แดนนิรมิตเทพ บทที่ 673
หลังจากเดินไปตามถนนที่ปูด้วยหินอ่อนหลายสิบเมตร เฉินโม่กับมู่หรงยานเอ๋อร์ก็มาถึงย่านใจกลางหมู่บ้าน

สองข้างทางของถนนมีแผงขายของต่าง ๆ โดยขายของที่ระลึกที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของทางใต้ รวมถึงของแปลกมากมาย ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกตื่นตาตื่นใจ

มู่หรงยานเอ๋อร์มองไปทางซ้ายบ้างและทางขวาบ้าง มีความสุขเหมือนนกคีรีบูนที่เพิ่งถูกปล่อยออกจากกรง รู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสิ่งแปลกใหม่

โดยเฉพาะการที่เธอความสามารถมาเดินช็อปปิ้งกับเฉินโม่ได้ เป็นโอกาสที่หายากของมู่หรงยานเอ๋อร์ ดังนั้นมู่หรงยานเอ๋อร์จึงหวงแหนมันมาก และรู้สึกมีความสุขมากเช่นกัน

“เฉินโม่ นายดูสร้อยข้อมือหอยสังข์เส้นนี้สิ!” มู่หรงยานเอ๋อร์หยิบสร้อยข้อมือที่ทำจากหอยสังข์ขนาดเล็กหลากสีสัน จากแผงลอยของหญิงวัยกลางคน และถามอย่างมีความสุขว่า “สวยไหม?”

“สวยครับ” เฉินโม่พยักหน้า

หญิงวัยกลางคนกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “สาวน้อย คุณหน้าตาสวยมาก ใส่แล้วยิ่งสวยมากขึ้นไปอีก ถ้าคุณชอบ ฉันจะมอบให้คุณฟรี ขอเพียงแค่คุณสวมมันไว้ก็พอแล้ว”

หญิงวัยกลางคนเป็นคนที่หัวการค้ามาก ด้วยรูปร่างหน้าตาที่สวยของมู่หรงยานเอ๋อร์แล้ว ถ้าเธอสวมสร้อยข้อมือเส้นนี้เดินไปตามถนน ต้องสามารถเพิ่มจุดเด่นของสร้อยข้อมือเส้นนี้ได้อย่างแน่นอน และทำให้คนมากมายอยากมีสร้อยข้อมือที่สวยงามแบบนี้เหมือนกัน

และหลังจากที่พวกเธอซื้อสร้อยข้อมือแล้ว ถึงได้รู้ว่าไม่ใช่สร้อยข้อมือสวย แต่ที่สวยคือมู่หรงยานเอ๋อร์ต่างหาก

“ขอบคุณค่ะ คุณป้า แต่พวกเราจะไม่เอาฟรี ๆ เงินนี้ให้คุณป้า ไม่ต้องทอนค่ะ!” หญิงวัยกลางคนกล่าวชมมู่หรงยานเอ๋อร์ ทำให้เธอดีใจจนยิ้มแก้มปริ

และขณะที่หญิงวัยกลางคนกำลังจะปฏิเสธ มู่หรงยานเอ๋อร์ก็ดึงเฉินโม่และเดินไปที่แผงถัดไปแล้ว

“โอ้ บังเอิญจริง ๆ! นั่นเฉินโม่ไม่ใช่เหรอ?”

ทันใดนั้น เสียงหัวเราะเยาะก็ดังมาจากระยะไม่ไกล

“เฉินโม่ เป็นนายจริง ๆ ด้วย!” ตามมาด้วยเสียงไพเราะของผู้หญิงที่มีความรู้สึกประหลาดใจ

หนุ่มสาวคู่หนึ่งที่แต่งตัวดีและท่าทางไม่ธรรมดา ยืนบริเวณด้านหน้าของแผงลอยที่สาม พวกเขากำลังมองเฉินโม่กับมู่หรงยานเอ๋อร์ด้วยสีหน้าแตกต่าง

ถึงแม้ว่าผู้ชายจะเรียกชื่อเฉินโม่ แต่สายตาของเขามองมู่หรงยานเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างตลอด และสามารถสัมผัสถึงความเร่าร้อนที่อยู่ในดวงตาได้จากระยะไกล

หญิงสาวมองเฉินโม่ด้วยความดีใจ ที่กลับมาพบเจอกันอีกครั้งหลังจากกันนาน

ชื่อของสองคนนี้ปรากฏขึ้นในสมองของเฉินโม่ ฉีหมิงซานและฉีเยว่หยูเป็นเพื่อนร่วมชั้นมัธยมปลาย เพียงแต่พวกเขาสองคนย้ายโรงเรียนไปช่วงชั้นมัธยมปีที่ห้า

ต่อมาได้ยินข่าวซุบซิบจากเพื่อนนักเรียนว่าพ่อของพวกเขาทำธุรกิจใหญ่โตอยู่ที่ไห่ตง และกลายเป็นมหาเศรษฐี ดังนั้นจึงให้พวกเขาย้ายไปเรียนที่ไห่ตง

เฉินโม่ไม่คิดว่าจะได้พบพวกเขาที่นี่ ซึ่งถือว่ามีวาสนาต่อกันจริง ๆ

เพียงแต่ความสัมพันธ์ระหว่างฉีหมิงซานกับเฉินโม่ไม่ค่อยดีนัก กระทั่งเขามักจะกลั่นแกล้งเฉินโม่บ่อย ๆ แต่ฉีเยว่หยูที่เป็นน้องสาวมีมิตรไมตรีกับเฉินโม่ หลายครั้งที่เฉินโม่ประสบปัญหา เธอจะออกหน้าช่วยพูดแทนเฉินโม่เสมอ

หลังจากนั้น สองพี่น้องตระกูลฉีเดินมาอยู่ตรงหน้าพวกเขา

ฉีเยว่หยูมองเฉินโม่ และถามด้วยความประหลาดใจ “เฉินโม่ นายมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? คนที่อยู่ข้างนายคือใคร?”

เมื่อเห็นมู่หรงยานเอ๋อร์แล้ว แม้แต่ฉีเยว่หยูที่เป็นคนสวย ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความประหลาดใจ ต่อหน้ามู่หรงยานเอ๋อร์แล้ว เธอรู้สึกว่าตนเองต้อยต่ำเล็กน้อย

เฉินโม่ไม่ได้ตอบคำถามของฉีเยว่หยู เพราะเขาไม่อยากให้ฉีหมิงซานที่ยืนอยู่ด้านข้าง ทำให้ชื่อของมู่หรงยานเอ๋อร์ด่างพร้อย เขาเพียงแค่มองฉีเยว่หยูแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ไม่ได้เจอกันนาน!”

ฉีเยว่หยูรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เธอสามารถรู้สึกได้ว่าดูเหมือนเฉินโม่ไม่มีมิตรไมตรีกับพวกเขา

แต่คิดแล้วพวกเขาไม่ได้เจอกันเป็นเวลาเกือบสองปีแล้ว และเมื่อก่อนความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับเฉินโม่ก็ไม่ค่อยดีนัก การที่เฉินโม่ยังไม่ลืมพวกเขา มันก็ดีมากแล้ว