ตอนที่ 95 ความรักพรากชีวิต

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

จีเย่ว์เองก็พึ่งจะฟื้นขึ้นมาในตำหนักของพระสนมมารดา พอได้ยินว่าหลันเอ๋อร์กลับวังมาแล้ว ก็รีบรุดจะมาหานาง 

 

 

ตู๋กูซิงหลันจดจ้องเขาเขม็ง นางอยากจะเตะไอ้คนรักเก่าผู้นี้ให้สุดแรง เอาให้ขึ้นสวรรค์ไปเลย 

 

 

นางปัดมือของเขาทิ้งไป ใช้นิ้วโป่งกดลงบนจุดเหรินจง 

 

 

ตายแน่ๆ! จะช้าเร็วมีหวังโดนเจ้าคนรักเก่าผู้นี้ทรมานจนตาย 

 

 

นางพึ่งจะยกมือขึ้น ก็เห็นจีเฉวียนเสด็จออกมาจากในตำหนัก สาวพระบาทเพียงไม่กี่ก้าวก็เข้ามาคว้าตัวนางจากอ้อมอกของจีเย่ว์ไป ใช้ชุดคลุมมังกรทองของตนเองห่อตัวนางไว้ 

 

 

เขารู้อยู่แล้ว ว่าตู๋กูซิงหลันเดิมทีก็รักจีเย่ว์มาก แต่คิดไม่ถึงว่า เข้าวังมานานถึงเพียงนี้ ความรักของนางยังลึกซึ้งไม่เสื่อมคลาย 

 

 

เพียงแค่ได้ยินว่าจีเย่ว์หลอกใช้นาง ก็เจ็บปวดใจจนกระอักเลือด! 

 

 

เขาเอาตัวตู๋กูซิงหลันที่คลุมชุดมังกรมาอุ้มไว้ในอก ทอดพระเนตรดูดวงหน้าที่ซีดขาวอย่างไร้ที่เปรียบของนาง ริมฝีปากราวกลีบดอกไม้นั้นอาบไปด้วยเลือด ก็ทรงกริ้วจัดแทบอยากจะประทานพระหัตถ์ตบนางให้ตายไปเสีย 

 

 

กฎระเบียบในพระราชสำนักต้าโจวถูกนางทำเสียเละเทะป่นปี้หมดแล้ว เป็นถึงไทเฮากลับยังเฝ้าคิดถึงแต่ลูกเลี้ยงของตนเอง! 

 

 

สมควรประหารสักพันหมื่นดาบตั้งแต่แรก! ให้ลงนรกไปขอสำนึกโทษกับอดีตฮ่องเต้เสียพร้อมๆ กับจีเย่ว์! 

 

 

แต่พอเห็นดวงตาของนางที่น้ำรินไหลทั้งสองข้าง เขาก็ตัดใจทำไม่ลง 

 

 

“ฝ่าบาท~ หม่อมฉันเดิมทีก็มีโรคหัวใจอยู่แล้ว นี่ไม่ใช่ว่าถูกโยซื่อ (尤氏= สตรีแซ่โยที่แต่งงานแล้ว ฐานะเป็นหญิงชาวบ้านธรรมดา) ยั่วโทสะเสียจนกำเริบหรอกหรือ? พระองค์ทรงพระทัยดีเรียกหมอหลวงซุนมารักษาสักหน่อยได้หรือไม่? ” ตู๋กูซิงหลันอยู่ในอ้อมแขนของเขาไม่กล้าขยับตัววุ่นวาย ดวงตาดอกท้อทั้งสองข้างเปียกน้ำตาจนชุ่ม แม้แต่ขนตายาวหนาก็มีหยดน้ำตาเกาะรางเม็ดไข่มุก 

 

 

น้ำเสียงของนางทั้งเบาทั้งอ่อนล้า ดูไปแล้วน่าสงสารจับใจ 

 

 

โหยวหนิง “……..” นังสาระเลวนี้ช่างรู้จัดปัดสวะนัก 

 

 

“ในเมื่อยังมีแรงพูดจา ดูท่ายังไม่ตายไปได้” จีเฉวียนอุ้มตู๋กูซิงหลันเอาไว้ หากเชื่อคำพูดผีสางของนาง เขาก็คงจะโง่เต็มที สตรีที่สามารถพาสองบุรุษตัวโตสองคนออกมาจากสุสานได้ มีโรคหัวใจกับผีนะสิ 

 

 

นางไม่ทำให้โหยวหนิงโกรธจนบ้าตายก็ถือว่าดีมากแล้ว โหยวหนิงหรือจะทำให้นางมีโทษะจนกระอักเลือดได้? 

 

 

โกหกได้โดยไม่ต้องมีบทร่างเลยนะ! 

 

 

” หากยังไม่รีบรักษาคงต้องตายจริงแน่” ตู่กูซิงหลันดึงแขนฉลองพระองค์ไว้ นางพยายามข่มลมหายใจของตนเองให้สงบ วันนี้เดิมที่นางคิดจะจัดการเรื่องนี้ให้จบเรียบร้อย แต่คิดไม่ถึงกลับถูกความรู้สึกของเจ้าของร่างที่มีต่อจีเย่ว์สกัดหนทางเสียแล้ว 

 

 

เพียงแค่กระอักเลือดครั้งเดียวก็มึนงงไปหมด หัวใจเจ็บปวดราวถูกเข็มแทงเข้าไป 

 

 

อ้อมแขนของจีเย่ว์ว่างเปล่า หัตถ์ของเขายังเปื้อนคราบโลหิตของตู๋กูซิงหลันอยู่เลย หัวใจของเขากำลังสั่นสะท้าน ยิ่งพอได้ยินว่า ‘จะตายแล้ว’จากนาง ก็ยิ่งทำให้เลือดในกายทั้งหมดของเขาเย็นวูบ 

 

 

แต่ขณะนั้นเอง โหยวหนิงก็ติดตามออกมา พอเห็นจีเย่ว์ที่ดูเหมือนวิญญาณหลุดลอยไปแล้ว ก็ยกยิ้มขึ้น “อี้อ๋องเพคะ ช่างพอดิบพอดีเชียว ตอนนี้นางได้รู้แล้ว ว่าเรื่องที่นางปีนเตียงมังกรนั้น เป็นพระองค์รับสั่งให้หม่อมฉันไปทำ แล้วพระองค์จะยังต้องเสแสร้งไปทำไมอีกละเพคะ? “ 

 

 

“เจ้าพูดอะไร? ” จีเย่ว์สาดสายตาเป็นประกายไปที่นาง 

 

 

“อุ้ย~ อย่าทรงทำเช่นนี้สิเพคะ ข้ากลัวนะ” โหยวหนิงทำน้ำเสียงอ่อนแอพลางถอยหลังไปก้าวหนึ่ง “ฝ่าบาททรงพระปรีชา ต่อให้ข้าไม่สารภาพออกไป จะช้าหรือเร็วก็ต้องทรงสืบทราบจนได้ กระดาษไม่อาจห่อไฟฉันใดก็ฉันนั้น” 

 

 

“ไทเฮาทรงกระอักพระโลหิต ก็เพราะถูกพระองค์ทำร้ายจิตใจนะสิ พระองค์นะ จะอย่างไรก็ไม่สมควรจะไปหลอกใช้จิตใจของสตรีที่มีใจผูกพันพระองค์เช่นนี้ 

 

 

“เจ้าพูดจาเหลวไหลอันใดกัน! ” จีเย่ว์ทรงกริ้วดุจไฟลุกท่วมฟ้า เขาเสด็จไม่กี่ก้าวก็เข้ามาใกล้โหยวหนิงอย่างรวดเร็ว ยื่นหัตถ์ไปคว้าสาบเสื้อของนาง “เป็นผู้ใดใช้ให้เจ้ามาให้ร้ายข้าผู้เป็นอ๋องกันแน่? “ 

 

 

“อ๋อ ให้ร้ายหรือ? ” โหยวหนิงหัวเราะเสียงเย็น ใช้ปลายนิ้วลูบไล้แหวนหยกขาวในนิ้วโป้งช้าๆ “หากไม่ใช่ท่านยังจะเป็นใครไปได้อีก? แม้แต่ไทเฮายังทรงเชื่อเลย ดูเลือดที่กระอักออกมาสิ ฮิๆๆ …….ช่างบาดตาบาดใจนัก” 

 

 

วันนี้ช่างสมใจนางนัก กระอักเลือดมากมายเช่นนี้ ดูท่านังแพศยาตู๋กูซิงหลันนั่น มีหวังได้รับบาดเจ็บภายในอย่างหนักแน่? 

 

 

เฮอะๆ ……ทำชั่วก็ตายๆ ไปเสีย ช่างสมควรแล้ว 

 

 

จีเย่ว์มองดูแหวนหยกขาวในนิ้วมือของนาง สายตาของเขามีแต่โทสะคุกรุ่นขึ้นมา ราวกับมีไอเย็นของน้ำแข็งกำจายออกมา เขากำหมัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ เครียดขึงอยู่เป็นนานยังไม่อาจปล่อยวางได้ 

 

 

จีเฉวียนโอบอุ้มตู๋กูซิงหลันไว้ สายพระเนตรหงส์นั้นเหลือบมองไปทางเขาอย่างเย็นชา “อี้อ๋อง โยซื่อใส่ความเจ้าจริงหรือไม่? “ 

 

 

ในเมื่อเขารีบรุดมาเช่นนี้ เรื่องนี้ก็จะได้ตัดจบไปเสีย 

 

 

จีเย่ว์มองมาที่พระองค์ และมองดูตู๋กูซิงหลันในอ้อมพระหัตถ์ ในหน้าของนางซีดขาวราวแผ่นกระดาษ ดูอ่อนแอเปราะบางราวกับบุปผาหยก หากใช้กำลังเพียงเล็กน้อยก็อาจแตกสลายไปทันที 

 

 

“กระหม่อมขอร้องฝ่าบาท โปรดรับสั่งให้หมอหลวงรีบมาตรวจรักษานางก่อน” เขาปล่อยมือจากโหยวหนิง คุกเข่าลงข้างหนึ่งเบื้องพระพักตร์จีเฉวียน 

 

 

จีเฉวียนสายพระเนตรเย็นชาขึ้นยิ่งกว่าเดิม “เราคิดว่า ไทเฮาจะต้องอยากทราบคำตอบแน่ หากว่าเจ้าไม่พูดให้ชัดเจน บาดแผลของนางคงไม่อาจรักษาหาย” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “………” ช่างสมกับเป็นฮ่องเต้ที่พระทัยดำนัก! 

 

 

จีเย่ว์กำหัตถ์ซ่อนเอาไว้ในแขนฉลองพระองค์ เขาคิดจะชิงเอาตู๋กูซิงหลันในอ้อมพระหัตถ์กลับมา พานางไปให้ไกลจากที่นี่ ตามหาหมอที่ดีที่สุดมารักษานาง 

 

 

แต่เมื่อสบตากับดวงตาดอกท้อที่เย็นชาดุจน้ำแข็งคู่นั้น หัวใจของเขาก็ราวกับจับตัวเป็นก้อนน้ำแข็งขึ้นมา 

 

 

นางแค้นเขา เกลียดเขา แม้แต่…….จะมองเขาอีกนิดก็ยังไม่ยินดีแล้ว 

 

 

เขากัดฟันกรอด หัวใจราวกับถูกคนแทงทะลุเป็นพันเป็นร้อยแผล 

 

 

เขารู้ดี หลันเอ๋อร์ยังคงห่วงใยอาวรตัวเขา ไม่เช่นนั้นคงไม่พาเขาออกจากสุสานเย่ฮูหยินมาด้วย 

 

 

ทั้งยังอุ้มเขาออกมาอีกตังหาก! 

 

 

และเพราะเขาคิดว่านางยังคงเหลือโอกาสให้เขา เขาคิดว่าพวกเขายังสามารถกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนได้ ขอเพียงนางยินนอม เขาก็ไม่สนใจสิ่งใดอีก 

 

 

เพราะฉะนั้น ทันทีที่เขาได้สติขึ้นมา ก็มาหานางเป็นอันดับแรก มาหานางด้วยความยินดีปรีดาอย่างที่สุด 

 

 

แต่ว่าตอนนี้ ……… 

 

 

“อี้อ๋อง เราจะถามเป็นครั้งสุดท้าย เรื่องนี้เป็นฝีมือเจ้าหรือไม่? ” จีเฉวียนจดจ้องเขาอย่างไร้ความปราณี โอบอุ้มตู๋กูซิงหลันเอาไว้แน่นโดยไม่ยอมผ่อนคลายแม้แต่น้อย 

 

 

พระหัตถ์ที่พันผ้าโปร่งเอาไว้แน่น เพราะต้องรับน้ำหนักมากเกินไป บาดแผลจึงปริแตก พระโลหิตก็ซึมออกมาจนแดงฉาน 

 

 

จีเย่ว์คุกเข่าข้างเดียวอยู่บนพื้น รู้สึกว่าเลือดทั้งตัวจับแข็งจนหนาวสั่น พอมองดูใบหน้าของตู๋กูซิงหลันที่ยิ่งทียิ่งซีดขาว เขาก็ต้องปิดตาลง ตอบออกมาเบาๆ คำหนึ่งว่า “ใช่” 

 

 

“ไทเฮา เจ้าได้ยินชัดเจนแล้วไหม? ” จีเฉวียนหันมาสอบถามสตรีในอ้อมแขนทันที 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเบื้อนหน้าหนีไป นางไม่คิดจะเหลือบมองจีเย่ว์แม้สักนิดเดียว คำตอบว่า “ใช่” คำนั้น แทบจะทำให้นางต้องกระอักโลหิตสดๆ ออกมาอีกครั้ง 

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกได้ถึงจิตวิญญาณของเจ้าของร่างเดิมที่หลงเหลืออยู่ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับร่างกายราวกับคำสาปหลอกหลอนที่เกือบจะพรากชีวิตนาง 

 

 

ความรักครั้งนี้มาเพื่อพรากชีวิต! 

 

 

พวกเขาริอาจจะมีความรักก็แล้วไปเถอะ แต่ไยต้องพาเอานางตกที่นั่งลำบากไปด้วย 

 

 

จีเฉวียนทอดพระเนตรดูท่าทางของนางที่อ่อนแอลงกระทั่งไม่คิดแม้แต่จะพูดจา ก็ไม่คิดจะทำให้นางต้องลำบากใจต่อไป โอบอุ้มนางไปทางพระตำหนักตี้หัว 

 

 

แต่ก่อนที่จะจากไป เขาไม่ลืมจะออกคำสั่งว่า “กักบริเวณอี้อ๋องในปีกตะวันตกของตำหนักเย็น หากไม่มีคำสั่งจากเราไม่อาจออกไปได้” 

 

 

จีเย่ว์กุมอกไว้ กัดริมโอษฐ์จนโลหิตไหล “กระหม่อม …….รับพระบัญชา” 

 

 

รอจนกระทั้งจีเฉวียนทรงนำตู๋กูซิงหลันเสด็จจากไปไกลแล้ว โหยวหนิงถึงได้หันมายิ้มเย็นให้กับจีเย่ว์ที่คุกเข่าอยู่บนพื้น “อี้อ๋อง ต้องเลือกระหว่างความกตัญญูและความรัก ช่างทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดต่างเสียจริงๆ …..น่าเสียดายนะ นางไม่มีวันให้อภัยท่านแล้ว แถมท่าน ยังต้องอยู่ในตำหนักเย็นแห่งนี้เป็นเพื่อนข้า ฮ่าๆๆๆๆๆ 

 

 

โหยวหนิงหัวเราะแล้ว นางหัวเราะจนน้ำตาไหลออกมาเป็นทาง