บทที่ 356: ข้าเกรงว่าร่างของเจ้าจะไม่สามารถทนได้

 

“ฮาาา… ฮาาา…. ฮาาา…” หวังชูเหรินนอนเหยียดอยู่บนเตียงขณะที่หอบหายใจลึกและหนัก

 

“ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เราทำเรื่องนี้ กลเม็ดของท่านทำให้ข้าไร้คำพูดเสมอ” เธอกล่าวกับเขาด้วยร่างกายที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ

 

“นั่นเป็นเพราะว่าข้าเพิ่มความเข้มข้นขึ้นเล็กน้อยทุกครั้งที่เรามีอะไรกัน” ซูหยางพูดพร้อมกับรอยยิ้ม

 

“อะไรกัน ท่านพูดว่าท่านเพียงแค่ทำเล่นๆกันข้า” หวังชูเหรินมองดูเขาด้วยดวงตาโต “ที่ท่านพูดไปแบบนั้นในตอนนี้ข้าต้องการที่จะรับรู้ว่าจะเป็นอย่างไรถ้าท่านไม่ยับยั้งไว้”

 

“ข้าเกรงว่าร่างของเจ้าจะไม่สามารถทนได้”

 

“นั่นไม่ใช่เพียงแค่ร่วมรักหรอกรึ อย่างมากที่สุดร่างกายของข้าก็ควรจะแค่ไม่สามารถเดินได้ไประยะหนึ่ง” หวังชูเหรินเลิกคิ้ว

 

“เจ้าคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าผู้ฝึกวิชากลืนกินยาที่มีปริมาณฉีมากเกินกว่าที่พวกเขาจะควบคุมได้” ซูหยางพลันถามเธอ

 

“ผู้ฝึกวิชาคนนั้นจะระเบิดตาย” เธอตอบอย่างรวดเร็ว

 

“ถูกต้องแล้ว การฝึกวิชาคู่เป็นเช่นนั้นเช่นเดียวกัน แต่ว่าร่างของเจ้าจะไม่ระเบิด กลับกันร่างของของเจ้าจักมิอาจมีชีวิตอยู่ต่อไปหากขาดคู่เคียง ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาทางจิต”

 

“ร้ายแรงปานนั้นเลยรึ” หวังชูเหรินกลืนน้ำลายอย่างกังวล

 

“ก็เหมือนกับการฝึกวิชาปกติ การฝึกวิชาคู่สามารถให้ประโยชน์หรือโทษกับผู้อื่นขึ้นกับว่าเจ้าใช้มันอย่างไร แม้ว่าเจ้าอาจจะไม่ตระหนักถึงมัน แต่ด้วยการกระตุ้นร่างกายของเจ้าให้ได้รับความสุขอย่างมากจนเกือบสลบไป ความอดทนและความแข็งแกร่งของจิตใจของเจ้าก็จะเติบโตแข็งแกร่งขึ้น นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมข้าจึงทำให้ร่างกายของคู่ของข้าเข้าสู่ขีดจำกัดทุกครั้ง”

 

“เมื่อท่านพูดถึงเรื่องนี้ในตอนนี้ ทุกครั้งที่ข้าฝึกฝนร่วมกับท่าน ทักษะการปรุงยาของข้าก็พัฒนาขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความอดทนของข้า ข้าคิดว่ามันเป็นผลจากวิชาระดับเซียน แต่ดูเหมือนว่าสาเหตุมาจากท่านตลอดมานี้…” หวังชูเหรินกล่าวด้วยสีหน้าที่ดูเหมือนตระหนักขึ้นมา

 

และเธอก็พูดต่อขณะที่หัวเราะคิกคักอย่างนุ่มนวล “หากว่าเป็นกรณีนี้ ข้าต้องฝึกกับท่านบ่อยๆ ในเมื่อตอนนี้เราเป็นพันธมิตรแล้ว ข้าก็จักมีข้อแก้ตัวดีๆมาหาท่าน”

 

หลังจากที่ใช้เวลาสองสามนาทีในการชำระร่างกายและแต่งตัวแล้ว หวังชูเหรินก็ออกไปจากโรงเตี๊ยมกลับคืนสู่นิกายดอกบัวเพลิงเพื่อพูดกับผู้อาวุโสนิกายและผู้นำนิกายเกี่ยวกับการร่วมเป็นพันธมิตรกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย

 

ส่วนสำหรับซูหยางแล้ว เขาก็ออกไปพบกับโหลวหลานจีที่พูดกับผู้อาวุโสนิกายคนอื่นอยู่ในอีกห้อง

 

“ซูหยาง ในที่สุดเจ้าก็มาที่นี่” โหลวหลานจีชักชวนเขาเข้าสู่แวดวงการประชุม

 

“คารวะท่านผู้นำนิกาย…”

 

แม้ว่ามันค่อนข้างจะกระอักกระอ่วนในการก้มหัวให้กับผู้ที่ด้อยอาวุโสกว่า บรรดาผู้อาวุโสนิกายในห้องก็คำนับต่อซูหยางยามเมื่อเขาเข้ามาหาพวกเขา

 

โหลวหลานจีได้อธิบายเหตุการณ์ให้กับพวกเขาขณะที่ซูหยางอยู่กับสำนักหงส์สวรรค์ ดังนั้นพวกเขาจึงมีเวลาเหลือเฟือในการเตรียมใจ

 

ซูหยางมองดูผู้อาวุโสนิกาย โดยเฉพาะผู้อาวุโสซุน และกล่าวว่า “พวกท่านคนไหนมีปัญหาในการที่ข้าเป็นผู้นำนิกายหรือไม่”

 

ผู้อาวุโสนิกายไม่ได้ตอบกลับในทันที

 

“พวกเรามิปฏิเสธในการที่ให้ท่านเป็นผู้นำนิกาย ตามจริงแล้วพวกเราก็ได้คาดหวังเช่นนี้มานานแล้ว” หนึ่งในพวกเขาก็พูดออกมาในที่สุด

 

“จริง แม้ว่าท่านยังเด็กแต่นั่นมิได้เปลี่ยนความจริงที่ว่าท่านมีความสามารถมากพอที่จะเป็นผู้นำนิกาย”

 

“พวกเราได้พูดคุยกันในเรื่องนี้ก่อนที่พวกเราจะจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย หลังจากที่ประมวลความสำเร็จของท่านทั้งหมดที่มีต่อนิกาย คงเป็นเรื่องแปลกที่เรามิเห็นด้วย”

 

“ท่านมีความคิดเห็นอื่นอีกหรือไม่ ผู้อาวุโสซุน” ซูหยางมองตรงไปที่เขา

 

ผู้อาวุโสซุนยิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวว่า “ข้าก็มิมีข้อข้องใจใดๆ สุดท้ายนี่ก็จะเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าเดิมในการที่จะโน้มน้าวตระกูลซุนให้ยอมรับความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับหลานสาวของข้าเมื่อในตอนนี้ท่านมีตำแหน่งผู้นำนิกายสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง”

 

ผู้อาวุโสซุนไม่ได้ซ่อนอะไรไว้และเปิดเผยความคิดที่แท้จริงให้กับซูหยาง นับตั้งแต่ซุนจิงจิงกล่าวถึงการสืบทอดเชื้อสายของซูหยาง เขาก็ได้คิดหาวิธีที่จะโน้มน้าวตระกูลซุนให้ยอมรับความปรารถนาของซุนจิงจิง

 

ในตอนนี้เมื่อซูหยางเป็นผู้นำนิกายของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ตระกูลซุนก็จะไม่ถึงกับขัดขวางความสัมพันธ์ของพวกเขา

 

“ทำไมเจ้ามิพูดอะไรบางอย่างกับพวกเขาด้วยล่ะ ซูหยาง” โหลวหลานจีพลันกล่าวกับเขา

 

ซูหยางพยักหน้าและกล่าวว่า “เช่นนั้นให้ข้าเริ่มต้นด้วยการพูดว่ามันขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นก่อนที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะยืนอยู่ที่จุดสูงสุดของการฝึกฝน ยามเมื่อมันเกิดขึ้น พวกท่านทุกคนจักต้องยืนตรงตระหง่านมิว่าเราจักเผชิญกับศัตรูเช่นไร”

 

“และเพื่อช่วยเหลือพวกท่านในเรื่องนี้ ข้าจักแบ่งโอสถเขตปฐพีนี่ให้แก่พวกท่าน”

 

ซูหยางนำเอาโอสถเขตปฐพีห้าเม็ดออกมาจากแหวนมิติและยื่นส่งพวกมันให้กับผู้อาวุโสนิกายที่มึนงง

 

“น-นี่คือ…”

 

ผู้อาวุโสนิกายก็ได้รับการบอกเล่าเกี่ยวกับการมีอยู่ของโอสถเขตปฐพี ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ชัดเจนว่าของขวัญชิ้นนี้มีคุณค่ามากน้อยเพียงใด

 

“ในเมื่อพวกท่านอยู่ในระดับสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณ เพียงกลืนพวกมันเม็ดหนึ่งก่อนที่จะพยายามก้าวข้ามไปสู่เขตปฐพีวิญญาณ” เขาอธิบายต่อพวกเขา

 

อย่างไรก็ตามก่อนที่พวกเขาจะทันได้ตอบสนอง ซูหยางก็กล่าวต่อว่า “มิเพียงแต่พวกเรามีจอมยุทธเขตปฐพีวิญญาณเพิ่มมากขึ้น แต่ตอนนี้พวกเรายังคงได้รับการหนุนจากสำนักหงส์สวรรค์และหวังชูเหรินด้วย”

 

“เอ๋ เจ้าหมายความว่าอย่างไรในเรื่องนั้น” โหลวหลานจีแสดงสีหน้าสับสน

 

“สำนักหงส์สวรรค์และข้าได้ร่วมสนทนามินานมานี้ และพวกเขาได้ตกลงที่จะร่วมเป็นพันธมิตรกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของพวกเรา นับจากวันนี้เป็นต้นไปถ้าใครมาสร้างปัญหาให้กับพวกเรา สำนักหงส์สวรรค์จักมาช่วยเหลือพวกเราและเราก็จะทำแบบนั้นเช่นเดียวกัน”

 

“ม-ไม่มีทาง…”

 

ไม่เพียงแค่แค่โหลวหลานจี แต่ผู้อาวุโสนิกายต่างก็พากันตระหนกจนโง่งมไปกับคำพูดของเขา

 

“สิ่งนี้ก็เช่นเดียวกันกับหวังชูเหริน ซึ่งก็ตกลงที่จะร่วมเป็นพันธมิตรกับพวกเรา ส่วนสำหรับนิกายดอกบัวเพลิงนั้น พวกเขาควรจะร่วมกับพวกเราหลังจากนี้เช่นกัน” ซูหยางกล่าวด้วยท่าทางเรียบเฉย

 

หลังจากที่ไม่ได้รับการตอบสนองจากพวกเขา ซูหยางก็ยังคงรักษารอยยิ้มไว้ “ถ้าพวกท่านมิเชื่อข้า พวกท่านสามารถไปหาหวังชูเหรินหรือว่าสำนักหงส์สวรรค์และยืนยันด้วยตัวเอง นี่คือทั้งหมดที่ข้าต้องพูดกับพวกท่านทุกคนในตอนนี้”