แดนนิรมิตเทพ บทที่ 672
“สลายตัวเถอะ พรุ่งนี้ค่อยมารวมตัวกันใหม่ แล้วผมมีเรื่องจะประกาศ” เฉินโม่ไล่สมาชิกหน่วยรบพิเศษที่ไม่เต็มใจสลายตัว แล้วเขาก็กลับมาพักผ่อนที่ห้องตนเอง
เฉินโม่ทำจิตใจให้สงบ แล้วคิดถึงการฝึกขั้นต่อไปของตนเอง
“ตอนนี้ฝึกร่างธาตุไม้สำเร็จสมบูรณ์แล้ว ขั้นต่อไปคือฝึกร่างธาตุน้ำ และคราวนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะสามารถหาของล้ำค่าอย่างรากทิพย์พรสวรรค์มาได้อีก ของล้ำค่าที่มีพลังชะตาธาตุน้ำเหล่านั้น ปกติแล้วจะอยู่ในท้องทะเลลึก และเกรงว่าการฝึกร่างธาตุน้ำจะเป็นกระบวนการที่ยาวนานมาก!”
“เพลงกระบี่พันอยู่ที่แดนบ่มเพาะกระบี่ชั้นที่สองแล้ว จากนั้นก็หาหินหยกเพิ่มเติม อีกไม่นานก็น่าจะสามารถทะลวงไปยังแดนฝึกกระบี่ชั้นที่สามได้”
“ส่วนเรื่องการปรับปรุงกระบี่สับสวรรค์ทำได้เพียงเลื่อนออกไปเท่านั้น ถ้าไม่สามารถหาวัตถุดิบดี ๆ ได้ มันจะทำให้การปรับปรุงช้ามาก ตอนนี้ผมมีกระจกโบราณที่เป็นเครื่องรางป้องกันตัวระดับสูงอยู่ ซึ่งมันเพียงพอที่จะรองรับเพื่อให้บรรลุถึงแดนยาทองได้”
“ช่วงที่ผ่านมาผมรู้สึกว่าพลังทิพย์ในร่างกายอิ่มตัวแล้ว ผมจะหาโอกาสทะลวงสู่ชั้นหกแดนรวมพลัง เมื่อถึงเวลานั้นความแข็งแกร่งของผมจะก้าวกระโดดอีกครั้ง และสามารถฆ่าแม้แต่นักบู๊แดนเทพได้อย่างง่ายดาย!”
“หลังกลับมาจากเมืองโบราณจิงเจวี๋ยแล้ว ก็ไม่พบเบาะแสของศิษย์น้องหญิงอีกเลย ดูเหมือนว่าตอนนี้ทำได้เพียงปล่อยเรื่องนี้ไว้ชั่วคราวก่อน เพราะผมยังคงต้องปรับปรุงพลังบำเพ็ญต่อไป เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการทะลวงไปชั้นหกแดนรวมพลัง”
เฉินโม่นั่งขัดสมาธิและหลับตาฝึก
วันรุ่งขึ้น เฉินโม่มาที่สนามฝึก แล้วตอบปัญหาที่สมาชิกของหน่วยรบพิเศษเทพอินทรีพบเจอในการฝึก และบางครั้งที่คำพูดชี้แนะเพียงประโยคเดียว ก็สามารถทำให้สมาชิกทุกคนเข้าใจทันที จนทำให้พวกเขารู้สึกดีใจมาก
เมื่อทุกคนถามจบแล้ว เฉินโม่ก็ประกาศว่าเขากำลังจะจากไป ทำให้สมาชิกทุกคนรู้สึกเสียใจเล็กน้อย แต่พวกเขาก็ไม่ได้บ่นใด ๆ
ห้าวันต่อมา มู่หรงเค่อโทรศัพท์มาหาเขา และบอกว่างานพันธมิตรสี่ฝ่ายกำลังจะเริ่มแล้ว ขอให้เฉินโม่ไปรวมตัวกับพวกเขาที่ตระกูลมู่หรง
เฉินโม่เดินทางมาที่วิลล่าชิงหลงของตระกูลมู่หรงอีกครั้ง หลังจากพบมู่หรงเค่อแล้ว เฉินโม่ถึงได้รู้ว่าความจริงแล้วงานพันธมิตรสี่ฝ่ายไม่ได้จัดขึ้นที่วิลล่าชิงหลงของตระกูลมู่หรง แต่จัดที่หมู่บ้านหวงหยาง ซึ่งอยู่ระหว่างรอยต่อมณฑลไห่ตงกับมณฑลไห่ซี
เฉินโม่พักอยู่ในตระกูลมู่หรงหนึ่งคืน วันรุ่งขึ้นมู่หรงเค่อพาอินทรีขาว อินทรีดำ ลุงสุ่ย เฉินโม่ มู่หรงยานเอ๋อร์ และลูกน้องที่มีความสามารถสิบกว่าคนของตระกูลมู่หรง ขับรถยนต์หรูหลายคันเดินทางไปที่หมู่บ้านหวงหยาง
หลังจากมาถึงหมู่บ้านหวงหยางแล้ว เฉินโม่ถึงได้รู้ว่าหมู่บ้านแห่งนี้ใหญ่และเจริญรุ่งเรืองกว่าอำเภอหนึ่งเสียอีก
“ตั้งอยู่ทางตอนใต้สุดของประเทศหัวเซี่ย อยู่ระหว่างรอยต่อของสองมณฑล ดังนั้นทางการจึงควบคุมดูแลที่นี่ไม่เคร่งงวดมากนัก การเลือกจัดงานพันธมิตรสี่ฝ่ายที่นี่ ส่วนหนึ่งเพื่อเลี่ยงความสนใจของทางการ”
“อย่างไรก็ตาม งานพันธมิตรสี่ฝ่ายสามารถดึงดูดนักธุรกิจที่มั่งคั่งจากทั่วสารทิศมามากมาย และได้ขับเคลื่อนพัฒนาเศรษฐกิจของหมู่บ้านหวงหยาง หลังจากการเปลี่ยนแปลงช่วงหลายปีที่ผ่านมา หมู่บ้านหวงหยางกลายเป็นที่หมายปองของสองมณฑล เพียงแต่เนื่องจากทางการรู้การพัฒนาภายในของหมู่บ้านหวงหยาง ดังนั้นทางการจึงแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับงานพันธมิตรสี่ฝ่าย เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงสามารถดึงดูดคนได้มากยิ่งขึ้น และทำให้หมู่บ้านหวงหยางเจริญรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้น” เมื่อเห็นสีหน้าที่สงสัยของเฉินโม่แล้ว มู่หรงเค่อจึงอธิบายเบา ๆ
ไม่นาน ขบวนรถก็มาหยุดอยู่ที่หน้าวิลล่าระดับไฮเอนด์ ที่มีทั้งภูเขาและแม่น้ำ หลังจากนั้นทุกคนก็ลงรถ
มู่หรงเค่อกล่าวกับทุกคนว่า “ผมจะไปพบเหล่าผู้ทรงอิทธิพลก่อน พวกคุณไปเดินเล่นก่อน เหนื่อยแล้วค่อยกลับมารวมตัวกันที่นี่”
“ค่ะ!” มู่หรงยานเอ๋อร์ตอบรับด้วยความดีใจ จนถูกมู่หรงเค่อจ้องตาเขม็ง แล้วเธอก็ก้มหน้าลงเล็กน้อยและเบ้ปาก
มู่หรงเค่อแสร้งทำเป็นจริงจังและกล่าวว่า “ไปเดินเล่นได้ แต่อย่าสร้างปัญหา!”
มู่หรงยานเอ๋อร์แลบลิ้นใส่พ่อตนเองและกล่าวว่า “เข้าใจแล้วค่ะ” จากนั้นเธอก็ดึงเฉินโม่แล้วเดินจากไป
มู่หรงเค่อยิ้มด้วยความจำใจ ดวงตาเต็มไปด้วยความรัก
เขาหันไปมองอินทรีคู่ขาวดำแล้วกล่าวว่า “ถ้าท่านสองคนชอบความสงบ ผมสามารถจัดที่พักให้ท่านสองคนก่อนได้”
อินทรีใหญ่โบกมือด้วยความเย่อหยิ่ง “ไม่จำเป็น พวกเราจะไปเดินดูรอบ ๆ เพื่อดูว่าที่นี่มีอะไรพิเศษบ้าง”