ตอนที่ 475 เกรงใจพี่เยียนแล้ว

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 475 เกรงใจพี่เยียนแล้ว

หูซานเถียวสูบยาสูบเข้าไป และพ่นควันสีขาวออกมา

“ขณะนี้พวกท่านต้องการแลกเปลี่ยน 10,000 ตำลึงทองเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

เปียนมู่หยูพยักหน้า “เป็นเช่นนั้น”

“จำเป็นต้องมีการตรวจสอบตั๋วแลกเงิน 100,000 ตำลึง และต้องใช้เวลานานอย่างมาก เหตุใดพวกท่านมิมาใหม่ในวันพรุ่งนี้กันเล่า ? ”

“หลงจู๊ใหญ่ พวกข้าต้องการใช้อย่างเร่งด่วน”

ธนาคารเป่าหลงมีความน่าเชื่อถือเป็นอันดับที่หนึ่งในราชวงศ์หยู เนื่องจากในมือของพวกเขามีตั๋วเงินของธนาคารเป่าหลง หูซานเถียวจึงมิมีเหตุผลอันใดที่จะปฏิเสธอีก

ดังนั้นเขาจึงกล่าวเพียงว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ เยี่ยงนั้นก็จัดการให้ตรวจตั๋วเถอะ”

เปียนมู่หยูส่งตั๋วแลกเงิน 1,000 ตำลึง 100 ใบไปให้หูซานเถียว หูซานเถียวย่อมมิกล้าประมาท หากพวกเขานำตั๋วเงินปลอมเข้าไปปะปน เขาจำเป็นต้องชดใช้แทนชายผู้นั้น

ใช้เวลาครึ่งชั่วยามในการตรวจสอบ เปียนมู่หยูและคนอื่น ๆ ต่างก็กระสับกระส่าย หูซานเถียวได้ลงมือตรวจสอบตั๋วแลกเงิน 100 ใบ

ในที่สุดเปียนมู่หยูก็ได้รับทองมาจนเต็ม 4 กล่อง

พวกเขานำกล่องทั้งสี่ขึ้นไปบนรถม้า กลายเป็นรถม้าที่ใช้ขนทองไปเยี่ยงที่คิดแล้ว

หลานข่ายขับรถม้าด้วยตนเอง เปียนมู่หยูและเยียนเหลียงเจ๋อทั้งยังมีเปียนหรงเอ๋อนั่งอยู่ด้านหลังของรถม้า และได้ตรงไปยังจวนฟู่

“ใช้เงิน 100,000 ตำลึงเพื่อขอพบฟู่เสี่ยวกวนหนึ่งครา… ความโลภของคนผู้นี้มีมากมายนัก ! ”

“องค์ชาย เรื่องนี้ควรมองเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ฟู่เสี่ยวกวนเองก็ชอบทอง นั่นแสดงให้เห็นถึงความเสื่อมโทรมของขุนนางในราชวงศ์หยู นี่ถือเป็นเรื่องที่ดีสำหรับราชวงศ์ของเรา ในปัจจุบันนี้แคว้นของเรารบแพ้ แม่ทัพใหญ่เฟิงเสียนชูก็ถูกคุมขัง เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ราชสำนักมีต่อตัวองค์ชายก็แย่ขึ้นทุกวัน”

“พวกเราในตอนนี้จะสูญเสียมิได้ พวกเราได้จากแคว้นอี๋มาที่นี่ก็สองเดือนกว่าแล้ว องค์ชายควรทราบว่าได้เกิดเสียงแตกแยกขึ้นมาในราชสำนักแล้ว เสียงเหล่านั้นต่างก็ลอบชี้มาทางพระองค์ มิมีรูย่อมมิมีลม พวกเราต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้แล้ว ดังนั้นพวกเราต้องกลับแคว้นให้เร็วที่สุด”

“จำต้องช่วยแม่ทัพใหญ่เฟิงออกมาให้จงได้ ต้องทำให้พายุในราชสำนักสงบลง ต้องเรียกคืนความสนใจจากฝ่าบาท และต้องวางรากฐานขององค์รัชทายาทให้มั่นคง… ทั้งหมดนี้ เกี่ยวข้องกับอนาคตของพระองค์ องค์ชายมิเหมือนกับฟู่เสี่ยวกวน พระองค์ยังมีพี่ชายน้องชายอีกหลายพระองค์ ต่างก็เป็นญาติที่จัดการได้มิง่ายดายเลย หลายวันมานี้ที่พระองค์มิได้อยู่ในราชสำนักจะมีแมลงเม่าก่อเรื่องอันใดขึ้นมาหรือไม่ก็มิอาจรับรู้ได้”

เยียนเหลียงเจ๋อเงยหน้าถอนหายใจ เขาทราบเรื่องเหล่านี้ดี เดิมทีเขาคิดว่าเรื่องในราชวงศ์หยูนี้จะเสร็จสิ้นภายในสามถึงห้าวันแล้วก็จะเดินทางกลับไปยังแคว้น แต่เขามิคาดคิดมาก่อนว่าฟู่เสี่ยวกวนที่เป็นทูตเจรจาของฝั่งราชวงศ์หยูจะมิออกไพ่ตามทำนองคลองธรรม

เมื่อมาคิดในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้ต้องการใช้โอกาสนี้มาสร้างรายได้ !

ก็ถือเสียว่าเป็นการเสียทรัพย์เพื่อขจัดภัยพิบัติไปเถอะ

“แต่ก็หวังว่าชายผู้นี้จะรับทองเหล่านี้ไปเพื่อที่พรุ่งนี้จะสามารถเริ่มเจรจาได้เสียที… ได้ยินมาจากน้องหกของข้าว่า เยียนหานยวี่ผู้นั้นได้ผูกมิตรกับฟู่เสี่ยวกวนยามที่อยู่ราชวงศ์อู๋ น้องชายผู้นี้…ข้าละเลยเขาเกินไปแล้ว”

เปียนมู่หยูเงียบไปชั่วอึดใจแล้วกล่าวว่า “เรื่องนี้ค่อนข้างมีลับลมคมใน เดิมทีองค์ชายหกนั้นโง่เขลา แต่คาดมิถึงว่าเขาในวันนี้กล้าที่จะเล็งตำแหน่งองค์รัชทายาท ย่อมมีคนใหญ่คนโตคอยกำกับอยู่เบื้องหลังเป็นแน่ กระหม่อมได้ยินมาว่าพระมารดาของเขาได้เชิญอาจารย์ท่านหนึ่งมาที่สำนักศึกษาอู๋ทง มีนามว่าจี้หยุนกุย กล่าวกันว่าตั้งแต่ที่คุณชายจี้ผู้นั้นมายังสำนักศึกษาอู๋ทง แม้แต่พระสนมเองก็มักจะไปเยี่ยมเยียนอยู่บ่อยครั้ง และว่ากันว่าคนผู้นี้มีความสามารถที่สูงส่ง มีภูมิปัญญาที่โดดเด่นกว่าคนทั่วไป… พระองค์ควรจะพิจารณาคนผู้นี้ให้ดี”

ดวงตาของเยียนเหลียงเจ๋อทอประกายโหดเหี้ยม เขาสังเกตจี้หยุนกุยผู้นี้มาเนิ่นนานแล้ว แต่จนถึงบัดนี้ก็ยังคว้าอันใดมิได้

“ประวัติของคนผู้นี้ค่อนข้างประหลาด ย่อมต้องตรวจสอบ…” เสียงของเยียนเหลียงเจ๋อแผ่วเบา เงียบอยู่เนิ่นนานแล้วจึงกล่าวขึ้นมาอีกว่า “ท่านเปียน ในความคิดของท่าน ราชวงศ์หยูในตอนนี้ยังคงส่งปืนใหญ่หงอีไปทางตะวันออก เป็นไปได้หรือไม่ว่าราชวงศ์หยูยังคิดจะก่อสงครามอยู่อีก ? ”

เปียนมู่หยูครุ่นคิดแล้วตอบว่า “เมื่อวานกระหม่อมได้แอบติดต่อกับเซวี๋ยไคเหลียน เพราะอยากจะเข้าใจว่าเจตนาในท้ายที่สุดของราชวงศ์หยูคืออะไร ? ”

“เซวี๋ยไคเหลียนกล่าวว่าเยี่ยงไรบ้าง ? ”

“เขากล่าวว่า… เยี่ยงไรเสียก็เป็นเพียงการแสดงเท่านั้น โดยมากจะเป็นแผนหลอกลวงของฟู่เสี่ยวกวน ตามคำเอ่ยของเซวี๋ยไคเหลียนแล้ว เบื้องหน้าของราชวงศ์หยูที่มั่งคั่งกลับมีท้องพระคลังที่ว่างเปล่า น่าเสียดายยิ่ง หากกองทัพของข้าสามารถสกัดกองทัพชายแดนตะวันออกได้เป็นเวลา 3 เดือน ย่อมทำลายราชวงศ์หยูได้เป็นแน่ เมื่อถึงเวลานั้นผู้ที่จะขอเจรจาสันติ… ก็คงจะเป็นราชวงศ์หยูแล้ว”

เยียนเหลียงเจ๋อลอบถอนหายใจ ความพ่ายแพ้ของศึกครานี้ ดันมาพ่ายแพ้ให้กับปืนใหญ่หงอีที่ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้สร้างขึ้นมา !

หากมิมีศาสตราเทพนั่น ต่อให้เป็นกองทัพชายแดนใต้ของหยูชุนชิวที่ราชวงศ์หยูส่งมา ต่อให้แม่ทัพใหญ่เฟิงพ่ายแพ้ แต่ในท้ายที่สุดก็ยังสามารถปกป้องเมืองฮั่วหลานเอาไว้ได้

เพียงสามารถปกป้องเมืองฮั่วหลานไว้ได้สองถึงสามเดือน แนวหลังของราชวงศ์หยูย่อมไร้หนทางที่จะไปต่อ มิว่าเยี่ยงไรพวกเขาก็ต้องพ่ายแพ้

กองทัพของแคว้นหยูใช้เพียงปืนใหญ่หงอีก็สามารถครองเมืองหลานหลิงได้แล้ว และได้อาศัยปืนใหญ่หงอีดันทัพใหญ่ของแคว้นอี๋กลับไปยังที่ราบสีหม่า ต่อจากนั้นก็ใช้ของสิ่งนี้ทำลายประตูเมืองฮั่วหลาน ทั้งยังทะลวงเมืองยุทธศาสตร์อย่างต้าชิวไปด้วย !

ฟู่เสี่ยวกวนเจ้าคนชั่ว ถึงแม้เขาจะมิได้เข้าร่วมสงครามทางตะวันออก แต่เขากลับส่งผลกระทบถึงสถานการณ์ศึกทางตะวันออกเสียมากมาย จนทำให้เกิดสถานการณ์ในตอนนี้ จนเขาต้องซ่อนหน้าตนเองเอาไว้ในห่อผ้า และนำทองหนึ่งคันรถม้านี้ไปขอร้องเขา

มารดามันเถอะ !

เยียนเหลียงเจ๋อมิสามารถจะสงบใจได้ รู้สึกว่าความอัปยศนี้ราวกับก้างปลาที่ติดอยู่ในลำคอ กลืนก็มิลง จะพ่นออกมาก็มิได้ อึดอัดเสียจนทรมานมากยิ่งนัก

“องค์ชายเป็นผู้สูงส่ง ต้องให้ความสำคัญกับสถานการณ์ของแคว้นอี๋ อย่าให้ฟู่เสี่ยวกวนเพียงคนเดียวทำให้พระองค์เสียสติปัญญาไป”

เปียนมู่หยูจดจ้องใบหน้ามืดครึ้มของเยียนเหลียงเจ๋อและเอ่ยเตือนหนึ่งประโยค

เยียนเหลียงเจ๋อถอนหายใจเสียยาวเหยียด แล้วจึงพยักหน้า

สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ คือจบการเจรจาให้เร็วที่สุด และกลับแคว้นให้เร็วที่สุด จะต้องวางรากฐานของตำแหน่งองค์รัชทายาทให้มั่นคง ช่วยแม่ทัพใหญ่เฟิงเสียนชูออกมา เอาชนะใจเหล่าขุนนาง และรอขึ้นครองบัลลังก์อย่างสงบ

เมื่อถึงเวลานั้น… ข้าจะควบม้าออกศึกด้วยตนเอง !

……

……

งานเลี้ยง ณ จวนฟู่ได้จบลงแล้ว

ฟู่เสี่ยวกวนและซูเจวี๋ยนั่งรับลมในศาลาเถาหราน ซูซูหันหน้ามองออกไปยังทะเลสาบซวนอู่ที่มืดมิด ซูโหรวยังคงปักผ้าอยู่ดังเดิม เหล่าภรรยาของเขาได้กลับไปที่ห้อง เพื่อเตรียมพักผ่อนแล้ว

“ศิษย์พี่ใหญ่ ชวงหานเยวี่ยหมิงที่ท่านทำสามารถพลิกตลบปรมาจารย์ได้ ตอนที่ปะทะกับเหมียวเสี่ยวเสี่ยวอะไรนั่นที่ผิงหลิง เหตุใดท่านจึงมิใช้ยาพิษนั่นกัน ? ”

ซูเจวี๋ยขยับหมวก ด้วยสีหน้ายุ่งเหยิง “เพราะที่ตัวข้ามิมีแล้ว”

ฟู่เสี่ยวกวนค่อนข้างเสียใจ “ของที่ดีแบบนั้นท่านต้องหาเวลาทำออกมาให้เยอะขึ้นอีกหน่อย ที่ตัวข้าเองก็มิมีแล้วเช่นกัน”

ซูเจวี๋ยจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนอย่างขมขื่น “ของสิ่งนี้… มิได้ทำออกมาได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น กลั่นออกมาได้ 3 เม็ด หนึ่งเม็ดใช้กับท่านอาจารย์ไปแล้วกับการทดลองคราแรก 2 เม็ดจากนั้นก็ได้มอบให้เจ้าแล้ว”

อ่า… ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูกไปมาด้วยความไม่สบายใจ หากรู้ว่าของสิ่งนี้ล้ำค่ามากถึงเพียงนี้ ก็มิควรจะนำมาใช้กับมดที่เจอในหลานถิงจี๋เมื่องานเทศกาลโคมไฟเมื่อปีที่แล้วเลย

หลี่เจิ้งวิ่งตึงตังเข้ามา ด้วยใบหน้าเริงร่า “คุณชายขอรับ สามคนที่มาเมื่อครู่ได้มาอีกคราแล้ว แต่ครานี้ได้เพิ่มมาอีกหนึ่งคน และได้นำรถม้ามาด้วย กล่าวว่า…ได้นำทองมาแล้วขอรับ”

ฟู่เสี่ยวกวนสะบัดมือ “พาพวกเขาเข้ามา ! ”

พวกเยียนเหลียงเจ๋อในที่สุดก็ได้เดินเข้ามาจวนฟู่เสียที โดยมีหลี่เจิ้งนำทางพวกเขา เข้ามาจนถึงศาลาเถาหราน

ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นยืนและหัวเราะร่า “พี่เยียน เกรงใจเกินไปแล้ว มา ๆ ๆ เชิญนั่งก่อนเถิด… เสี่ยวหลีจื่อ ไปตรวจสอบเสียหน่อยว่าทองเหล่านี้เป็นของจริงหรือไม่ ! ”

เยียนเหลียงเจ๋อที่เพิ่งจะแย้มยิ้มก็เป็นอันต้องชะงักลง และแทบจะกระอักเลือดออกมา