ตอนที่ 476 พวกเรามาสนทนาเรื่องนี้กันก่อน

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 476 พวกเรามาสนทนาเรื่องนี้กันก่อน

“อ่า..พี่เยียน โบราณว่าผู้มาก่อนต่ำต้อย มาทีหลังเป็นสุภาพบุรุษ ท่านเข้าใจใช่หรือไม่ ? มา ๆ ๆ เชิญนั่งก่อนเถิด ที่นี่จวนของข้าอย่าได้เกรงใจไป มิตรสหายมาจากแดนไกล ข้าจะต้มชาที่สดใหม่ให้ท่านได้ดื่ม”

ข้าจะเชื่อเจ้าได้เยี่ยงนั้นหรือ !

เจ้าหมอนี่มีแต่ความคิดที่ชั่วร้าย ต้องระมัดระวังมิให้หลงกล !

เยียนเหลียงเจ๋อนั่งอยู่ที่ทางด้านซ้ายของฟู่เสี่ยวกวน บัดนี้ใต้แสงไฟเขาจึงได้มองเห็นหน้าตาอันหล่อเหลาของเจ้าหมอนี่

แต่เเล้วเขาก็ต้องตกตะลึงจนแทบจะกระโดดหนี !

พระเจ้า ! นี่คือชายหนุ่มที่เจอกันหน้าหอซื่อฟางเมื่อมิกี่วันก่อนมิใช่หรือ ?

ในตอนนั้นฟู่เสี่ยวกวนได้เดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าเขา อีกทั้งยังมองดูเขาอย่างตั้งใจ เขาเองก็มองดูฟู่เสี่ยวกวนด้วยท่าทางประหลาดใจเช่นกัน คิดมิถึงว่าเจ้าหมอนี่จะเป็นชายหนุ่มที่พบกันหน้าหอซื่อฟางในวันนั้น !

เห็นได้ชัดว่าเขารู้จักตน นับจากค่ำคืนนั้น เหตุที่เขามิยอมให้เข้าพบก็เพื่อทอง 10,000 ตำลึงเยี่ยงนั้นหรือ ?

เยียนเหลียงเจ๋อนึกถึงรายงานที่มาจากราชวงศ์อู๋ เล่าว่าเจ้าหมอนี่ตอนที่อยู่ในราชวงศ์อู๋ได้ขูดเลือดขูดเนื้อขันทีเกา มองดูแล้วคงจะจริงที่ว่าเจ้าหมอนี่เป็นคนโลภมากมิรู้จักพอ !

ส่วนเรื่องมักมากในกามนั้น บัดนี้เขามีภรรยาที่มีภูมิหลังที่แข็งแกร่งถึง 3 คนอีกทั้งยังมีโฉมหน้างดงาม เกรงว่าจะมิกล้าออกนอกลู่นอกทางเท่าใดนัก

แต่สุนัขกินขี้เยี่ยงไรมันก็ยังกินขี้อยู่วันยังค่ำ จะต้องหาโอกาสหลอกล่อเขาให้ได้ เพียงแค่เจ้าหมอนี่ยอมไปหงซิ่วจาว รับรองว่าจะต้องมีคนจัดการเขาได้เป็นแน่

เยียนเหลียงเจ๋อตัดสินใจเช่นนั้น แล้วพยายามควบคุมความไม่สงบที่อยู่ภายในใจลง เขาได้ฝืนยิ้มขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “ข้านั้นได้ยินชื่อเสียงอันเลื่องลือของท่านมาเนิ่นนานแล้ว และรู้สึกชื่นชมท่านจากใจจริง ประสงค์จะเดินทางมาเยี่ยมเยียนท่านตั้งหลายครา เพียงแต่ท่านมีเรื่องต้องจัดการเสียมากมาย จึงทำให้เวลาล่วงเลยมาจนถึงบัดนี้”

ฟู่เสี่ยวกวนต้มชาพลางหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “ที่ข้ามีเรื่องมากมายให้จัดการนั้นเป็นเรื่องจริง ส่วนเรื่องเวลานั้น…เยี่ยงไรเสียก็สามารถปลีกเวลามาได้บ้าง เช่นบัดนี้ เดิมทีข้าควรต้องพักผ่อนแล้ว แต่เมื่อได้ยินว่าพี่เยียนจะมา จึงต้องตื่นเพื่อรอต้อนรับ”

เยียนเหลียงเจ๋อรีบเอ่ยขึ้นทันควันว่า “ข้าได้ยินมาว่าคุณชายคือหัวหน้าในการ…”

ฟู่เสี่ยวกวนยกมือขึ้นตบไหล่เยียนเหลียงเจ๋อแล้วยื่นหน้าเข้าไป จากนั้นจึงเอ่ยถามด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ “ข้าได้ยินมาว่าสตรีที่แคว้นอี๋นั้นอ่อนไหวในเรื่องความรัก มีมารยาร้อยเล่มเกวียน จริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

เจ้ามันบ้าไปแล้ว !

เยียนเหลียงเจ๋อได้ยินคำถามเมื่อสักครู่ทำให้เขาไร้ซึ่งคำเอ่ย จึงได้แต่ยิ้ม “อ่า คือ…”

“พวกเราล้วนเป็นชาย มาสนทนาเรื่องนี้กันอีกสักหน่อยจะดีกว่า แคว้นอี๋นั้นข้าเองก็ยังมิเคยเดินทางไป แต่พอได้ยินมาอยู่บ้าง ทำให้ในใจของข้าคันยุกยิก ในเมื่อวันนี้พี่เยียนเดินทางมาพอดี เยี่ยงนั้นต้องขอเชิญท่านอธิบายให้ฟังเสียหน่อย ข้าจะได้หายข้องใจเสียที”

เปียนหรงเอ๋อที่นั่งอยู่ด้านข้างเยียนเหลียงเจ๋อ นางได้ยินเสียงของฟู่เสี่ยวกวนชัดเจน สีหน้าของนางเคร่งขรึมลงทันใด นางหรี่ตาลงมองดูฟู่เสี่ยวกวน ท่าทางเช่นนั้นทำให้นางรู้สึกสะอิดสะเอียนยิ่ง นางลอบนึกในใจว่าเจ้าหมอนี่ช่างมีดีแต่เพียงหน้าตาจริง ๆ

“สตรีแคว้นอี๋หลงใหลในความรักนั้นเป็นเรื่องจริง”

“หากพวกนางรักใครแล้ว ก็จะรักตลอดไปชั่วชีวิตใช่หรือไม่ ? ”

“โดยมากเป็นเช่นนั้น”

“แล้วถ้า…คนที่พวกนางชอบมิได้ชอบพวกนางเล่า ? ”

“อ่า… เรื่องนี้ข้าจะไปรู้ได้เยี่ยงไรกัน”

ฟู่เสี่ยวกวนมองไปยังเปียนหรงเอ๋อ ยิ้มแล้วตอบว่า “แม่นางผู้นี้จะอธิบายให้ข้าหายข้องใจสักหน่อยได้หรือไม่ ? ”

“หึ… ! ” เปียนหรงเอ๋อส่งเสียงหึ ๆ ออกมาจากจมูก แสดงออกอย่างชัดเจนว่านางมิชื่นชอบฟู่เสี่ยวกวน

ฟู่เสี่ยวกวนนำมือขึ้นลูบจมูกอย่างมิได้ใส่ใจในการกระทำของนาง “แม่นางช่างน่าสนใจยิ่ง…นางคือภรรยาของพี่เยียนเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

เยียนเหลียงเจ๋อตกตะลึงขึ้นมาทันใด “อ่า… มิใช่ ! ”

“อ่า… ! ” ฟู่เสี่ยวกวนมองไปยังเยียนเหลียงเจ๋ออย่างมีความหมายแล้วยกนิ้วโป้งให้กับเขา กล่าวว่า “ข้าเข้าใจ ข้าเข้าใจดี ! พี่เยียนช่างมีแววตาล้ำลึกยิ่ง อีกทั้งยังมีความชื่นชอบที่มิเลวเสียทีเดียว ยอดเยี่ยมยิ่ง ! ”

ไม่สิ ข้าเป็นเยี่ยงไรหรือ ?

ในด้านของเปียนหรงเอ๋อหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาทันพลัน จากนั้นเมื่อได้ตั้งใจฟังอีกคราหนึ่งจึงรู้ว่านี่มิใช่คำชม เจ้าฟู่เสี่ยวกวนเห็นตนเป็นสตรีเยี่ยงไรกัน ?

นางรู้สึกเดือดดาลเป็นอย่างมาก และกำลังจะเอ่ยปากออกไปต่อว่า แต่เปียนมู่หยูได้ยื่นมือมาตบไหล่ของนางแล้วหัวเราะพร้อมกับกล่าวว่า “คุณชายฟู่ ทองเหล่านั้นเป็นทองจริง พวกเราได้ทำการพิสูจน์ดูเรียบร้อยแล้ว พวกเราจะ…”

ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวขัดจังหวะเขาว่า “เจ้าเป็นผู้ใดกัน ? ”

“อ่า… ข้าน้อยเป็นรองหัวหน้าคณะทูตเจรจาในครานี้ นามว่าเปียนมู่…”

“เปียนมู่…ชื่อเจ้านั้นช่างน่าสนใจยิ่ง แต่ในเมื่อเจ้าคือรองหัวหน้าคณะเจรจา เจ้าก็ควรจะไปพบรองหัวหน้าคณะเจรจาของข้า ส่วนตัวข้านั้นคือหัวหน้าทูต ข้าจะเจรจาเฉพาะหัวหน้าทูตเท่านั้น… พี่เยียน ท่านคือหัวหน้าทูตใช่หรือไม่ ? ”

เปียนมู่หยูนั่งลงตามเดิม เขามีท่าทีหนักใจ เกรงว่าเรื่องนี้จะจัดการยากเสียแล้ว

“ข้าเป็นหัวหน้าทูต”

“บ่าวรับใช้ของท่านช่างมิรู้จักกาลเทศะเสียจริง ! กลับไปควรสั่งสอนเขาเสียบ้าง ผู้อาวุโสควรจะยิ่งรู้จักความนอบน้อม หากชราอย่างเดียวแล้วทำอวดเบ่ง พี่เยียน หากว่าข้าเป็นท่านข้าคงจะหันไปตบเขาสักฉาดแล้ว ! ”

เปียนหรงเอ๋อเริ่มทนไม่ไหว “เจ้า… ! ”

“อย่ามาชี้หน้าข้า ในเมื่อเจ้าคือเนื้ออันโอชะของพี่เยียน ข้าเห็นแก่หน้าพี่เยียน ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกสักครา จงนำมือของเจ้า… หด กลับ ไป เสีย ! ”

ขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวคำนี้เขาก็ได้มองไปทางเปียนหรงเอ๋อ สีหน้าของเขาไร้ซึ่งรอยยิ้มใด ๆ เปียนหรงเอ๋อสัมผัสได้ว่าแววตานั้นช่างเยือกเย็นมากยิ่งนัก !

นางได้เชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าหากนางมิหดนิ้วกลับไป ฟู่เสี่ยวกวนอาจจะตัดนิ้วนางจริง ๆ

ฟู่เสี่ยวกวนก็คิดแบบนั้นเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่เปียนหรงเอ๋อใจมิกล้าพอ

“อือ เจ้าทำถูกแล้ว อ่า…ข้าเกือบจะลืมไป น้องหกของเจ้าที่ชื่อว่าเยียนหานยวี่อะไรนั่นก็เป็นเพราะนำมือชี้หน้าของข้า ข้าจึงตัดแขนเขาไปข้างหนึ่ง… พี่เยียน ข้ามิชอบให้ผู้ใดมาชี้หน้า มันจะทำให้ข้าอารมณ์เสีย ดังนั้นเมื่อท่านกลับไปช่วยบอกกับเยียนหานยวี่ให้ข้าทีว่า… ว่า…ข้ามิได้ตั้งใจ”

เขาจะเอ่ยเรื่องอื่นขึ้นมาเนื่องด้วยเหตุใดกัน ?

เยียนเหลียงเจ๋อพยักหน้าตอบ เขาอยากจะวกกลับมาเอ่ยถึงวัตถุประสงค์ในวันนี้ แต่เมื่อเขาจะเอ่ยปากขึ้นมาอีกครา คาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนก็ได้กล่าวขึ้นมาอีก ใบหน้าอันเยือกเย็นของเขา บัดนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ราวกับว่าเรื่องเมื่อครู่มิเคยเกิดขึ้น

“พี่เยียน ท่านเพิ่งจะเดินทางมาถึงเมืองจินหลิง ในฐานะเจ้าถิ่น ข้าจะต้องแสดงความเป็นมิตรสักหน่อย ในวันพรุ่งนี้ข้าจะพาท่านไปเดินชมรอบเมือง อาทิเช่น หลานถิงจี๋ ที่หินเชียนเปยสือนั้นมีบทกวีของข้าจารึกไว้ถึง 8 บท ได้ยินมาว่าแคว้นอี๋ยังมิได้พัฒนาด้านวรรณกรรม ท่านจงท่องจำแล้วนำไปเผยแพร่ให้แก่บัณฑิตที่มีความสนใจในวรรณกรรมที่แคว้นอี๋เถิด”

“อีกอย่างหนึ่ง ที่เมืองจินหลิงมีสถานที่ที่งดงามอยู่มากมาย กว่าพี่เยียนจะได้เดินทางมาที่นี่มิใช่เรื่องง่าย ดังนั้นก็ควรจะไปดูเสียหน่อย เช่น วัดฟูจื่อ หยี่ฮวาถาย แม่น้ำฉินหวายเป็นต้น”

เยียนเหลียงเจ๋อหัวเราะออกมา “ข้านั้นได้ยินมาว่าที่แม่น้ำฉินหวายมีหงซิ่วจาว ซึ่งน่าสนใจเสียทีเดียว หากท่านมีเวลา พอจะพาข้าไปฟังทำนองที่นั่นได้หรือไม่”

ฟู่เสี่ยวกวนรินน้ำชาให้เยียนเหลียงเจ๋อ เขายิ้มแล้วกล่าวว่า “อ่า ก็ย่อมได้ เพียงแต่ว่า…”

อยู่ ๆ เขาก็นำมือตบลงไปที่หัวเข่า ทำให้เยียนเหลียงเจ๋อตกใจขึ้นมาทันพลัน “เพียงแต่อันใดกัน ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มออกมา “ดูข้าสิ ข้าลืมไปเสียสนิทเลยว่าวันพรุ่งนี้ข้าจะต้องเดินทางไปหนานซาน พี่เยียนรู้จักหนานซานหรือไม่ ? ข้าลงทุนสร้างอุตสาหกรรมที่นั่นไปกว่าหนึ่งล้านตำลึง บัดนี้พวกเขาทั้งหลายกำลังทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง ในวันนี้มีรายงานมาว่า ต้องการเงินอีกจำนวน 300,000 ตำลึง…”

เขานำมือลูบไปที่ศีรษะของตนเองแล้วมองไปยังเยียนเหลียงเจ๋อ “พี่เยียน เงินจำนวน 300,000 ตำลึงสำหรับท่านนั้นมิมาก แต่สำหรับข้าที่เป็นเพียงพ่อค้าที่ดินธรรมดา ๆ…มันเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวมากยิ่งนัก”

“วันนี้เวลาได้ล่วงเลยมานานมากโขแล้ว พี่เยียนกลับไปก่อนดีกว่าหรือไม่ ข้ายังต้องหาวิธีที่จะนำเงิน 300,000 ตำลึงมาไว้ในมืออีก”

“…แล้วเรื่องการเจรจา ? ”

“มิรีบ มิรีบ !… ” ฟู่เสี่ยวกวนหันไปตะโกนว่า “เสี่ยวหลีจื่อ ส่งแขก ! ”