ก่อนจะเข้าวังมา นางเคยคิดหาหนทางที่จะได้ใกล้ชิดอี้อ๋องมาเป็นร้อยเป็นพันครั้ง แต่คิดไม่ถึงว่า จะกลายเป็นวิธีนี้ ให้เขากลายเป็นนักโทษในตำหนักเย็น
ตำหนักเย็นหลังนี้ช่างยอดเยี่ยมนัก ก่อนนี้สามารถคุมขังไทเฮา ตอนนี้สามารถจองจำท่านอ๋อง แม้ตัวนางจะต้องอาศัยอยู่ในนี้ก็นับว่าไม่เสียเปรียบแล้ว
นี้เป็นครั้งแรกที่สายพระเนตรของจีเย่ว์สาดไปสังหารออกไป ไอสังสารนี้ทำให้หัวใจของโหยวหนิงกระตุกไปเลยทีเดียว
เขาลุกขึ้นมา เก็บซ่อนสีหน้าที่เจ็บปวดไว้ เหลือเพียงความเย็นชาไร้ที่เปรียบ “กรรมใดใครก่อ โหยวหนิง เจ้าต้องไม่ตายดี ข้าผู้เป็นอ๋องจะคอยดู”
โหยวหนิงชงักไปครู่หนึ่ง คำเรียก ‘โหยวหนิง’ นี่ออกจากปากของเขาช่างน่าฟังเหลือเกิน
นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินเขาเรียกชื่อตนเอง ฟังแล้วช่างเสียดสียิ่งนัก
นางหัวเราฮิๆ ฮะๆ “ไม่ตายดีหรือ? เช่นนั้นก่อนตายข้าจะต้องลากใครไปด้วยดีล่ะ”
นางพูดแล้วก็ยกแหวนหยกขาวบนนิ้วขึ้นมา “ท่านยินยอมให้ตนเองต้องรับโทษมหันต์ แต่ก็ต้องปกป้องคนผู้นั้นไว้ให้ได้นิ”
จีเย่ว์หรี่เนตรมอง ยิ่งมองนางไอสังหารก็ยิ่งเข้มข้นขึ้น
“อี้อ๋องเพคะ ทางที่ดีท่านสวดภาวนาให้ข้าอยู่รอดปลอดภัยจะดีกว่า มิเช่นนั้นหากว่าวันใดข้าเกิดเรื่องขึ้น ผู้ที่ท่านคิดจะปกป้องคงไม่อาจอยู่อย่างสบายได้อีกแล้ว”
โหยวหนิงเดินมาถึงข้างกายเขา พิจารณาดูพักตร์ที่งดงามดุจเทพเซียนนั้น เห็นบนใบหน้ายังมีรอยแผลที่ไม่จางหายไป ก็รู้สึกปวดใจขึ้นมา นางยกมือขึ้น คิดจะลูบไล้รอยแผลนั้น
“ท่านอ๋อง จากนี้ไป ขอเพียงท่านยินยอมอยู่กับข้าในตำหนักเย็นนี้ ข้ารับรอง ชั่วชีวิตนี้จะไม่มีทางให้ใครได้รู้ความจริง ผู้ที่ท่านคิดจะปกป้อง ก็จะปลอดภัยไปชั่วชีวิตเช่นกัน”
จีเย่ว์ปัดมือที่ยื่นมานั้นทิ้งไป ยกหัตถ์ตบหน้านางฉาดหนึ่ง ตบนี้รุนแรงถึงขนาดทำให้โหยวหนิงล้มลงไปบนพื้น
สิ่งที่ทิ้งไว้ให้นางมีเพียงแววเนตรที่เปี่ยมไปด้วยไอสังหารเท่านั้น
………………………………………………….
ในตำหนักตี้หัว ท่านหมอหลวงซุนที่มีแต่เหงื่อท่วมศีรษะกำลังจับชีพจรให้ไทเฮา การจับชีพจรนี้นี้ยังไม่เท่าไหร่ แต่เขากลับพบว่าชีพจรหัวใจของนางบาดเจ็ยสาหัส
“ฝ่าบาท ไทเฮาทรงไปประมือกับยอดยุทธ์ผู้ใดเข้า ไยจึงได้รับบาดเจ็ยถึงเพียงนี้? ” ท่านหมอหวงซุนชักจะอดกลั้นไม่ไหวแล้ว ถึงแม้ไทเฮาอยู่ในวังนี้อย่างไม่ราบรื่นนัก แต่อย่างไรนางเป็นเพียงสตรีเยาว์วัยผู้หนึ่ง ผู้ใดกันที่ลงมือหนักเช่นนี้
“อารมณ์ไม่ได้ ถูกยั่วโทสะมา ” จีเฉวียนทรงประทับนั่งอยู่ด้านข้างของตู๋กูซิงหลัน “อย่าได้พูดให้มากความ ไม่ว่าจะต้องใช้โอสถเช่นไร ก็จงรักษานางให้เรา”
หมอหลวงซุน “………” ในวังนี้ผู้ที่สามารถทำให้ไทเฮาน้อยมีโทสะได้ ก็น่าจะมีแต่ฝ่าบาทละมั้ง?
เขาอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองดูฝ่าบาทนิดหนึ่ง
เรื่องผึ้งพิษในครั้งก่อน เขาได้เห็นแล้วว่าฝ่าบาททรงรังแกสาวน้อยนางนี้เช่นไร ครั้งนี้ดูท่าจะเกินไปแล้ว!
เป็นบุรุษตัวโตจะยอมสตรีตัวน้อยเสียหน่อยไม่ได้หรือ?
แม้ในใจจะขุ่นข้องอยู่บ้าง แต่ความเคลื่อนไหวของเขากลับคล่องแคล่วว่องไว ทางหนึ่งเขียนใบยาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กล่าววาจาอย่างระมัดระวังว่า
“ฝ่าบาท ไทเฮาทรงได้รับบาดเจ็บภายใน พระอาการค่อนข้างหนักหนา แม้จะมีโอสถช่วยเหลือยังคงต้องใช้เวลาสิบวันครึ่งเดือนถึงจะดีขึ้นได้ ในช่วงเวลาเช่นนี้พระนางไม่อาจได้รับความตระหนกตกใจใดๆ ได้อีก”
ครั้งที่แล้วตอนที่อยู่ในตี้หัวนี้ ไทเฮาทรงปักเข็มใส่พระองค์เองเป็นการช่วยเหลือเขาคราหนึ่ง ครั้งนี้ก็ถือว่าเขาได้คืนหนี้น้ำใจนี้ให้แก่นางแล้วกัน
จีเฉวียนไม่ตรัสอันใด พระพักตร์ดำคร่ำเครียดประหนึ่งก้นหม้อ
“ฝ่าบาท….พระอาการบาดเจ็บของพระองค์ยังไม่หายดี ไม่สมควรมีโทสะหรือขยับพระองค์…” หมอหลวงซุนเปลี่ยนผ้าโปรงที่พันแผลบนพระหัตถ์พลางไม่ลืมกำชับอย่างละเอียดอีกครั้ง
“ไม่มีเรื่องใดเจ้าก็ถอยไปได้แล้วไ ระหว่างที่เปลี่ยนผ้าพันแผล พระขนงของฝ่าบาทไม่คลายออกแม้แต่น้อย แน่นอนว่าทรงเห็นว่าเขาพูดพร่ำเพรื่อไปแล้ว
หมอหลวงซุนปาดเหงื่อบนใบหน้าอยู่สองสามครั้ง ก็ได้แต่ขยับก้นถอยออกไป
ตู๋กูซิงหลันเหลือบมองดูเงาของหมอหลวงซุนคราหนึ่ง นางก็จดจำไว้ว่าตนเองยังมีเรื่องต้องไปสอบถามเขาอีกภายหลัง
นางนอนอยู่บนเบาะนุ่มเฉพาะองค์ของจีเฉวียน จากมุมของนางนี้สามารถมองเห็นพระพักตร์ด้านข้างของจีเฉวียนที่โดดเด่นเกินใครเทียบ ดวงตาหงส์เปล่งประกาย พระเกศายาวดูนุ่มนวล แต่เมื่อทรงหันกลับมามองนางสายพระเนตรก็เปี่ยมไปด้วยประกายเหน็บหนาว
หลี่กงกงยังคงรีรออยู่ครู่หนึ่ง เขากำลังคิดจะออกปากขอพระกรุณาแทนไทเฮาน้อย แต่กลับถูกสายพระเนตรราวคมดาบของฮ่องเต้สกัดไว้จนไม่กล้าขยับตัวแม้แต่นิดเดียว
“ออกไปเสีย” ฮ่องเต้ตรัสเสียงเย็นคำหนึ่ง ทำให้หลี่กงกงแทบจะต้องป่ายปีนออกไปโดยไว
ก่อนที่จะออกไปเขายังไม่วายหันมาดูไทเฮาน้อยอีกสักครั้งสองครั้ง ไทเฮาพะยะคะ ขอทรงโปรดรักษาพระองค์ด้วย~
แต่เมื่อเขาคิดดูให้ละเอียด นี่นับเป็นครั้งแรกที่ฝ่าบาททรงยินยอมให้สตรีผู้หนึ่งนอนลงบนเตียงมังกรของพระองค์
ฝ่าบาท…..คงจะไม่ทรงทำให้ไทเฮาต้องทรงลำบากพระทัยมากเกินไปละมั้ง?
เมื่อเขาออกไปแล้ว ทั่วทั้งพระตำหนักตี้หัวก็เงียบสงัดลง เงียบเสียจนตู๋กูซิงหลันแทบจะได้ยินเสียงลมหายใจของจีเฉวียนเอง
เขาประทับอยู่ด้านข้างของเบาะอ่อน ทอดพระเนตรมองดูใบหน้าน้อยๆ ที่งดงามของนางซึ่งปราศจากสีเลือดใดๆ พระขนงก็ขึงเป็นเส้นตรง แววพระเนตรคุกรุ่นขึ้นมารำไร
ตู๋กูซิงหลันงงงันไปชั่วขณะ ไอ้หนุ่มนี่ ตกลงกำลังโกรธเรื่องอะไรอยู่?
นางในตอนนี้ไม่มีกำลังจะไปงัดข้อกับเขา แต่ว่าเมื่อถอยห่างจากจีเย่ว์มาได้ ความรู้สึกที่คงเหลืออยู่ของร่างเดิมก็สงบลงไม่น้อย แต่ผลจากการกระอักโลหิตก็ยังทำให้นางรู้สึกทรมานมากอยู่ดี
แต่ว่าจีเฉวียนกลับเอาแต่จดจ้องนางไม่วางตา สายพระเนตรที่ราวกับจะแผดเผานางทำเอานางไม่กล้าขยับตัวแม้แต่น้อย
ยิ่งนางเขยิบเข้าไปด้านในของเบาะอ่อนเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเขยิบตามมาเท่านั้น จนกระทั้งวรองค์กำยำของเขาต้อนนางเข้ามุมแล้ว ทั้งยังใช้สายพระเนตรหงส์นั้นไล่ติดตามนางมาอีก
ลมหายใจของเขาเป่ารดใบหน้านาง จนร้อนระอุขึ้นมาทั้งยังสร้างความกระอักกระอ่วนแก่นางอีกด้วย
เดิมทีตู๋กูซิงหลันคิดจะเบนหน้าหนีไป แต่ว่าใบหน้าของเขาน่าดูเกินไปแล้ว
นางไม่เคยได้มองเขาแบบใกล้ๆ เช่นนี้มาก่อน
จีเฉวียนงดงามยิ่งนัก เป็นดั่งเทพเซียนชั้นสูงบนภูผา คิ้ว ดวงตา ริมฝีปาก จมูก งามไร้ที่เปรียบราวกับเทพเจ้าวาดให้ แม้แต่เส้นคิ้วของเขายาวงามเป็นระเบียบ ทั้งคมชัด จอนผมก็งดงาม อีกทั้งยังมีกลิ่นองอาจหยิ่งผยองของกษัตริย์
ตู๋กูซิงหลันมองอยู่เนิ่นนาน ที่สุดค่อยกลืนน้ำลายลงไปอึกหนึ่ง น่าเสียดาย….ในโลกก่อนนางไม่เคยเรียนวิชาจำพวกดึงธาตุหยางบำรุงหยิน ไม่เช่นนั้นละก็หากว่าสามารถตักตวงธาตุหยางจากเจ้าฮ่องเต้สุนัขนี้มาบำรุงร่างกายตนเองได้ก็คงจะดี
ท่าทางของนางที่ใช้ท่อนแขนเช็ดน้ำลายอยู่นั้น มีแต่จะทำให้จีเฉวียนเข้าใจว่านางกำลังหวาดกลัว เมื่อทอดประเนตรมองดูดวงตาดอกท้อที่วิบวับของนาง ความกรุ่นโกรธก็มอดดับลงช้าๆ ผ่านไปอีกครู่ใหญ่จึงได้ยินเขาตรัสออกมาว่า
“เจ้าเองก็ได้ยินชัดแล้ว อี้อ๋องยอมรับด้วยตนเอง นับจากวันนี้เป็นต้นไป ไม่อนุญาตให้ครุ่นคิดถึงเขาอีก”
ตู๋กูซิงหลัน “หา? “
“ยังจะแสร้งโง่อีก? ” โทสะของจีเฉวียนที่พึ่งจะมอดดับไป ก็ถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง เขายื่นปลายพระหัตถ์ออกมาสองนิ้วเชยคางของนางขึ้นมา “ตอนที่อยู่ในสุสานของเย่วฮูหยิน เจ้าอุ้มเขา และแบกเราไว้ ก็เท่ากับแสดงออกชัดเจนเลยว่า ในใจของเจ้าวางเขาเอาไว้ในตำแหน่งแรก”
ตู๋กูซิงหลัน “หือ? “
ไม่ใช่นะพี่ชาย….แบกท่านเพราะท่านตัวหนักกว่าจีเย่ว์ต่างหาก!
คนย่อมต้องอุ้มของเบา แบกของหนักอยู่แล้ว!
เพราะฉะนั้น…..ท่านไยต้องมาตั้งประเด็นเรื่องนี้ด้วย? ประเด็นสำคัญไม่ใช่ว่า ‘จีเย่ว์บงการโหยวหนิง’ หรอกหรือ? นี่ต่างหากที่เป็นปัญหา
“ข้ารู้แล้ว ครั้งหน้าจะต้องอุ้มท่าน และแบกเขาแทน” นานๆ ทีตู๋กูซิงหลันจะยอมเชื่อฟังสักครั้ง
นางในตอนนี้ก็เหมือนปลาบนเขียง แล้วแต่ว่าจีเฉวียนจะเชือดจะเฉือน ไม่อาจต่อกรได้แม้สักน้อย
“ยังจะมีครั้งหน้าอีกหรือ? ” พระหัตถ์ของจีเฉวียนใช้กำลังขึ้นมาบ้าง สตรีผู้นี้ไม่ได้รู้เลยว่า ประเด็นสำคัญนั้นอยู่ที่ใด!