ภาค 4 กวาดล้างหมื่นลี้ บทที่ 364 บรรดาเมืองของเกาะมังกรบูรพา

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

การเดินทางไปยังที่ราบหิมะแดนเหนือก่อนหน้านี้ สำหรับเยี่ยนจ้าวเกอนับว่าประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง เป้าหมายที่วางไว้ล้วนเสร็จสิ้น อีกทั้งยังได้รับสิ่งของอย่างอื่นอีกด้วย

แต่ก็มีความยุ่งยากอยู่บ้าง

ตอนที่ลงมือกับใยดินน้ำแข็ง เจิ้งซั่วซึ่งเป็นทายาทที่หลงเหลือของเขานิมิตทมิฬเจอเข้าโดยบังเอิญ ดึงดูดคนจากตำหนักอัสนีสวรรค์มากลุ่มหนึ่ง

ถึงแม้จะไม่กระทบต่อแผนการใหญ่ในท้ายที่สุด เยี่ยนจ้าวเกอวางหลุมพรางฆ่าพวกศัตรูมากกว่าครึ่งในโพรงน้ำแข็ง ทว่าสุดท้ายก็ยังเหลือพยานเอาไว้

ด้วยเหตุนี้ ข่าวที่ตนทำให้ใยดินน้ำแข็งทำงาน ในที่สุดก็หลุดไปถึงหูของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์

วังสุสานทะเลเพลิง ณ ทุ่งร้างแดนใต้เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ที่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ให้ความสำคัญ เมื่อเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นย่อมต้องตจรวจสอบอย่างเต็มที่

ถึงจะไม่มีเค้าลางอะไรเลย แต่ก็ดูออกได้ยากว่าเป็นผลจากการที่ใยดินไฟถูกกระตุ้น

น้ำพุเกล็ดน้ำแข็งของตำหนักเซียนหิมะแห้งเหือดก่อนวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ เป็นหนึ่งในเรื่องราวแปลกประหลาดที่เล่าขานกันมาถึงปัจจุบัน ตอนนี้คนในโลกแปดพิภพทราบไม่น้อย

แม้ภายนอกจะดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ถ้าหากเป็นคนที่มีความคิดสักหน่อย ไม่แน่ว่าอาจจะเชื่อมโยงเรื่องราวได้

เช่นนี้หัวหอกย่อมเล็งมาที่เยี่ยนจ้าวเกอ

ชายหนุ่มลูบคาง ‘โพรงน้ำแข็งถูกกระแสความเย็นที่ระเบิดขึ้นจากแกนน้ำแข็งใต้ดินชำระล้างไปแล้ว ย่อมไม่เหลือหลักฐานอันใดไว้ ทว่า…เหอะๆ ระหว่างข้ากับสำนักสรุยันศักดิ์สิทธิ์ไม่จำเป็นต้องพูดถึงหลักฐาน’

เทียบกับตำหนักอัสนีสวรรค์ เกรงว่าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์อยากกำจัดเขามากกว่า

‘ทุกคนต้องพึ่งพาตนเอง’ เยี่ยนจ้าวเกอแค่นหัวเราะ สายตาเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ ในวินาทีที่อีกฝ่ายเหยียบประตูเขากว่างเฉิง ก็ถูกกำหนดเป็นศัตรูที่ไม่ข้างใดข้างหนึ่งต้องตายแล้ว

พวกเยี่ยนจ้าวเกอเดินทางถึงแผ่นดินของเกาะมังกรบูรพาพร้อมกับซ่งเฉา

เกาะมังกรบูรพามีพื้นที่กว้างใหญ่ พวกเยี่ยนจ้าวเกอและซ่งเฉาเดินทางอีกสักระยะหนึ่ง จึงค่อยถึงเมืองทะเลมรกตที่อยู่บนเกาะ

แม้เยี่ยนจ้าวเกอจะมาที่เมืองทะเลมรกตเป็นครั้งแรก แต่ก่อนหน้าเขาก็เคยศึกษาเกี่ยวกับที่นี่มาไม่น้อย

เมืองทะเลมรกตแบ่งออกเป็นเมืองชั้นในและเมืองชั้นนอก เมืองชั้นนอกเหมือนกับนครรัฐอย่างแท้จริง นับเป็นใจกลางเกาะมังกรบูรพา ทั้งยังเป็นศูนย์กลางการปกครองและศูนย์กลางเศรษฐกิจ

ที่นี่มีธุรกิจรวมและกระจายสินค้าที่ใหญ่ที่สุด คนจากทั่วทุกสารทิศล้วนรวมตัวกันที่นี่

นอกจากจอมยุทธ์แล้ว ยังมีชาวบ้านธรรมดาด้วย

ส่วนเมืองชั้นในจึงเป็นเมืองทะเลมรกตตามความหมายจริงๆ หนึ่งในแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งวรยุทธ์ทั้งหกในตำนาน เมืองหลวงของวารีพิภพ

ลูกศิษย์ของเมืองทะเลมรกตส่วนใหญ่จะอาศัยและฝึกวรยุทธ์อยู่ที่เมืองชั้นใน สำนักสำคัญของเมืองทะเลมรกตก็อยู่เมืองชั้นในเช่นกัน

ซือคงจิงมองผู้คนที่มีรูปลักษณ์แตกต่างกันในเมืองชั้นนอกด้วยความสนใจ

ก่อนหน้านี้แม้ได้ยินมาบ้าง แต่เมื่อได้เห็นด้วยตาตัวเองแล้ว กลับขัดแย้งกับสิ่งที่นางทราบอยู่บ้าง

ข้อแรก ขุมกำลังระดับสองยังพอทำเนา สำนักในแดนศักดิ์สิทธิ์อื่น หรือในพื้นที่ที่อยู่ใกล้ๆ ย่อมมีผู้คนหนาแน่น และดึงดูดประชาชนทั่วไปให้มารวมตัวกัน แต่ว่าสถานที่ที่ก่อตั้งสำนักส่วนใหญ่จะค่อนข้างเงียบสงบ

บนพื้นที่ของเกาะนภากลางรอบๆ เขากว่างเฉิงมีเมืองอยู่มากมาย แต่ว่าขุนเขาทั้งแปดแห่งกว่างเฉิงจำกัดไว้ให้ลูกศิษย์เขากว่างเฉิงเข้าออกเท่านั้น

เขาเรืองรองของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ในรัศมีหนึ่งร้อยเมตร ห้ามคนธรรมดาเหยียบเข้าไป

เขาไร้พรมแดนถูกก่อตั้งสำนักบนยอดเขาสูงสุดของเขาไร้พรมแดน แนวเทือกเขาทอดยาวหมื่นลี้ สถานที่อื่นยังพอว่า แต่บริเวณใกล้ๆ ยอดเขาที่สูงที่สุด ก็ไม่เห็นนายพรานหรือคนตัดฟื้นแม้แต่คนเดียว

หอคลื่นโหมงดงามและเงียบสงบ แต่ว่าเกาะหลักใจกลางทะเลสาบเป็นเกาะโดดเดี่ยวแห่งหนึ่ง มีเพียงแต่ลูกศิษย์ของสำนักเท่านั้นจึงจะขึ้นเกาะได้ รอบๆ ล้วนเป็นเต็มไปด้วยหนองบึง

สถานที่ที่ตำหนักอัสนีสวรรค์อยู่มีสายฟ้าผ่าตลอดปี คนธรรมดาไม่อาจเข้าใกล้

ในด้านหนึ่งสถานที่ที่แดนศักดิ์สิทธิ์ก่อตั้งสำนักขึ้น ล้วนเป็นสถานที่ที่มีปราณวิญญาณเข้มข้นซึ่งมีอยู่น้อยนิดในโลกแปดพิภพ เหมาะให้เหล่าจอมยุทธ์ฝึกปรือ

เพื่อไม่ให้สภาพแวดล้อมกับการเคลื่อนไหวของปราณวิญญาณถูกกระทบจนเกิดความเปลี่ยนแปลง แดนศักดิ์สิทธิ์แต่ละแห่งจึงพยายามไม่ให้คนเข้าใกล้เขตสำนักของตัวเอง

อีกด้านหนึ่งก็เพื่อไม่ให้คนภายนอกทราบเช่นกัน

ลูกศิษย์ของสำนักติดต่อกับผู้คนเมื่ออยู่ภายนอกบ้างไม่ถือว่าเป็นไร แต่ตัวสำนักต้องรักษาความลี้ลับไว้ หลายครั้งดีต่อการรวมใจคน และทำให้ขุมกำลังลำดับหนึ่งและลำดับสองกลัวเกรง

ส่วนเมืองทะเลมรกต เมื่อเทียบกันแล้วกลับค่อนข้างผิดแผก

พวกเยี่ยวจ้าวเกอเดินบนถนน ซ่งเฉาเดินไปพลาง พูดไปพลางว่า “ผู้อาวุโสเฟิงกับศิษย์น้องเฟิงจากสำนักท่านอยู่ในเมืองพอดี”

“เอ๋” เยี่ยนจ้าวเกอประหลาดใจเล็กน้อย ‘อาจารย์ลุงเฟิงกับศิษย์น้องเฟิงอยู่ที่นี่ด้วยหรือนี่’

อาหู่ที่อยู่ด้านข้างก็กะพริบตาปริบๆ เช่นกัน

ผู้อาวุโสเฟิงท่านนั้นมีชื่อว่าเฟิงฉือ เป็นจอมยุทธ์เขากว่างเฉิง เขาสนิทกับเยี่ยนตี๋ บิดาของเยี่ยนจ้าวเกอมาแต่ไหนแต่ไร

ส่วนบุตรชายชื่อเฟิงโม่หยาง มีอายุใกล้เคียงกับเยี่ยนจ้าวเกอ ทั้งสองนับว่าเข้าสำนักด้วยกัน เรียนวรยุทธ์ด้วยกัน เติบโตขึ้นด้วยกัน

เฟิงฉือ และผู้ปกครองอาณาจักรถังตะวันออกจ้าวซื่อเฉิง รวมถึงผู้อาวุโสแห่งสำนักกระบี่วายุคำรามจวินจื้อหยวน ล้วนคบค้าสมาคมกับครอบครัวของเยี่ยนจ้าวเกอและเยี่ยนตี๋มาหลายชั่วอายุคน

สองพ่อลูกเฟิงฉือและเฟิงโม่หยางต่างเชี่ยวชาญการใช้โอสถ ก่อนหน้านี้พวกเขาตามหาโอสถอยู่ที่ทะเลชั้นนอกมาหลายปี ไม่ได้กลับเขามานานแล้ว

ปัจจุบันพวกเขามาอยู่ที่เมืองทะเลมรกตพอดี ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอกลับไม่รู้มาก่อนเลยจริงๆ

ซ่งเฉากล่าว “มิผิด ได้ยินว่าพวกเขาจะกลับนภาพิภพ พอดีผ่านทางมาที่นี่ จึงหยุดตามหาวัตถุดิบยาอยู่ในเมืองก่อน”

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า “อื้ม ไม่ได้เจอกันนานแล้ว อีกสักพักต้องไปคารวะสักหน่อย”

ในเมื่อมาเมืองทะเลมรกต ด้วยศักดิ์ฐานะในตอนนี้ของเยี่ยนจ้าวเกอ ย่อมต้องเจอซ่งอู๋เลี่ยง เจ้าเมืองทะเลมรกตเป็นธรรมดา ถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็มิใช่เด็กน้อยธรรมดาอีกแล้ว

แต่ทางเมืองทะเลมรกตแจ้งว่าซ่งอู๋เลี่ยงเข้าฌานบำเพ็ญเพียรอยู่

“เช่นนั้นก็น่าเสียดายยิ่งนัก” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวพร้อมรอยยิ้มบาง

เบื้องหน้า ชายชราในเสื้อสีเขียวลูบหนวดของตัวเอง กล่าวด้วยรอยยิ้มเช่นกัน “ก่อนท่านเจ้าเมืองจะเข้าฌานบำเพ็ญเพียร ได้บอกว่าจ้าวเกอไม่ธรรมดา ไปที่ราบหิมะแดนเหนือเล่นงานตำหนักอัสนีสวรรค์จนปั่นป่วน”

“ถ้าหากจ้าวเกอไม่มีกิจอันใด เชิญอยู่ที่เมืองทะเลมรกตได้ตามสบาย ท่านเจ้าเมืองอยากจะเจอเจ้ามากเช่นกัน”

ถึงจะไม่ได้เห็นหน้าของซ่งอู๋เลี่ยง แต่นอกจากซ่งเฉาแล้ว ชายชราในชุดสีเขียวมาต้อนรับถึงประตูเมืองของเมืองชั้นในด้วยตัวเอง นับว่าให้เกียรติเยี่ยนจ้าวเกอมากพอแล้ว

ชายชราผู้นี้เป็นผู้อาวุโสระดับหนึ่ง มีหน้าที่จัดการเรื่องราวภายนอกของเมืองทะเลมรกต เขาเป็นจอมยุทธ์ระดับมหาปรมาจารย์ขั้นเก้า ขั้นรูปญาณระยะท้าย

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มตอบ “เจ้าเมืองซ่งเกรงใจเกินไปแล้ว ข้าคิดจะอยู่ที่นี่สักระยะจริงๆ แต่ไม่ทราบว่าจะทันตอนท่านเจ้าเมืองออกฌานหรือไม่”

สองฝ่ายสนทนาปราศรัยกันไป โดยมีชายชราสวมชุดเขียวพาพวกเยี่ยนจ้าวเกอมุ่งหน้าไปยังที่พักซึ่งจัดเตรียมไว้ก่อนแล้ว

หลังจากพวกเยี่ยนจ้าวเกอเข้าที่พักเรียบร้อย ไม่ทันถึงครึ่งเค่อก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งมาหา

“ตอนแรกข้าว่าจะไปคารวะอาจารย์ลุงเฟิงเสียหน่อย เจ้ากลับมาหาแล้ว” เยี่ยนจ้าวเกอเห็นชายหนุ่มผู้นั้นก็ยิ้มเล็กน้อย

ชายหนุ่มผู้นั้นคือศิษย์น้องร่วมสำนักของเยี่ยนจ้าวเกอ เฟิงโม่หยาง ผู้มีท่าทางสุภาพเรียบร้อย บุคลิกอ่อนโยน

ครั้นเขาเห็นเยี่ยนจ้าวเกอ ใบหน้าของเขาก็เผยรอยยิ้มออกมาเช่นกัน “บิดาของข้ากำลังปรุงโอสถ อย่างน้อยต้องใช้เวลาเจ็ดวันถึงจะแล้วเสร็จ ได้ยินว่าศิษย์พี่เยี่ยนมาถึงแล้ว ข้าจึงล่วงหน้ามาก่อน”

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว “มาพอดีทีเดียว มีเรื่องที่ข้าจำเป็นต้องให้เจ้ากับอาจารย์ลุงเฟิงช่วยเหลือ”

……………