ตอนที่ 474 ทองเต็มรถม้า

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 474 ทองเต็มรถม้า

ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วขึ้นแล้วได้ยกยิ้มขึ้นมา กำชับหลี่เจิ้งว่า “เจ้าจงไปบอกกับเขาว่าข้ามิอยู่”

หลี่เจิ้งชะงักลง เนื่องจากคุณชายมิเคยปฏิเสธผู้ใดมาก่อน เยียนเหลียงเจ๋อคือผู้ใดกัน ? หรือเขาจะทำให้คุณชายขุ่นเคืองใจ จึงได้เดินทางมาขอโทษกัน ?

“ข้าน้อยจะไปบัดเดี๋ยวนี้ ! ”

“ช้าก่อน…” ฟู่เสี่ยวกวนเรียกให้หลี่เจิ้งหยุดลง “หากเขาเอ่ยถามว่าข้าชื่นชอบสิ่งใด เจ้าจงบอกว่าข้าชอบเงินหรือทอง เจ้าจงไปเถิด”

หลี่เจิ้งเดินออกไปอย่างว่าง่าย หยูเวิ่นหวินหัวเราะขึ้นมาทันใด “เขาเป็นถึงองค์รัชทายาทของแคว้นอี๋ เจ้ากลับปล่อยปละละเลยเขาอยู่ถึง 10 วัน เจ้าอยากให้เขาฉลองปีใหม่ที่เมืองจินหลิงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ภรรยาของข้าช่างหลักแหลมยิ่ง ข้าคิดเยี่ยงนั้นจริง ๆ มาเถิด อย่าได้ไปสนใจองค์ชายรัชทายาทของแคว้นอี๋อะไรนั่นเลย กว่าพวกเราจะมารวมอยู่ด้วยกันได้มิใช่เรื่องง่ายเลย หมดจอก ! ”

ภายในหลีเฉินซวน พวกเขานั่งดื่มสุรากันอย่างครึกครื้น ทำให้เยียนเหลียงเจ๋อที่ยืนอยู่ด้านนอกขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

“เจ้าว่าคุณชายของจวนเจ้ามิอยู่เยี่ยงนั้นหรือ ? ”

หลี่เจิ้งรู้สึกว่าเจ้าหมอนี่จะต้องทำให้คุณชายมิพอใจเป็นแน่ จึงมิได้ปฏิบัติต่อเขาอย่างเป็นมิตรเท่าใดนัก เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “เจ้าหูหนวกเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

เยียนเหลียงเจ๋อตกตะลึงขึ้นทันพลัน พระเจ้า ! คนเฝ้าประตูของฟู่เสี่ยวกวนอวดเก่งได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ?

ข้าเป็นถึงองค์รัชทายาท !

องค์รัชทายาท !

เจ้าเข้าใจหรือไม่ ?

ท่าทางอันแข็งแกร่งของเยียนเหลียงเจ๋อทำให้หลี่เจิ้งสะดุ้ง เขาคิดในใจว่าคุณชายผู้นี้ก็คงมิใช่ธรรมดา เเต่ต่อให้เก่งกาจถึงเพียงใดจะมาเก่งสู้คุณชายของข้าได้เยี่ยงนั้นหรือ ?

ดังนั้นความใจกล้าที่ถดถอยลงไปก็ได้กลับคืนมาอีกครา “พวกเจ้าไปกันได้แล้ว ที่นี่คือจวนฟู่ มิใช่สถานที่ที่หมาแมวจะเข้าไปได้ ! ”

เยียนเหลียงเจ๋อมิเคยถูกผู้ใดเหยียดหยามเช่นนี้มาก่อน ขณะที่เขากำลังจะระเบิดอารมณ์ออกมานั้น เปียนมู่หยูที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขาก็ได้เข้ามาดึงเขาเอาไว้

เปียนมู่หยูก้าวขึ้นมายืนอยู่เบื้องหน้าของหลี่เจิ้ง เขากล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอย่างรู้มารยาทว่า “เรื่องเป็นเช่นนี้ การที่พวกข้าเดินทางมานั้นเนื่องจากมีเรื่องสำคัญที่ต้องเข้าพบเจ้านายของท่านจริง ๆ ”

หลี่เจิ้งมองดูชายชราผู้นี้ จากนั้นก็มองไปที่มือของเขา ปรากฏว่ามิมีสิ่งใดมาด้วยเลย เช่นนั้นคงมิมีอันใดที่ต้องกล่าวอีก

“มองดูท่านน่าจะเป็นมิตร แต่ทว่าคุณชายยังมิกลับมา ข้าเป็นเพียงบ่าวรับใช้เท่านั้น จะให้ข้าทำเยี่ยงไรได้เล่า ? ”

“บางที ท่านอาจจะอนุโลมให้ได้บ้าง…” เปียนมู่หยูแอบยัดตั๋วแลกเงินจำนวน 100 ตำลึงหนึ่งใบใส่ไว้ในมือของหลี่เจิ้ง แล้วกระซิบว่า “เพียงสินน้ำใจเล็กน้อย ท่านนำไปหาความสำราญเถิด…มิรู้ว่าเจ้านายของท่านจะกลับมาเมื่อใดกัน ? ”

หลี่เจิ้งเองก็มิได้มีท่าทีเกรงใจ เขาเผยสีหน้าของความโลภออกมาแล้วเก็บเงินใส่กระเป๋า ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงเบาว่า “มองไปแล้วเจ้าค่อยฉลาดหน่อย มิเหมือนใครบางคน ที่ทำหน้าตาบูดบึ้ง วาจาไร้ความน่าเชื่อถือ นี่… จ้องข้าทำไมกัน ? หาเรื่องเยี่ยงนั้นหรือ ? จะสู้กันหน่อยหรือไม่เล่า ? ”

เปียนมู่หยูทำตัวไม่ถูก นี่มันคนประเภทใดกัน !

“หาใช่ไม่ ท่านอย่าได้เดือดดาลไปเลย” เปียนมู่หยูรีบยัดตั๋วแลกเงิน 100 ตำลึงใส่มือหลี่เจิ้งอีก 1 ใบ “ท่านบอกพวกข้าได้หรือไม่ว่า ทำเยี่ยงไรพวกเราจึงจะได้เข้าพบคุณชายของจวนท่าน ? ”

หลี่เจิ้งจ้องไปที่เยียนเหลียงเจ๋อตาเขม็ง “หากมิเห็นว่าพ่อของเจ้ารู้จักมารยาท ข้าคงเรียกคนมาจับพวกเจ้าโยนทิ้งไปแล้ว ! ”

เยียนเหลียงเจ๋อสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วกลืนไฟที่กำลังเดือดดาลลงไปเสียจนสิ้น

หลี่เจิ้งมิได้ชายตามองเยียนเหลียงเจ๋ออีก เขามองไปทางเปียนมู่หยูแล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า “ลูกชายของท่านทำให้คุณชายขุ่นเคืองใจใช่หรือไม่ ? เจ้าเป็นพ่อควรจะอบรมสั่งสอนเขาให้ดี ที่เมืองหลวงมีพวกอันธพาลมากมาย แต่มิมีผู้ใดกล้าทำให้คุณชายของข้าขุ่นเคืองใจเลยแม้แต่ผู้เดียว ข้าคิดว่าหากเจ้าต้องการจะทำให้เรื่องนี้จบ…”

หลี่เจิ้งหยุดชะงักลงชั่วครู่ เปียนมู่หยูจึงเข้ามาเอ่ยถามด้วยเสียงอันเบาว่า “ต้องทำเยี่ยงไรจึงจะจัดการเรื่องนี้ได้ ? ”

หลี่เจิ้งหันมองซ้ายมองขวาแล้วกระซิบตอบกลับเบา ๆ ว่า “คุณชายจวนข้านั้นเกิดปีมังกร สิ่งที่เขาชื่นชอบมีเพียงสิ่งเดียว นั่นก็คือเงินทองและอัญมณีที่สว่างไสวเป็นประกาย”

ชื่นชอบในทรัพย์สินเงินทองเยี่ยงนั้นหรือ ?

เปียนมู่หยูยืดตัวตรง เช่นนั้นก็คงจะจัดการได้ง่ายมากยิ่งนัก

แต่หลี่เจิ้งกล่าวเสริมขึ้นมาว่า “คุณชายจวนข้านั้นมิใช่คนธรรมดา ผู้ใดที่มาร้องขอให้เขาช่วยเหลือ พวกนั้นมักจะลากเงินทองมาจนเต็มรถม้า มองดูพวกเจ้าแล้ว…เกรงว่าคงจะมิมีปัญญาหาเงินมากมายถึงเพียงนั้นมาได้ เอาล่ะ ๆ ไปได้แล้ว”

เปียนมู่หยูตกตะลึงยิ่ง ใช้รถม้าลากเงินลากทองมาเยี่ยงนั้นหรือ จะต้องเป็นจำนวนเท่าใดกัน ?

เขาหันหลังกลับไปมองเยียนเหลียงเจ๋อ เยียนเหลียงเจ๋อพยักหน้าเบา ๆ

“หากว่าพวกเราสามารถนำเงินทองมาได้เล่า เวลาใดจึงจะเหมาะสม ? ”

หลี่เจิ้งตกตะลึงเมื่อได้ยิน พวกเขามีจริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ !

เช่นนั้นปลาใหญ่ตัวนี้จะปล่อยไปง่าย ๆ มิได้แล้ว !

“บัดนี้เป็นเวลายามโหย่ว หากพวกเจ้าสามารถหาเงินทองมาได้ครบ ยามซวีพวกเจ้าจะได้พบกับคุณชาย หากว่าเลยเวลานี้แล้ว ก็จะถึงเวลาเข้านอนของคุณชายจวนข้า”

ให้ตายสิ ! เวลากระชั้นชิดถึงเพียงนี้ จะต้องรีบไปจัดการแล้ว

เปียนมู่หยูจับมือกับหลี่เจิ้ง “เช่นนั้นต้องรบกวนท่านด้วย ประเดี๋ยวพวกข้าจะมาใหม่อีกครา”

“อือ ๆ ไปเถอะ ข้ามิส่งพวกเจ้าแล้ว อ่า… พ่อหนุ่มนั่น ! ไร้มารยาทเสียจริง เจ้าควรรู้จักเจียมตนเอาไว้บ้าง ! ”

เยียนเหลียงเจ๋อแทบจะสะดุดล้มลงพื้น เขามิได้หันหลังกลับไป เขาทำสีหน้าเคร่งขรึมแล้วกล่าวว่า “ฟู่เสี่ยวกวน ข้าจะต้องให้เจ้าตายอย่างไร้ที่ฝัง ! ”

หลี่เจิ้งปิดประตูจวนลง จากนั้นได้วิ่งไปยังหลีเฉินซวนอย่างว่าง่ายตามเคย เขายื่นตั๋วแลกเงินใบละ 100 ตำลึงออกมาให้ฟู่เสี่ยวกวน 2 ใบ จากนั้นจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่ประตูให้ฟัง

ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ ต่างก็พากันหัวเราะออกมา เขานำตั๋วแลกเงิน 2 ใบนั้นส่งคืนให้กับหลี่เจิ้งแล้วกล่าวว่า “เจ้าทำได้มิเลวเลยทีเดียว เงินนี้ถือว่าเป็นของเจ้า แต่เจ้าจงจำไว้ว่า ข้านั้นมีศัตรูมิมาก เจ้าจงอย่าได้รังแกคนอื่นไปทั่ว ! ”

“ข้าน้อยเข้าใจขอรับ ขอบพระคุณคุณชายมากยิ่งนัก วางใจข้าได้เลย ! ”

“เอาล่ะ เจ้าไปเถิด หากว่าพวกเขานำเงินทองมาเป็นเต็มรถม้าจริง ๆ ข้าก็จะไปพบพวกเขา”

หลี่เจิ้งยิ้มด้วยความรื่นรมย์ เขาวิ่งไปทางประตูแล้วรอการมาเยือนของคนกลุ่มนั้นอีกครา

“ประเดี๋ยวเจ้าจะไปพบพวกเขาจริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ? ” ต่งชูหลานเอ่ยถามขึ้น

“เขานำเงินทองมาให้ ก็ต้องไปพบเสียหน่อย”

“เจ้ามิเกรงกลัวว่าพวกเขาจะนำไปฟ้องต่อพระพักตร์ฮ่องเต้เยี่ยงนั้นหรือ ? ” เยี่ยนเสี่ยวโหลวเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

“ดังนั้นเงินทองเหล่านี้ข้าจะรับไว้เพียงผู้เดียวมิได้ จะต้องแบ่งให้ท่านพ่อตาด้วย เห้อ…เป็นข้านี่มันมิง่ายเลย ! ”

……

……

ทางด้านของเปียนมู่หยูที่กลับมายังโรงเตี๊ยมแล้ว ก็ได้รีบเรียกให้หลานข่ายมาพบ จากนั้นก็ไปยังธนาคารเป่าหลง โชคดีที่ธนาคารเป่าหลงยังมิปิด

หลงจู๊ใหญ่คนใหม่ที่เข้ามารับตำแหน่งแทนหลี่จินโต้วก็คือหูซานเถียว ผู้ที่เคยรับใช้องค์หญิงใหญ่ส่วนพระองค์ อายุห้าสิบปี ค่อนข้างผอมบาง แต่ใบหน้าดูมีชีวิตชีวา

เขากำลังนั่งดื่มสุราอยู่ที่ด้านหลังธนาคารเป่าหลงเพียงลำพัง เสี่ยวเอ้อผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาด้านในด้วยท่าทางรีบร้อน

“ท่านหลงจู๊ใหญ่ มีลูกค้ารายใหญ่เข้ามา กล่าวว่าต้องการถอนเงิน 10,000 ตำลึงทอง ! ”

หูซานเถียวตกตะลึงมากยิ่งนัก นี่เขากำลังเจอโจรปล้นหรือเยี่ยงไรกัน แม้ว่าเงินจำนวน 10,000 ตำลึงทองจะมีอยู่ในคลังก็ตาม แต่ก็มิควรจะมากลางค่ำกลางคืนเยี่ยงนี้

“นำทางไป ข้าขอยลโฉมสักหน่อยว่าเป็นผู้ใดมาจากไหนกัน”

หูซานเถียวเดินคาบยาสูบมายังด้านหน้า เมื่อมองไปยังผู้มาเยือนแล้ว เขามิรู้จัก…คนที่สามารถถอนเงิน 10,000 ตำลึงทองได้ในเมืองหลวงนั้นมีมิมาก ผู้คนเหล่านั้นเขาล้วนรู้จักดี แต่ทั้งสามคนนี้ มองดูแล้วมิเหมือนคนดีสักเท่าใดนัก !