ตอนที่ 721 พบกันในอุทยานหลวง
ตอนนี้กำลังจะเข้าฤดูใบไม้ผลิ ดอกไม้ในอุทยานหลวงกำลังจะบานออก ดอกไม้บานเต็มบริเวณ
ลมในใบไม้ผลิพัดผ่าน กลิ่นดอกไม้ที่หอมตลบอบอวลลอยหวนออกมา ซูหลีเดินตามหลิงเอ่อร์ไปตรงใจกลางอุทยาน ตื่นตกใจอย่างอดไม่ได้
ไม่ต้องพูดถึงส่วนอื่นในพระราชวัง พระราชอุทยานแห่งนี้งดงามละลานตา
เมื่อเดินเข้าไปด้านในแล้ว ก็จะเห็นดอกไม้หายากต่างๆ ปลูกไว้เป็นกอแน่นขนัด
“ใต้เท้าซู องค์หญิงทรงรอท่านอยู่” หลิงเอ๋อร์ชะงักฝีเท้าแล้วชี้ไปที่เก๋งจีนด้านหน้า
ซูหลีเหลือบตาขึ้นมองเห็นเก๋งจีนหลังนั้น สร้างอยู่บนกอดอกกุหลาบ แต่ไม่ใช่เก๋งไม้แดงทั่วๆไป แต่ทำจากหยกขาว ด้านบนติดกระจกสี เป็นเก๋งที่หรูหรา
คงเพราะองค์หญิงจินเย่ว์ทรงประทับที่นี่ รอบๆ บริเวณเก๋งจีนแขวนผ้าโปร่งเบาสีม่วงชมพูพรางตาเอาไว้ ทำให้ไม่เห็นภาพด้านในได้ชัดนัก เห็นแค่โครงร่างรางๆ เท่านั้น
ด้านล่างเก๋งจีนแห่งนี้เป็นสระน้ำเล็กๆ ของอุทยาน ด้านในสระน้ำมีดอกบัว แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่ดอกไม้จะบาน เมื่อมองลงมาจะเห็นใบบัว เป็นทิวทัศน์ที่หาได้ยากยิ่ง
ซูหลีชะงักไปครู่หนึ่ง สาวเท้าเดินไปด้านนอกเก๋งจีนและเอ่ยเสียงแผ่ว “กระหม่อมซูหลีถวายบังคมองค์หหญิง”
“รีบเข้ามา” พระสุรเสียงขององค์หญิงจินเย่ว์ดังลอยออกมา ซูหลีเหลือบตามองอย่างอดไม่ได้ ทันทีที่เหลือบมองก็พบว่าองค์หญิงทรงเห็นนางเดินมาจึงลุกขึ้นยืนทันที
ใจซูหลีเต้นระรัว
องค์หญิงจินเย่ว์ก็ถือว่ามีชื่อเสียงเอาการในเมืองหลวง ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่ด้านไหน แต่เป็นนิสัยดื้อรั้น เอาแต่ใจ
โดยเฉพาะฮ่องเต้องค์ก่อนทรงมีพระธิดาไม่มาก แถมในพระราชวังก็มีพระองค์เพียงคนเดียว
บวกกับฝ่าบาทถือว่าทรงรักพระน้องนางคนนี้มาก อุปนิสัยก็ไม่หักไม่งอ ทำให้ไม่ค่อยจะ…อ่อนหวานนัก
“ใต้เท้าซู นี่คือขนมที่เราทำให้ท่าน ท่านลองชิมสิ ว่าชอบหรือไม่ อ้อ จริงด้วย มีนี่ด้วยนะ นี่คือบรรณาการที่ประเทศราชถวายมาให้ บอกว่าเป็นชาดอกไม้อะไรสักอย่าง เราชิมแล้วเห็นว่าอร่อยดี ท่านก็ลองชิมสิ”
ทันทีที่ซูหลีก้าวเข้าไปในเก๋งจีน องค์หญิงจินเย่ว์ก็ทรงแนะนำขนมและชาที่จัดวางบนโต๊ะอย่างกระตือรือร้น
กระทั่งเอื้อมมือออกมาเพื่อคว้าซูหลีเลยทีเดียว
ซูหลีถอยร่น ใบหน้าอึดอัด
“ใต้เท้าซู…” จินเย่ว์เห็นซูหลีสะบัดมือหนีตนเอง รอบยิ้มบนพระพักตร์ก็ชะงักนิ่งไป
ซูหลีได้ยินคำพูดเศร้าสร้อยของนาง จึงเหลือบสายตามองอีกฝ่ายอย่างอดไม่ได้
ที่จริงองค์หญิงก็ทรงพระสิริโฉมดี คนสกุลฉินเองก็หน้าตาดีกันทั้งบ้าน ดูฉินเย่หานและฉินมู่ปิง รวมไปถึงฉินม่อโจวก็พอจะรู้แล้ว
คนหนึ่งงดงาม เคร่งขรึม โดยเฉพาะอย่างยิ่งใบหน้านั้นของฉินเย่หาน
เหอะ!
ไม่สามารถใช้คำว่าดูดีมาบรรยายได้ด้วยซ้ำ
ซูหลีสงสัยอย่างยิ่งหากว่าเขาไม่ได้เป็นฮ่องเต้ เพียงแค่ผิวพรรณเท่านั้น คาดว่าคงจะสามารถทำให้เขาโด่งดังไปทั้งเมืองหลวง!
วันนี้เหมือนองค์หญิงทรงตั้งใจแต่งตัวมาเป็นพิเศษ ทรงใส่เสื้อสีม่วงอ่อนที่ปักลายดอกไม้ด้วยไหมสีขาว กระโปรงพลิ้วบางปักดอกไม้สีม่วงเล็กๆ กระจายเต็มกระโปรง งดงามราวภาพวาด
ใบหน้าจินเย่ว์ออกค่อนข้างยั่วยวน นัยน์ตาสดใส ริมฝีปากนุ่มนิ่ม บวกกับท่าทางของเชื้อพระวงศ์ ถือว่าเป็นหญิงงามที่หาได้ยาก
ซูหลีหัวเราะขมขื่นอย่างอดไม่ได้ ถือเป็นของดีที่แตะต้องไม่ได้ ถือว่านางไม่มีบุญนั้นแล้วกัน!
ดูจากท่าทางของจินเย่ว์แล้ว ดูผิดปกติใช่น้อยเลยทีเดียว!
ตอนที่ 722 ไม่มีบุญนั้น
ซูหลีชะงักนิ่งไป ไม่ทันเห็นท่าทางเศร้าสร้อยขององค์หญิงจินเย่ว์ ชักเท้าถอยหลังไปก้าวหนึ่ง คำนับองค์หญิงจินเย่ว์และเอ่ย
“วันนี้องค์หญิงทรงเรียกหากระหม่อม มีเรื่องอะไรจะทรงรับสั่งหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
หลังจากที่จินเย่ว์ได้ยินคำพูดนาง ทรงปรายตามองอีกฝ่าย ความผิดหวังพาดผ่านในแววตาและเอ่ยว่า “ถ้าไม่มีอะไร เราจะเรียกใต้เท้าซูมาร่วมดื่มชา พูดคุยกันไม่ได้หรือ?”
“องค์หญิงทรงตรัสอะไรเช่นนั้น!” เมื่อซูหลีได้ยินเช่นนั้นใจพลันสั่นรัวรีบร้อนเอ่ย “กระหม่อมต่ำต้อยไหนเลยจะกล้าเทียบกับองค์หญิง!”
ท่าทางรักษาระยะห่าง ไม่ยินดียินร้าย พูดจาอย่างเกรงอกเกรงใจ
แต่จินเย่ว์จำได้แม่นว่า เดิมซูหลีไม่ได้เป็นคนขี้เกรงใจเช่นนี้ อีกฝ่ายเกรงใจตนเอง ก็เพื่อรักษาระยะห่างระหว่างกันก็เท่านั้น
พอนึกถึงเรื่องนี้ ใบหน้าจินหยางก็ไม่สู้ดี
“ซูหลีเจ้าไม่อยากมาพบเรา?” ทรงตรัสเสียงเย็น
ทว่าในแววตางดงามนั้นกลับแฝงไปด้วยความรอคอย
หลังจากที่ซูหลีได้ฟังแล้วก็ยิ้มขมขื่นอย่างอดไม่ได้ องค์หญิงพระองค์นี้เป็นเหมือนที่นางคิดเอาไว้เลย แต่นางจำได้ว่าตนเองไม่ได้ไปมาหาสู่อะไรกับอีกฝ่าย นอกจากงานชมบุปผาเมื่อคราวก่อนก็เท่านั้น
แต่ทำไมในคำพูดของพระองค์ ละม้ายคล้ายสนิทสนมกัน
“องค์หญิงทรงล้อเล่นแล้ว กระหม่อมมิกล้า” นางบอกไม่กล้า แต่ก็ไม่ปฏิเสธ
สีหน้าองค์หญิงจินเย่ว์ก็ยิ่งย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม
“องค์หญิงทรงเรียกใต้เท้าซูให้หา ที่จริงเพราะองค์หญิงทรงโปรดเพลงที่ใต้เท้าซูเล่นในงานฉลองขององค์ไทเฮา อยากทรงถามใต้เท้าซูเกี่ยวกับเรื่องบทเพลงนั้น!” หลิงเอ๋อร์เฝ้าอยู่ด้านนอกเก๋ง
นางได้ยินบทสนทนาระหว่างซูหลีและองค์หญิงจินเย่ว์อย่างชัดเจน
เห็นบรรยากาศแข็งกระด้าง และสีหน้าขององค์หญิงทรงไม่สู้ดีนัก นางรีบหมุนตัวอย่างลนลาน และพยายามกู้สถานการณ์
“ใช่ ที่เราเรียกท่านมาก็เพราะเรื่องเพลงนั้น!” นี่เป็นการหาทางออกให้องค์หญิงจินเย่ว์ องค์หญิงทรงได้สติ และรีบร้อนรับคำ
ทรงใช้บทเพลงเป็นข้ออ้าง แต่ก็ดีกว่าเรียกขุนนางให้มาพบตนเองอย่างไร้สาเหตุ ซูหลีรู้ดีว่าเป็นเพียงแค่ข้ออ้าง แต่ก็ผงกศีรษะรับ
“แล้วองค์หญิงทรงไม่เข้าพระทัยตรงไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
จินเย่ว์เห็นท่าทางอีกฝ่าย ทรงขบริมฝีปากอย่างอดไม่ได้ คนผู้นี้ไม่รู้เรื่องจริงๆ ยังแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ทั้งที่รู้แก่ใจอีก?
ตรงนี้ไม่มีกระทั่งพิณสักชิ้น เหมือนคนมาถามเรื่องดนตรีตรงไหน!
ยิ่งไปกว่านั้นในวังหลวงมีผู้รู้ด้านดนตรีตั้งมากมาย ไหนเลยจะต้องทรงเรียกซูหลีมาด้วย?
ตอนแรกองค์หญิงจินเย่ว์ยังสะกดอารมณ์ แต่ในใจหงุดหงิด จึงไม่ทรงตอบคำถามของซูหลีอีก
หลิงเอ๋อร์เห็นท่าทางเช่นนี้ขององค์หญิงของตน ในใจร้อนรนอย่างยิ่ง
องค์หญิงจินเย่ว์ทรงเอาแต่ใจตั้งแต่เด็ก ทรงเย่อหยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากความรักของฮ่องเต้องค์ก่อน ทรงฟูมฟักให้องค์หญิงกลายเป็นคนที่นิสัยป่าเถื่อนดื้อรั้น
นางรู้สึกมาเสมอว่า ภายหน้าจะต้องหาคนที่มีความอดทนอย่างมาก ถึงจะแต่งงานกับนางได้
แต่คิดไม่ถึงว่าองค์หญิงจะทรงถูกใจซูหลี ส่วนนิสัยของซูหลีนั้นก็…
ทั้งราชสำนักก็รู้ว่านี่เป็นคนเหลวไหล
อีกทั้งยังชอบไปสถานที่อย่างหอหร่วนเซียงเป็นที่สุด ที่จริงหลิงเอ๋อร์ดูแล้วนี่ไม่ใช่คู่ที่เหมาะสมกันนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งใบหน้าชวนหลงใหล เมื่ออยู่ข้างองค์หญิงแล้วก็ทำให้พระสิริโฉมที่งดงามของพระองค์ให้จืดจางลงไป
คนแบบนี้ ออกจะ…
นางรู้ดีแก่ใจ แต่กลับพูดอะไรไม่ออก