ตอนที่ 97 หากไม่อยากตาย ก็นอนลงให้ดีๆ

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

แต่เพราะเห็นนางที่ท่าทางจะเป็นจะตายอยู่รอมร่อ เขาก็ไม่อาจหักใจลงมืออำมหิตได้ 

 

 

คางของตู๋กูซิงหลันถูกเขาบีบจนเกือบจะเบี้ยวไปแล้ว นางจับมือของเขาเอามือไว้อุทรณ์เอาๆ ว่า “ขอแค่ฝ่าบาทไม่หล่นไปในสุสานอีก ก็ย่อมไม่มีครั้งหน้าแล้ว” 

 

 

พอประโยคนี้เข้าพระกรรณของจีเฉวียน เขาก็รู้ว่าสตรีนางนี้คิดว่าเขากำลังอาลัยสมบัติในสุสานของเย่วฮูหยิน นางกลัวว่าเขาจะหวนกลับไปขุดสุสานอีก 

 

 

ถึงแม้ว่าเขาจะคิดเสียดายอยู่บ้างก็จริง 

 

 

เขาไม่ตรัสตอบ ทั้งยังไม่ปล่อยมือ กลับเอาแต่จดจ้องมองนางอยู่เช่นนั้น มองเสียจนตู๋กูซิงหลันคิดว่าใบหน้านางมีก้อนทองงอกเงยออกมาหรือไร 

 

 

นางถอนใจเบาๆ ครั้งหนึ่ง ก็เบือนหน้าหนีไป “ตอนนี้……เลยเวลาเย็นมามากแล้ว หม่อมฉันควรจะกลับไปตำหนักเฟิงหมิงได้แล้ว” 

 

 

เพียงแค่นางขยับตัวเล็กน้อย หัตถ์อีกข้างของจีเฉวียนก็ยกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว คว้าใบหูของนางเอาไว้ สองพระเนตรข่มขู่นางอย่างเต็มที่ “หากไม่อยากตาย ก็นอนลงให้ดีๆ “ 

 

 

ถึงขั้นกระอักเลือดออกมาเสียอย่างนั้นแล้ว ยังไม่รู้จักนอนพักผ่อนให้สงบเสงี่ยม ทำไม หรือยังจะคิดออกไปหาจีเย่ว์อีก? 

 

 

ตู๋กูซิงหลันได้แต่จำยอมอย่างเงียบๆ ……นางเงยหน้าขึ้นมองจีเฉวียน ทำไมถึงได้รู้สึกว่าวันนี้เขาดูแปลกๆ ทั้งจับคางทั้งต้อนเข้ามุม คิดว่าตัวเองเป็นตัวเอกละครน้ำเน่าหรือยังไง? 

 

 

ชาติก่อนของเจ๊เจอพระเอกละครน้ำเน่ามองยังเยอะกว่าที่เจ้าเคยกินเกลือมาชั่วชีวิตเสียอีก 

 

 

ประโยคต่อไปคงไม่ใช่ว่า ‘สาวน้อย เจ้าล่อลวงความสนใจของข้าได้สำเร็จแล้ว’ หรอกนะ? 

 

 

พอคิดได้ถึงตรงนี้ นางก็เห็นเขาริมฝีปากแดงฉ่ำของเขาเข้ามาใกล้ 

 

 

เขายังไม่ทันได้ตรัสออกไป ก็ได้ยินตู๋กูซิงหลันส่งเสียงดังอย่างจริงจังว่า “ฝ่าบาท หางตาท่านมีขี้ตาติดอยู่! “ 

 

 

จีเฉวียน “…….” 

 

 

“หม่อมฉันพูดจริงๆ นะ! เป็นสีเหลืองๆ เลย ก้อนใหญ่มาก! ช่วงนี้พระองค์ทรงร้อนในใช่ไหม! ” ตู๋กูซิงหลันเกรงว่าเขาจะไม่เชื่อ ก็รีบยื่นมือออกไปจะปัดให้ 

 

 

จีเฉวียนทางหนึ่งปัดมือของนางออกไป เขารีบหันหลังให้นางจัดแจงลูบตาตนเอง 

 

 

สลบไปสามวันเต็ม ตื่นมาก็ลืมล้างหน้าไปเสีย 

 

 

ช่างสมควรตาย พอถูตาดูก็มีขี้ตาหลุดออกมาก้อนหนึ่งจริงๆ แถมยังแข็งมากด้วย สกปรกสุดๆ! 

 

 

เขาเสด็จลงจากเบาะอ่อน ทั้งๆ ที่ยังหันหลังให้กับนาง “เจ้านอนอยู่นี่ให้เราแต่โดยดี หากว่าก้าววิ่งวุ่นวายแม้แต่ก้าวเดียว เราจะตัดขาเจ้าทิ้งเสีย! “ 

 

 

ตรัสแล้วก็เสด็จออกจากตำหนักไปราวกับสายลมหอบหนึ่ง ทิ้งตู๋กูซิงหลันที่มีแต่สีหน้างงงวยเอาไว้ 

 

 

จนกระทั่งดึกดื่นมากแล้ว ก็ยังไม่เห็นเขากลับมา 

 

 

ในพระตำหนักเคว้งคว้างว่างเปล่า เทียนก็ดับไปเสียแล้ว แถมยังไม่มีใครมาคอยดูแล 

 

 

ตู๋กูซิงหลันนอนพิงเบาะนุ่มอยู่เพียงลำพัง ในดวงตามีแววแจ่มใส 

 

 

นางยื่นมือออกมา ใจกลางฝ่ามือมีหมอกดำกลุ่มหนึ่ง ใจกลางหมอกดำนี้คือหยกสรรพชีวิตนั่นเอง 

 

 

ในภพก่อนหน้า หยกสรรพชีวิตนี้เป็นสิ่งที่มีสัญญาผูกพันกับนาง มันสามารถเข้าออกภายในร่างกายของนางได้อย่างอิสระ คิดไม่ถึงว่าในโลกนี้ สัญญานั้นก็ยังไม่เสื่อมลง 

 

 

นางกำเศษหยกนั้นเอาไว้ ท่องคาถาออกมาหลายคำ หมอกดำที่กระจายอยู่ก็ดูดซึมกลับเข้าไปภายใน จากนั้นหมอกดำนั้นก็ก็ค่อยๆ ไหลออกมาจากร่างนางอีกครั้ง ก่อตัวเป็นจิตวิญญาณดวงหนึ่ง 

 

 

ตู๋กูซิงหลันมองดูจิตวิญญาณที่เกือบจะโปร่งใสนั้น ดวงจิตนั้นก็จ้องมองมาที่นาง ในสายตานั้นมีแววประหลาดใจจนยากจะเชื่ออยู่ด้วย 

 

 

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นะเอง ” ผ่านไปครู่หนึ่ง ตู๋กูซิงหลันถึงได้เปิดปากกล่าวออกมา “เจ้าได้ทิ้งจิตใจส่วนสุดท้ายเอาไว้ในร่างกาย ทั้งหมดนั่นคือความคะนึงหาจีเย่ว์” 

 

 

เมื่อได้ยินชื่อจีเย่ว์สองคำ ดวงจิตนั้นก็เกิดปฎิกิริยาขึ้นมา 

 

 

นางจดจ้องมองตู๋กูซิงหลัน ด้วยความเจ็บช้ำ “ข้าวางเขาไม่ลง” 

 

 

“หากว่าดวงจิตของเจ้ายังสามารถทนต่อร่างนี้ได้ ข้าก็จะคืนร่างนี้ให้ ” ตู๋กูซิงหลันบอกออกไป “สำนักหุบเขาภูติของข้าแต่ไหนแต่ไรไม่เคยกระทำเรื่องยึดร่างผู้คน มาเป็นของตนพวกนี้” 

 

 

เรื่องที่ข้ามภพมาเข้าในร่างนี้ ถือว่าเป็นอุบัติเหตุ เดิมทีคิดว่าร่างนี้เพียงแต่ยังมีความอาวรณ์หลงเหลืออยู่เท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะยังมีเศษเสี้ยวของดวงจิตหลงเหลืออยู่ด้วย 

 

 

ตอนนี้ชิ้นส่วนของหยกสรรพชีวิตอยู่ ยิ่งได้รู้ถึงการคงอยู่ของนางแล้ว สิ่งที่เป็นของผู้อื่น ย่อมสมควรคืนไปให้เจ้าของ 

 

 

นี่คือนิสัยที่แท้จริงของนาง 

 

 

“ไม่….” ดวงจิตนั้นส่ายศีรษะ “หากว่าเจ้าไม่มาที่นี่ละก็ ร่างของข้าก็คงจะตายไปแล้ว ดวงจิตของข้าก็คงไม่อาจแฝงอยู่ได้จนถึงวันนี้ ยามนี้ เจ้าก็คือตู๋กูซิงหลัน” 

 

 

“ต่อให้เจ้าคืนร่างกายให้ข้า แต่ว่าข้าก้ไม่อาจอยู่ต่อไปได้อีกแล้ว” 

 

 

“ข้าเพียงแต่………อาวรณ์ไม่อาจพรากจาก เจ้ายังไม่เคยมีรักแท้ ย่อมไม่อาจเข้าใจ” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “??? ” ทำไมจะต้องมาลงที่คนโสดเช่นนางด้วย? คนไม่เคยกินเนื้อหมา ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นหมาวิ่งเสียหน่อย ใครว่าข้าไม่เข้าใจ! 

 

 

” ข้ากับเขาเดิมทีสมควรเป็นเนื้อคู่สวรรค์สร้างของกันและกัน น่าเสียดายเพราะเหตุการณ์เปลี่ยนแผ่นดิน ข้ารู้ดี ความหวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาก็คือการได้ครองบัลลังก์นั้น เขาขอร้องข้า ดังนั้นข้าจึงยินยอมอภิเษกกับอดีตฮ่องเต้ เพื่อสนับสนุนให้เขาได้สำเร็จกิจการใหญ่” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันจับประเด็นสำคัญได้ในทันที ‘จีเย่ว์เป็นคนเอ่ยปากขอร้องเจ้าของร่างเดิม’ เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าขอร่างเดิมก็ไม่ได้แต่งให้กับอดีตฮ่องเต้อย่างหุนหันพลันแล่น 

 

 

ถูกจีเย่ว์ชักจูงหรือ? 

 

 

“แต่ว่าทำไมเขา….ต้องใช้วิธีการส่งข้าไปขึ้นเตียงของฮ่องเต้องค์ใหม่เช่นนี้ด้วย? “ 

 

 

“เจ้าก็รู้ว่าใจของข้าไม่อาจสงบได้ ข้ารักเขามากมายขนาดไหน! “ 

 

 

ดวงจิตนี้ยิ่งกล่าววาจา ก็ยิ่งเกิดความอารมณ์ นางคุกเข่าลงตรงหน้าตู๋กูซิงหลัน “ข้าเพียงอยากรู้ ไยเขาต้องทำกับข้าเช่นนี้! ขอท่านได้โปรดช่วยข้าด้วย หากได้รู้ความจริงข้าก็จะไม่ต้องอาวรณ์อีก เมื่อสลายบ่วงกรรมนี้ได้ ต่อไปก็จะไม่รบกวนเจ้าอีกแล้ว” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันรู้สึกปวดฟันมากจริงๆ วันๆ ต้องมาเจอเรื่องเช่นนี้ 

 

 

เจ้าของร่างเดิมมีรักลึกล้ำยิ่งกว่าชีวิตให้กับจีเย่ว์ ส่วนนางที่เป็นส่วนเกินไม่ได้ทันดูตาม้าตาเรือก็มาเข้าร่างนี้เข้าพอดี 

 

 

หากว่าจีเย่ว์เป็นบุรุษชั่วร้ายก็แล้วไป อย่างน้อยๆ ตัวนางเองจะได้ไม่ต้องมาปวดใจไปด้วย 

 

 

แต่ว่าถ้าเกิดจีเย่ว์เองก็รักเจ้าของร่างเดิมด้วยความจริงใจเล่า……นี่ไม่เท่ากับว่าเป็นการจับแยกคู่รักนกกระเรียนทั้งเป็นหรอกหรือ? 

 

 

เรื่องเลวๆ แบบนี้ทำไมจะต้องให้นางมาเป็นคนทำด้วยนะ? 

 

 

เมื่อเห็นว่านางไม่ยอมรับปาก ดวงจิตก็เริ่มโขกศีรษะให้กับนาง “ข้ารู้ว่าท่านเป็นผู้ที่มีความสามารถยิ่งใหญ่ ขอร้องท่านเถอะ! “ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันทอดถอนใจยาวเหยียด นางขยับมือเบาๆ ไอสีดำที่รายล้อมก้อนหยกกลุ่มนั้นก็ซึมกลับเข้าไปในร่างกายอีกครั้ง 

 

 

นางอยากจะกลายเป็นปลาตายไปซะจริงๆ อะไรๆ ก็จะได้ไม่ต้องไปสนใจ 

 

 

………………………………. 

 

 

ไทเฮาน้อยที่พึ่งเสด็จกลับจากการไหว้บรรพชน พำนักในพระตำหนักตี้หัวคืนหนึ่ง 

 

 

ข่าวนี้สร้างความตระหนกไปทั่วทั้งวังหลวง 

 

 

เหล่าสนมทั้งหลายต่างกระทืบเทาร่ำร้องเป็นการใหญ่ มีแต่ฟ้าดินที่รู้ว่า เพื่อจะได้เป็นสตรีคนแรกที่ได้ค้างคืนในพระตำหนักตี้หัว พวกนางแต่ละคนต่างก็ต้องทึ้งหัวตัวเองไปแล้วกี่ครั้ง คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายกลับกลายเป็นหินรองเท้าให้กับไทเฮาไป? 

 

 

ไม่รู้เพราะเหตุใด เต๋อเฟยกลับถูกส่งไปยังตำหนักเย็นแล้ว แม้แต่นางกำนัลคนสนิทของนางเองยังถูกขับไล่ไปแผนกทำความสะอาด 

 

 

นี่ยังไม่จนไม่สิ้น ตอนเช้าตรู่พระตำหนักตี้หัวยังถ่ายทอดรับสั่ง ว่าเรื่องที่ไทเฮาเคยปีนเตียงมังกรนั้น เป้นเพราะถูกเต๋อเฟยวางแผนให้ร้าย บัดนี้ความจริงปรากฎ ฝ่าบาทมีพระเมตตา คืนความบริสุทธื์ให้กับไทเฮา ทั้งยังพระราชทานพระตำหนักเฟิ่งหมิงให้พำนักตลอดไป 

 

 

พวกนางแต่ละคนช่างตาบอดนัก ถูกเต๋อเฟยลวงไม่อาจแยกแยะก็แล้วไป แต่กลับดูถูกเหยียดหยามตู๋กูซิงหลันไว้อย่างสาหัสนี่สิ 

 

 

ใครจะไปคิดได้ว่า นางจะสามารถอาศัยมือเปล่าวาดลวดลายออกมาได้ กลายเป็นปลาตายพลิกตัวได้สำเร็จ 

 

 

คราวนี้ เหล่าสนมนางกำนัลทั้งหลายต่างอิจฉาตาร้อนกันยกใหญ่ 

 

 

แต่ว่าตู๋กูซิงหลันกลับพำนักอยู่ในพระตำหนักตี้หัวถึงสามวัน ถึงได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้ให้กลับตำหนักเฟิ่งหมิงได้ 

 

 

หลี่กงกงเป็นผู้พามาส่งด้วยตนเอง 

 

 

ทันทีที่เข้ามาในตึกข้างของตำหนัก ก็ถูกสมบัติแก้วแหวนเงินทองมากมายทำเอาชะงักจนตาลาย 

 

 

“นายหญิง หลายวันนี้ที่ท่านไม่อยู่ เหล่าพระสนมในตำหนักต่างๆ พากันแสดงความกตัญญูออกมา ส่งสิ่งของมามากมาย บ่าวไม่กล้าหยิบจับวุ่นวาย” เชียนเชียนที่แทบจะถูกข้าวของต่างๆ กองทับไว้ได้แต่โผล่หน้าออกมาพูดกับนาง