ ที่อยู่ระยะไกลได้อย่างชัดเจน เหตุใดนางจะไม่ได้ยินเสียงกลไกรถเข็นของเว่ยเหม่ยเจียที่อยู่ใกล้นางมากกว่า?
ซูจิ่นซีสามารถเปิดผ้าคลุมหน้าของเว่ยเหม่ยเจียได้สำเร็จ ร่างที่เบาหวิวเหาะถอยหลังออกไปสองก้าวราวกับนกบิน หลังจากนั้น ซูจิ่นซีก็ชูผ้าคลุมหน้าที่อยู่ในมือของนางขึ้นมา พลางมองเว่ยเหม่ยเจียด้วยท่าทางของผู้ชนะ
เว่ยเหม่ยเจียไม่มีผ้าคลุมหน้าแล้ว ผิวหน้าที่มีรอยแผลเป็น กระดูกสีขาวกับเลือดเนื้อที่เป็นหลุมน่ารังเกียจจึงปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน ยิ่งกว่านั้นยังมีหนอนคลานอยู่เต็มไปหมด น่าขยะแขยงยิ่งนัก
เว่ยเหม่ยเจียตื่นตระหนก รีบใช้แขนเสื้อปกปิดใบหน้า
นางพูดด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง “ซูจิ่นซี เจ้า… เจ้าคืนมาให้ข้า! คืนมาให้ข้า… เจ้ามันต่ำช้า! ”
ซูจิ่นซีมองเว่ยเหม่ยเจียด้วยสายตาเย็นชาราวกับกำลังรอคอยสิ่งใดอยู่
ทันใดนั้น…
“อ้าก… ”
เว่ยเหม่ยเจียจับแก้มและร้องตะโกนเสียงดัง
เมื่อสิ้นสุดเสียงร้อง แก้มของนางที่ยังพอมีผิวหนังหลงเหลืออยู่บ้างก็เริ่มมีเลือดไหลรินออกมา ดูน่าหวาดกลัวยิ่งกว่าก่อนหน้านี้หลายสิบหลายร้อยเท่า
แววตาของซูจิ่นซียิ่งเย็นชามากขึ้น นางโยนผ้าคลุมหน้าลงแทบเท้าเว่ยเหม่ยเจียอย่างดูหมิ่น
ซูจิ่นซีปรบมือ “คนแซ่เว่ย นี่คือน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ถือเสียว่าเป็นค่าเล่าเรียนให้เจ้าได้เรียนรู้วิธีการของข้า จำเอาไว้ ชัยชนะที่อยู่เบื้องหน้าเจ้า อาจไม่ใช่ชัยชนะที่แท้จริง ความพ่ายแพ้ที่อยู่เบื้องหน้าเจ้า อาจไม่ใช่ความพ่ายแพ้ที่แท้จริง เมื่อเจ้าไม่มีความสามารถแม้แต่จะสังหารคนผู้หนึ่ง ก็อย่าได้สร้างความขุ่นเคืองให้คนที่ต้องการทำร้ายเจ้า ไม่เช่นนั้น ก่อนที่เจ้าจะทันได้สังหารเขา เจ้าจะเป็นคนแรกที่ต้องตายอย่างน่าอนาถ”
ซูจิ่นซีพูดจบก็หันหลังเดินไปทางที่มีเปลวไฟลุกโชนอยู่ไกลๆ
“อา… ซูจิ่นซี ต่อให้ต้องตาย ข้า เว่ยเหม่ยเจียก็จะลากเจ้าให้ตายไปพร้อมข้า”
เว่ยเหม่ยเจียกรีดร้องดิ้นรน ทันใดนั้นนางก็ตบลงบนรถเข็นที่นั่งอยู่ ไม่รู้ว่านางดึงกลไกใด ลูกธนูทั้งสั้นและเล็กหลายสิบอันพลันพุ่งออกมาจากที่วางแขนทั้งสองข้างของรถเข็น ‘ฟู่ว ฟู่ว ฟู่ว’
ในรถเข็นมีธนูหน้าไม้ติดตั้งไว้!!!
ธนูหน้าไม้ทรงพลังอย่างมาก ต่อให้เป็นผู้ที่มีวรยุทธ์ยังยากหลบหลีกลูกธนูที่ยิงด้วยหน้าไม้ ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ซูจิ่นซีไม่เป็นวรยุทธ์ หากต้องการหลบหลีกลูกธนูจากหน้าไม้ที่มีกลไกติดตั้ง
ย่อมเป็นเรื่องที่… เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
ลูกธนูแต่ละดอกพุ่งตรงไปที่ศีรษะของซูจิ่นซีอย่างแม่นยำ
อาคมกำไลปี่อั้นได้ยินเสียงผิดปกติ ซูจิ่นซีกำหมัดแน่นและกำลังจะหันกลับไป
“แม่นางพิษน้อย… ”
ทันใดนั้น เสียงของจอมวายร้ายไป๋เฉ่าก็ดังมาจากระยะไกล
ทว่าสิ่งที่ไวกว่าเสียงของจอมวายร้ายไป๋เฉ่า คือร่างในชุดดำที่มีพละกำลังแข็งแกร่ง
เยี่ยโยวเหยา!!!
เยี่ยโยวเหยาโอบเอวซูจิ่นซีและพานางเหาะขึ้น ขณะเดียวกันก็สะบัดแขนเสื้อแผ่วเบาราวกับโล่ที่แข็งแกร่ง สกัดกั้นลูกธนูทั้งหมด
ลูกธนูที่โจมตีไปยังเสื้อผ้าของเยี่ยโยวเหยาพลันสะท้อนกลับ ท่ามกลางความตื่นเต้นและไม่เชื่อในสิ่งที่เห็นของเว่ยเหม่ยเจีย ลูกธนูทั้งหมดถูกยิงกลับมาที่ร่างของนาง
เยี่ยโยวเหยาที่โอบเอวซูจิ่นซีอยู่กลางอากาศ ค่อยๆ ร่อนลงบนพื้น
ดวงตาที่คุ้นเคย ใบหน้าที่คุ้นเคย อ้อมกอดและลมหายใจที่คุ้นเคย ทว่ามีบางสิ่งที่แตกต่างไปจากเดิม ทำให้ระหว่างนางและเขากลายเป็นคนแปลกหน้าในชั่วข้ามคืน
ทั้งสองร่อนลงบนพื้นอย่างมั่นคง
ไม่มีผู้ใดหันไปมองเว่ยเหม่ยเจียที่ถูกลูกธนูยิงใส่จนคล้ายเม่น พวกเขาสบตากัน ราวกับต้องการลืมเลือนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในจิตใจ
ผ่านไปครู่ใหญ่ ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากเล็กน้อยและเอ่ยถามขึ้นก่อน “ท่านอ๋อง มาตั้งแต่เมื่อใด? ”
ดวงตาของเยี่ยโยวเหยาเคร่งขรึมราวกับสายน้ำ “สักพักหนึ่งแล้ว”
กล่าวได้ว่า เขาได้ยินสิ่งที่นางพูดกับเว่ยเหม่ยเจียทั้งหมด?
รอยยิ้มที่มุมปากของซูจิ่นซียิ่งสดใสมากขึ้น
“เช่นนั้น ท่านอ๋องมีอันใดจะพูดกับจิ่นซีหรือไม่? ”
ดวงตาสงบนิ่งของเยี่ยโยวเหยาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเจ็บปวดอย่างลึกซึ้ง ทว่าเขาไม่ได้พูดอันใด
ซูจิ่นซียังคงแย้มยิ้มอย่างสดใส นางยื่นนิ้วมือเรียวยาวลูบไล้ไปที่รอยย่นบนเสื้อผ้าบริเวณหน้าอกของเยี่ยโยวเหยา และเปลี่ยนคำถาม “เช่นนั้น ท่านอ๋องบอกหม่อมฉันได้หรือไม่ว่า ตอนนั้นเกิดเรื่องอันใดขึ้นที่เมืองเจียงหลิงกันแน่? สิ่งที่เว่ยเหม่ยเจียพูดเมื่อครู่ เป็นความจริงหรือไม่? ”
แววตาของเยี่ยโยวเหยาแฝงไว้ด้วยความเจ็บปวดอย่างลึกซึ้ง เขาบีบแขนซูจิ่นซี พลางเอ่ยเรียกแผ่วเบา “ซีซี… ”
ซูจิ่นซีแสดงท่าทีราวกับไม่รู้สึกเจ็บปวดอันใด นางยังคงแย้มยิ้มและพูดเสริมขึ้นว่า “ท่านอ๋องพูดสิ่งใด จิ่นซีก็เชื่อเช่นนั้น”
ในเวลานี้ เห็นได้ชัดว่าซูจิ่นซีกำลังแย้มยิ้ม ทั้งยังเป็นรอยยิ้มที่สดใสอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทว่ามันกลับทำให้ผู้คนรู้สึกเจ็บปวดและสงสาร
เยี่ยโยวเหยาโอบซูจิ่นซีไว้ในอ้อมกอดแน่น ให้ร่างของนางแนบชิดร่างกายของเขาให้มากที่สุด ราวกับต้องการให้พวกเขาทั้งสองแนบชิดติดกันเป็นร่างเดียว
ไม่มีผู้ใดเข้าใจไปกว่าซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยาเป็นดั่งราชาผู้ไม่เคยแสดงความอ่อนแอของตนให้ผู้ใดได้เห็น การกระทำเช่นนี้ของเขาคือความหวาดกลัว
เขาหวาดกลัวสิ่งใดกันแน่?
ซูจิ่นซียังคงยกยิ้มมุมปากไม่เปลี่ยนแปลง นางหลับตาลงด้วยความผิดหวัง
ข้างหูของนางได้ยินเสียงเยี่ยโยวเหยาที่เอ่ยออกมาด้วยความระมัดระวัง
“ในปีนั้น ข้าเป็นผู้นำกองทัพขุนพลผีไปยังเมืองเจียงหลิง และสังหารคนเหล่านั้น ทว่า ซีซี… ”
ความจริงมักโหดร้ายเสมอ
ซูจิ่นซีไม่ต้องการฟังอีกต่อไป นางแทบใช้แรงทั้งหมดผลักร่างเยี่ยโยวเหยา
“เยี่ยโยวเหยา ท่านไม่ต้องพูดอีกแล้ว… ”