ตอนที่ 723 มีคนมาแล้ว / ตอนที่ 724 ให้ฉินเฮ่ากลับเมืองหลวง

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ

ตอนที่ 723 มีคนมาแล้ว 

 

 

หากว่าพูดออกมาแล้ว จะไม่เท่ากับว่าฉีกหน้าองค์หญิงหรือ? 

 

 

“องค์หญิง พระองค์ทรงดูสิใต้เท้าซูมานานขนาดนี้แล้ว ควรให้ใต้เท้าซูนั่งลง ดื่มชากระมัง” องค์หญิงของนางทรงหงุดหงิด นางในฐานะบ่าวย่อมต้องเสนอความคิดให้พระองค์ 

 

 

โดยเฉพาะคนตรงหน้านี้เป็นถึงองค์หญิงที่ทรงนับถือ หากว่ามีอะไรผิดพลาด องค์หญิงคงต้องจัดการนางแน่! 

 

 

ถึงแม้ในใจหลิงเอ๋อร์จะเหนื่อยหน่ายแต่ก็ทำได้เพียงพยายามให้ทั้งสองคนมีเรื่องได้พูดคุยกันอย่างสุดความสามารถ 

 

 

“นั่งลงสิ” องค์หญิงจินเย่ว์เดิมทีก็ไม่ได้ทรงพอพระทัยมากนัก เมื่อได้ยินคำพูดหลิงเอ๋อร์ก็รู้สึกว่ามีเหตุผลทีเดียว 

 

 

นางเคยได้ยินคำพูดเสด็จแม่ บรรดาคุณชายและเหล่าองค์ชายนั้นไม่ชอบสตรีที่นิสัยอ่อนแอจนเกินไป ในเมื่อนางอยากแต่งงานกับซูหลี จึงต้องพยายามสะกดอารมณ์ตนเอง เพื่อเลี่ยงไม่ให้ซูหลีไม่พอใจ 

 

 

เมื่อนึกถึงตรงนี้แล้ว อารมณ์บนใบหน้าจินเย่ว์ดีขึ้นไม่น้อย ท่าทีที่ปฏิบัติต่อซูหลีอ่อนโยนลงไปมาก 

 

 

นางเหลือบตามองประสานสายตาเข้ากับนัยน์ตาสีดำของซูหลี และใบหน้างดงามนั้นก็แดงระเรื่อขึ้น 

 

 

นางรู้ทุกเรื่องของซูหลี แต่นางก็ยังชอบอีกฝ่ายอยู่ดี 

 

 

ชอบนิสัยโอหังไม่สนใจคนรอบข้างของอีกฝ่าย ชอบใบหน้าหล่อเหลาน่าชม และยิ่งไปกว่านั้นยังชอบ… 

 

 

ในวันที่อีกฝ่ายไม่หวั่นเกรงต่อภัยอันตรายกระโดดลงไปช่วยนาง 

 

 

พอนึกถึงเรื่องนี้ ใบหน้าองค์หญิงจินเย่ว์ก็แดงระเรื่ออย่างควบคุมไม่ได้ แววตาที่จดจ้องซูหลีนั้นเต็มไปด้วยความเสน่หา 

 

 

ซูหลี… 

 

 

จะทำอย่างไรดีนะ? 

 

 

นางบอกลู่เหมียนเหมียนเรื่องที่นางเป็นผู้หญิงได้ และเพราะนางเข้าใจนิสัยของลู่อวี้เหิง ลู่หมียนเหมียนเป็นญาติผู้น้องของลู่อวี้เหิง ย่อมไม่เป็นภัยต่อนาง 

 

 

แต่องค์หญิงจินเย่ว์ทรงเป็นองค์หญิง จะให้ไปบอกองค์หญิงว่านางเป็นผู้หญิงก็คงไม่ได้กระมัง? 

 

 

ก่อนอื่นไม่นับว่าหากบอกเรื่องนี้กับพวกเชื้อพระวงศ์คงจะไม่ค่อยเหมาะสมนัก แถมนิสัยขององค์หญิงจินเย่ว์ ตอนนี้ทรงโปรดนางจึงได้อ่อนหวานนุ่มนวล แต่ถ้ารู้เรื่องนางเป็นอิสตรี ไม่รู้ว่าจะทรงทำอย่างไร! 

 

 

ในใจซูหลีทุกข์ทน แต่ใบหน้ายังแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไร เงียบไปนานกว่าจะเอ่ย “ขอบพระทัยในพระเมตตาองค์หญิง” 

 

 

“เจ้าลองชิมเค้กชิ้นนี้สิ นี่เป็นขนมที่ขึ้นชื่อของทางครัวเลยนะ ซึ่งเราเองก็ชอบมาก คิดว่าเราชอบ ใต้เท้าคงจะไม่รังเกียจ” 

 

 

ซูหลีกระตุกมุมปาก ในคำพูดมีความนัยซ่อนอยู่ 

 

 

ตอนนี้นางยังรู้สึกขมขื่นใจไม่น้อย ร่างนี้เดิมแล้วออกจะมีใบหน้าที่ไม่เป็นที่ต้อนรับนัก ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไรนัก 

 

 

คิดไปแล้วเมื่อสองชาติก่อน นางหน้าตาธรรมดา หลี่จื่อจินก็ยังพอถือได้ว่าเป็นลูกผู้ดีมีสกุล แต่นางในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดนั้นยิ่งด้อยไปกว่าเดิม 

 

 

พอมาคราวนี้กลับมีใบหน้างดงาม ยังทำให้เกิดปัญหามีสตรีมาหลงรักนางอีก  

 

 

ใบหน้างดงามนี้กลายเป็นปัญหาของนางไปเสียได้! 

 

 

แต่เรื่องนี้ กระทั่งซูหลีคนเดิมก็ยังไม่รู้ว่าก่อนที่นางจะกลายเป็นซูหลี ใบหน้านี้จะก่อปัญหาเละเทะแบบนี้! 

 

 

ซูหลีถอนหายใจน้อยๆ ขณะหยิบขนมบนโต๊ะและละเลียดชิมอย่างพิถีพิถัน 

 

 

รสชาติขนมไม่เลวจริงๆ แน่นอนว่าถ้าไม่มีองค์หญิงที่เอาแต่จ้องนางอยู่ตลอดเวลาด้วยแววลึกซึ้งเช่นนี้อยู่ข้างๆ ขนมคงจะอร่อยขึ้นมากกว่าเดิม 

 

 

ทางฟากซูหลีที่ยังคุยกับองค์หญิงจินเย่ว์นั้น อีกฝากคนอีกกลุ่มก็มาถึงอุทยานดอกไม้เช่นกัน 

 

 

“เสด็จลุงทรงหมายความว่า จะให้ท่านพ่อเข้ามารักษาอาการบาดเจ็บในเมืองหลวง?” ลุงหลานอย่างฉินมู่ปิง ฉินม่อโจวเดินตามหลังฉินเย่หาน และยังมีจี้เหิงหรานเดินตามทางขวามือเขา 

 

 

หวงเผยซานที่เดินตามหลังทำเหมือนไม่มีตัวตน 

 

 

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 724 ให้ฉินเฮ่ากลับเมืองหลวง 

 

 

“เสด็จพี่อยู่ชายแดนมาหลายปี ตอนนี้มีรถเข็นแล้ว ทำอะไรก็ค่อนข้างสะดวก ถึงชายแดนจะดีขนาดไหนก็ไม่สู้เมืองหลวงหรอก ข้าว่าพระราชดำรัสขององค์เหนือหัวเข้าทีเลยทีเดียว” ฉินม่อโจวที่อยู่ด้านข้างพึมพำเสียงแผ่ว 

 

 

ฉินมู่ปิงได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้ว เหมือนตั้งใจพิจารณาเรื่องนี้เป็นอย่างดี 

 

 

ยามเขาอยู่ต่อหน้าฉินม่อโจวกับฉินเย่หาน เขาทำท่าทีเหมือนเป็นเด็กไม่รู้ตักโต เฉกเช่นดังตอนนี้ 

 

 

“เสด็จลุง หลานยังรู้สึกไม่ค่อยเหมาะสมนัก” เหมือนฉินมู่ปิงตั้งใจครุ่นคิด เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าขมขื่น 

 

 

“เสด็จพ่อไม่ชอบหลาน ชอบบอกว่าหลานเอาแต่เที่ยวเล่นสนุก ไม่สนใจงานราชการ หากว่าทรงให้เสด็จพ่อกลับมาจริงๆ หลานก็คง…” 

 

 

“เจ้าดูสิว่าเจ้าพูดอะไรกัน!” ฉินมู่ปิงเลิกคิ้ว ขัดคำพูดเขา “เจ้ายอมไปอยู่ชายแดนที่กันดารกับบิดาเจ้าเพียงเพราะไม่อยากโดนพี่สามเจ้าสั่งสอนรึ?” 

 

 

“เสด็จอาทรงลำบากมาตั้งแต่เด็ก กว่าฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจะขึ้นครองราชย์ได้ก็ยากเย็นไม่น้อย อาณาประชาราษฎร์สงบสุข ย่อมต้องกลับมาเสวยสุขในเมืองหลวง ไหนเลยจะปล่อยให้เขาต้องทนทุกข์อยู่ในที่ทุรกันดารเพื่อเจ้าเพียงผู้เดียว!?” 

 

 

ฉินม่อโจวด่าฉินมู่ปิง ใบหน้าเขาเหมือนว่ายังไม่ค่อยคล้อยตาม แต่ก็เหลือบตามองฉินเย่หานที่อยู่ข้างๆ ครู่หนึ่ง  

 

 

สีพระพักตร์เรียบเฉยเหมือนเรื่องที่พวกเขาพูดนี้ไม่เกี่ยวกับตนเองสักนิด 

 

 

แต่ฉินมู่ปิงรู้ดีแก่ใจที่สุด เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เสด็จลุงผู้มากความสามารถของเขาเสนอขึ้นมา 

 

 

เขาลอบยิ้มเย็นในใจ ทว่าใบหน้ายังคงอิดออดไม่เต็มใจ 

 

 

นี่ย่อมเป็นเรื่องที่ดี ท่านพ่อออกจากเมืองหลวงไปหลายปี ควรกลับมาพบเหล่าขุนนางฝั่งนี้แล้ว เดิมทีฉินมู่ปิงยังคิดอยู่เลยว่าจะใช้วิธีใดเพื่อพาท่านพ่อตนกลับมา 

 

 

ตอนนี้ฮ่องเต้ทรงตรัสแล้วเขาก็คงไม่ต้องทำอะไรอีก 

 

 

แต่ทว่า… 

 

 

ฉินเย่หานทรงตรัสเรื่องทำนองนี้ ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วทรงคิดอะไรอยู่กันแน่ 

 

 

หากเขาไม่แสดงออกเช่นนี้ ถ้าฉินเย่หานสงสัยขึ้นมา ก็คงแย่แน่ 

 

 

“เสด็จลุง อย่าทรงให้ท่านพ่อกลับมาเลยดีหรือไม่? ท่านพ่ออยู่ชายแดนมาก็นาน ที่จริงคงจะทรงชินกับสภาพแวดล้อมทางนั้นแล้ว จู่ๆ ต้องเปลี่ยนที่อยู่ คงจะไม่ใช่เรื่องดีนักกระมัง…” 

 

 

“เพล้ง!” 

 

 

แต่ทว่าฉินเย่หานยังพูดไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงของแตกดังขึ้น 

 

 

เขาชะงักไม่พูดต่อ ดวงตากลับมองไปยังจุดกำเนิดของเสียงนั้น 

 

 

ใบหน้าเขาไม่แสดงออก แต่ในใจสั่นระรัว หรือฉินเย่หานเรียกคนอื่นมาเข้าเฝ้าที่นี่ เพื่ออะไรกัน? 

 

 

“หวงเผยซาน” ใครจะรู้ว่าพอเหลือบตามอง ก็เห็นฉินเย่หานหน้านิ่ว เรียกหาหวงเผยซานทันที 

 

 

“กระหม่อม” 

 

 

“ไปดูให้หน่อย ข้างหน้าเกิดอะไรขึ้น” ใบหน้าฉินเย่หานเรียบเฉย ดวงพระเนตรเรียบเฉยไร้อารมณ์ 

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ!” 

 

 

ฉินมู่ปิงเห็นหวงเผยซานนำขันทีสองคนเดินตรงไปที่เก๋งหยกจีนด้านหน้าอย่างร้อนรน 

 

 

เขานิ่งไปครู่หนึ่ง เหลือบมองฉินเย่หาน เสด็จลุงของเขาเป็นผู้เก็บอารมณ์ได้อย่างแนบเนียน ซ่อนอารมณ์ได้อย่างลึกซึ้ง 

 

 

มิฉะนั้นในตอนนั้นก็คงจะไม่รอดจากเรื่องวุ่นวายเหล่านั้นจนได้เป็นฮ่องเต้หรอก 

 

 

เพียงแต่สถานการณ์เช่นนี้ไม่ส่งผลดีเท่าไหร่กับฉินมู่ปิง 

 

 

ต่อให้เขามองอย่างละเอียดอย่างไรก็ไม่รู้ว่าโอรสสวรรค์มีแผนอะไรอยู่กันแน่ 

 

 

นี่ถึงจะเป็นเรื่องที่น่ากลัวที่สุด 

 

 

“แย่แล้ว เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม? ทำอย่างไรดีละ!?”