บทที่ 601 ราชันสวรรค์ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

บทที่ 601 ราชันสวรรค์ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด!
คำพูดของหวังเป่าเล่อทำให้แม่นางน้อยใจสั่น อันแสดงออกมาผ่านลมหายใจของนางที่เร็วขึ้นในจิตของเขา

ชายหนุ่มรู้สึกพอใจในผลงานของตนเองทันที เขาเป็นถึงชายผู้ที่มีรูปโฉมงดงามที่สุดในสหพันธรัฐ เพียงแค่ดีดนิ้วก็มีสตรีมากมายหลายหมื่นแสนคนยอมศิโรราบลงแทบเท้า แค่ทำให้แม่นางน้อยประทับใจนี้ง่ายเสียยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าลึก ตั้งใจว่าจะประกาศความรักอันแสนร้อนแรงมั่นคงที่มีต่อแม่นางน้อย ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจกว่าเดิม และมองหาช่องว่างโน้มน้าวนางให้ยอมออกจากที่แห่งนี้เสีย

“หยุดพูดเดี๋ยวนี้ ไอ้อ้วน เลิกแสดงละครแล้วไปทำงานได้แล้ว เร็วเข้า!”

หวังเป่าเล่อกระพริบตาปริบ ตกใจที่กลเม็ดเด็ดของตนเองใช้ไม่ได้ผลเสียแล้ว แต่ความหน้าด้านหน้าทนของชายหนุ่ม ก็ทำให้เขารีบกระเด้งตัวขึ้น แทนที่จะหงอด้วยความอับอายที่โดนจับได้ เขาค้อมตัวลงเล็กน้อย กระโจนไปข้างหน้าสองสามก้าว ก่อนจะนึกได้ว่าตอนนี้ตนเองมีร่างกายเหมือนผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้น ชายหนุ่มจึงรีบยืดตัวขึ้นทันที และเดินอย่างองอาจไปตามทางที่แม่นางน้อยบอก หวังเป่าเล่อในคราบชายจากตระกูลไม่รู้สิ้น เดินเข้าหาจุดหมายอย่างแน่วแน่มั่นคง

ไม่นานนัก ยานรบสามลำก็บินผ่านศีรษะเขาไป ยานทุกลำหยุดอยู่เหนือหวังเป่าเล่อ ผู้โดยสารก้มลงมามองเข้าแวบหนึ่ง ก่อนจะจากไปโดยไม่สนใจเขาอีก

ชายหนุ่มได้แต่มองและคิดในใจว่าตนเองก็อยากได้ยานพาหนะกับเขาบ้างเหมือนกัน แต่ก็รู้ดีว่าโอกาสที่จะได้มานั้นน้อยนิดนัก เขาถอนใจอยู่ภายในก่อนจะเดินย่ำต๊อกต่อไป หวังเป่าเล่อเดินผ่านซากปรักหักพังมากมาย ก่อนจะชะงักกึกอยู่กับที่

“แม่นางน้อย หากเจ้าไม่ได้รีบอะไร ข้าขอเก็บนู่นเก็บนี่ไประหว่างทางได้หรือไม่”

ในตอนแรกแม่นางน้อยคิดว่าจะปฏิเสธคำขอของหวังเป่าเล่อ แต่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าตอนนี้นางต้องพึ่งเขาเพื่อทำภารกิจของตนให้สำเร็จ นางจึงไม่พูดอะไร อันถือเป็นคำตกลง

ดวงตาของชายหนุ่มเป็นประกายเมื่อไม่ได้ยินคำปฏิเสธ เขามองไปรอบๆ ก่อนจะเดินเข้าไปหาซากผุพังนั้น ตรวจตราบริเวณโดยรอบอย่างถี่ถ้วนครั้งหนึ่ง ก่อนจะค้นพบสมบัติเวทที่หักพังสองสามชิ้น และเก็บเข้ากระเป๋าไป

ซากสมบัติเวทนั้นเสื่อมสภาพมากเสียจนยากที่จะบอกว่าเคยเป็นสิ่งใดมาก่อน แต่หวังเป่าเล่อเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการหลอมอาวุธเวท อันแปลว่าเขาบอกได้ในทันทีว่าสิ่งที่เก็บมาได้เหล่านี้ ล้วนทำมาจากวัสดุมีค่าอันแสนยอดเยี่ยม ชายหนุ่มหมายมั่นที่จะแยกชิ้นส่วนสมบัติเวทเหล่านี้ออก เพื่อนำมาใช้ในภายหลัง

หวังเป่าเล่อเดินหน้าบุกซากเมืองเพื่อเก็บสิ่งของต่อไป ท่ามกลางความเงียบจากแม่นางน้อย หากคิดว่าตนเองสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ เขาก็จะหยิบสิ่งของเหล่านั้นเข้ากระเป๋าโดยไม่ลังเล

ชายหนุ่มเจอเข้ากับผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นอยู่บ้างตามทาง แต่ภาพมายาจำแลงที่แม่นางน้อยเสกให้เขา โดยใช้กฎจักรวาลไพศาลนั้น ทำให้การเผชิญหน้าเหล่านั้นไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้น นอกจากทำให้เจ้าตัวสะดุ้งตกใจอยู่ภายใน คลังสมบัติของเขาขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนบริเวณที่ชายหนุ่มเข้าไปรื้อค้น

ไม่ว่าจะเป็นซากสมบัติเวท ชิ้นส่วนที่ดูประหลาดน่าขัน ต้นไม้เหี่ยวเฉา หรือเมล็ดที่แห้งกรัง หวังเป่าเล่อเก็บมาหมดทุกสิ่งอย่างไม่เหลือแม้แต่ชิ้นเดียวให้ดูต่างหน้า เขามุ่งหน้าเข้าใกล้เทือกเขาทางเข้าสำนักวังเต๋าไพศาลเข้าไปทุกที ตามการนำทางของแม่นางน้อย

ชายหนุ่มได้ยินเสียงเครื่องยนต์ดังลั่น สะเทือนสะท้านออกมาจากประตูทางเข้าหุบเขาที่อยู่ไกลออกไป เมื่อเข้าไปใกล้ ก็เห็นวัตถุเวทเครื่องเจาะยักษ์ที่กำลังทะลวงยอดเขานั้นอยู่ วัตถุเวทยักษ์ปล่อยพลังรุนแรงออกมาขณะดูดพลังงานจากใต้ดิน กระบวนการดูดซับชีวิตของระบบจักรพิภพนี้ ส่งเสียงเครื่องยนต์ให้สะท้อนก้องไปในอากาศอย่างไม่หยุดยั้ง

เมื่อเทียบกับเครื่องเจาะยักษ์ หวังเป่าเล่อเปรียบเสมือนมดตัวจ้อยไร้ค่า ความเล็กกระจ้อยของเขาทำให้ชายหนุ่มตื่นตาตื่นใจกับวัตถุเวทชิ้นนี้มากขึ้นไปอีก

“ไอ้วัตถุเวทยักษ์นี่มันคืออะไรกัน มันกำลังทำอะไรอยู่หรือ” หวังเป่าเล่อสะอึก ขณะพูดพึมพำอยู่ในหัว

“นี่คือปลิงดูดพลังจักรวาล เป็นวัตถุเวทของราชันสวรรค์คนที่สองแห่งตระกูลไม่รู้สิ้น ใช้เพื่อดึงเอาพลังจักรวาลออกจากจักรพิภพ ราชันสวรรค์คนที่สองจะนำพลังนั้นไปใช้ในการฝึกปราณให้กับตนเอง ราชันสวรรค์คนที่สองมีจักรพิภพใต้อาณัติอยู่เก้าอาณาจักร และตั้งใจว่าจะใช้พลังจากระบบดวงดาวเหล่านี้ ในการก้าวข้ามระดับราชันไปเป็นจักรพรรดิ… ตระกูลไม่รู้สิ้นมีราชันสวรรค์อยู่ทั้งหมดสามสิบเจ็ดคน และเหนือไปกว่านั้นก็มีจักรพรรดิสวรรค์อยู่ห้าคนด้วยกัน!” แม่นางน้อยพูดอย่างไร้อารมณ์ หลังจากที่เงียบอยู่สักพัก

ราชันสวรรค์สามสิบเจ็ดคน จักรพรรดิสวรรค์ห้าคนเช่นนั้นหรือ หวังเป่าเล่อหรี่ตา เขารู้ว่าตระกูลไม่รู้สิ้นมีจักรพรรดิผู้ปกครองมาตั้งแต่สมัยเข้าไปอยู่ในนิมิตมืด แต่ในตอนนั้นมีจักรพรรดิสวรรค์อยู่เก้าคน ไม่ใช่ห้า จักรพรรดิสวรรค์ที่ปรากฏกายที่สำนักแห่งความมืด คือจักรพรรดิตั่วมู่ ผู้มีราชันสวรรค์อยู่ใต้ปกครองหกคน ถือว่าเป็นหนึ่งในจักรพรรดิสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดจากทั้งหมด อาจเรียกได้ว่าอยู่ในสามอันดับแรกเลยก็ว่าได้!

ถ้าเช่นนั้นก็แปลว่าทั้งราชันสวรรค์และจักรพรรดิสวรรค์มีจำนวนลดน้อยลง แค่เพียงจักรพรรดิสวรรค์ก็หายไปถึงสี่คนแล้ว!

ความคิดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อตัวสั่น เขาพอเดาออกว่าเกิดสิ่งใดขึ้น คงจะมีการรบพุ่งกันในช่วงเวลาที่ผ่านมาแน่นอน ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าคำของแม่นางน้อยมีความรู้สึกบางสิ่งซ่อนอยู่ ความรู้สึกนั้นช่างแสนซับซ้อนและเดียวดาย แต่เขาก็อดถามต่อไปไม่ได้

“ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้แต่กลับเป็นแค่ลำดับสอง ขั้นปราณของราชันลำดับสองนี้คือขั้นใดกันหรือ ใช่ระดับดาราจักรหรือไม่ แล้วการจะอยู่ในระดับราชันได้นี้ต้องมีปราณขั้นใด ราชันสวรรค์คนแรกแข็งแกร่งเพียงใดกัน”

หากทั้งสองไม่ได้มายืนอยู่ที่แห่งนี้ แม่นางน้อยอาจเลือกไม่ตอบคำถามเขา แต่เมื่อกลับมาอยู่ที่ดาวบ้านเกิดของนาง แม่นางน้อยก็รู้สึกได้ถึงอารมณ์ปั่นป่วนมากมายภายในใจ แม้ฉากหน้าจะยังดูสงบนิ่งก็ตามที หลังจากเงียบอยู่สักพัก นางก็เอ่ยตอบเสียงเบา

“ระดับราชันของตระกูลไม่รู้สิ้นนี้ เทียบเท่ากับปราณขั้นดาราจักร ราชันสวรรค์คนที่สองมีปราณขั้นดาราจักรแบบสมบูรณ์แบบ แต่ก็ยังห่างจากระดับจักรพรรดิอยู่ถึงครึ่งทาง นั่นแข็งแกร่งพอสำหรับเจ้าหรือไม่…”

“ส่วนราชันสวรรค์คนแรกนั้น…” แม่นางน้อยดูจนด้วยคำพูด นางดูไม่แน่ใจอย่างประหลาดขณะครุ่นคิด และเลือกที่จะเอ่ยออกมา

“ราชันสวรรค์คนแรกคือบุคคลลึกลับในตระกูลไม่รู้สิ้น มีน้อยคนนักที่รู้จักนามของเขา แต่มีข่าวลืออยู่สองเรื่องด้วยกันที่ทำให้ทุกคนรู้ดีว่าเขาน่ากลัวเพียงใด ข่าวลือเรื่องแรกคือเขาท้าสู้กับจักรพรรดิสวรรค์คนที่ห้า เจ้าพอเดาได้หรือไม่ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น” แม่นางน้อยโยนคำถามกลับไปให้หวังเป่าเล่อแทน

ชายหนุ่มตัวแข็ง ก่อนเอ่ยตอบหลังจากคิดอยู่สักพัก “เขาแพ้แต่ไม่ตายหรือ”

“เขาชนะ!” คำตอบของแม่นางน้อยเปรียบเสมือนสายฟ้าที่ฟาดเข้ากลางศีรษะของหวังเป่าเล่อ หากก่อนหน้านี้เขาไม่ได้เข้าไปอยู่ในนิมิตมืด เขาคงไม่ตกใจมากเท่านี้ แต่ประสบการณ์ในนิมิตมืดทำให้เขารู้มากกว่าคนทั่วไป ว่าระดับพลังระหว่างผู้ฝึกตนในระดับดาราจักรและระดับจักรวาลนั้น แตกต่างกันราวฟ้ากับเหวเพียงใด ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงตอบคำถามของแม่นางน้อยกลับไปเช่นนั้นในตอนแรก ว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่ราชันสวรรค์คนแรกจะกรำชัยมาได้

เป็นไปได้ว่าหลายคนก็คิดเช่นเดียวกับหวังเป่าเล่อ ทำให้แม่นางน้อยบอกว่าเรื่องนี้เป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น

“แล้วข่าวลือเรื่องที่สองเล่า” แม้อำนาจของราชันสวรรค์คนแรกจะห่างจากเขาไปหลายขุม แต่หวังเป่าเล่อก็ยังอดถามต่อไม่ได้

“ข่าวลือเรื่องที่สองนี้ยิ่งมีคนเชื่อน้อยลงไปอีก อย่างน้อยก็ไม่ใช่ข้าคนหนึ่งเล่า… ว่ากันว่าเมื่อก่อนนี้ตระกูลไม่รู้สิ้นมีจักรพรรดิสวรรค์อยู่เก้าคนด้วยกัน แต่ราชันสวรรค์คนแรกสังหารไปเสียสี่ กระนั้นอีกห้าคนที่เหลือก็ไม่ได้คาดโทษเขาในเรื่องนี้แต่อย่างใด ซึ่งไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย ด้วยเหตุนี้เรื่องนี้จึงเป็นได้เพียงข่าวลือเท่านั้น เจ้าก็ควรเชื่อแบบนั้นเช่นกัน”

หวังเป่าเล่อเบิกตากว้าง ความรู้สึกมากมายไหล่บ่าเข้ามาในจิตใจ แม่นางน้อยอาจไม่เชื่อเรื่องนี้ แต่หวังเป่าเล่อรู้ดี ว่าเมื่อก่อนนี้ตระกูลไม่รู้สิ้นเคยมีจักรพรรดิสวรรค์ถึงเก้าคนจริงๆ …

เป็นเพียงแค่ข่าวลือจริงๆ นะหรือ หากเป็นความจริงแล้วละก็ ต้องแปลว่าราชันสวรรค์คนแรกนั้นทรงพลังมากเสียจนไม่มีผู้ใดต้านทานได้เลยทีเดียว! ชายหนุ่มสองจิตสองใจว่าจะถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากแม่นางน้อยดีหรือไม่ แต่เมื่อเห็นว่านางเริ่มจมดิ่งสู่ความเศร้า เขาก็โยนความสงสัยใคร่รู้ของตน รวมถึงความตกใจเมื่อก่อนหน้าทิ้งไปเสีย และเก็บงำ คำถามเอาไว้เงียบๆ คนเดียว เมื่อเดินทางเข้าไปใกล้ประตูหุบเขาแม่นางน้อยก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง

“อย่าได้เดินเข้าประตูไปเชียว จงอ้อมไปด้านหลังของภูเขา ข้าจะชี้บอกทางลับให้เมื่อเจ้าไปถึง”

หวังเป่าเล่อไม่พูดตอบอันใด แต่เปลี่ยนทิศทางอย่างนุ่มนวลเพื่อมุ่งหน้าไปยังด้านหลังของหุบเขา เมื่อเข้าไปใกล้ขึ้น ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองวัตถุเวทขนาดยักษ์ที่ปักหลักอยู่กลางยอดเขานั้น ภาพที่เห็นทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเศร้าเล็กน้อย ตอนที่ยังอยู่ในนิมิตมืด สิ่งที่เค้ารู้เกี่ยวกับตระกูลไม่รู้สิ้น จำกัดอยู่เพียงตอนที่จักรพรรดิสวรรค์เดินทางมาที่สำนักของเขา เพื่อทวงหาดวงวิญญาณของบุตรสาวตนเอง รวมถึงสิ่งที่เขาอ่านเจอในบันทึกบางเล่มเท่านั้น

ตระกูลไม่รู้สิ้นไม่ใช่ชนเผ่าที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยเลือดเนื้อ หากแต่เป็นผนึกสายสัมพันธ์ขนาดใหญ่ โดยมีตระกูลไม่รู้สิ้นเป็นจุดศูนย์กลาง ตระกูลนี้ประกอบไปด้วยอารยธรรมมากมายหลากหลาย… ทุกอารยธรรมผนึกกำลังกันต่อสู้กับสำนักแห่งความมืด เพื่อให้ตนเองได้อยู่เหนือทั้งชีวิตและความตาย พวกเขาต้องการหยุดยั้งสำนักแห่งความมืด จากการทำหน้าที่ควบคุมวิญญาณของตนในนามของเต๋าสวรรค์…

สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้น… คือการล่มสลายของประมุขแห่งสำนักแห่งความมืดและเต๋าสวรรค์ที่ถูกทำลายลง อันทำให้ตระกูลไม่รู้สิ้น… ก้าวขึ้นมามีอำนาจเหนือสิ่งใดทั้งปวง! จิตใจของหวังเป่าเล่อดำดิ่งสู่ความเศร้า ความรู้ที่เขามีเกี่ยวกับตระกูลไม่รู้สิ้นนั้น แม้จะไม่สมบูรณ์แต่ก็มากพอตัว ชายหนุ่มถอนหายใจอยู่ภายในก่อนคิดถึงสหพันธรัฐ

ในจักรพิภพแห่งเต๋าและจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลที่ตระกูลไม่รู้สิ้นมีอำนาจสูงสุด อนาคตของสหพันธรัฐที่ถูกเปลี่ยนจากอาณาจักรอันขับเคลื่อนโดยนวัตกรรม มาเป็นการขับเคลื่อนโดยพลังปราณ ด้วยอำนาจแห่งกระบี่สำริดเขียวโบราณจากสำนักวังเต๋าไพศาลนั้น อาจไม่ได้รุ่งโรจน์และเต็มไปด้วยความหวังเหมือนที่เคยคิดไว้

หวังเป่าเล่อมุ่งหน้าไปที่เบื้องหลังของหุบเขาสำนักวังเต๋าไพศาลท่ามกลางความเงียบ จุดหมายปลายทางของเขาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ในตอนนั้นเองที่เสียงลนของแม่นางน้อยดังกังวานขึ้นในหัว

“ระวัง มีผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้!”

ทันทีที่พูดจบ ยานรบเจ็ดถึงแปดลำก็พุ่งตัดท้องฟ้ามาอย่างรวดเร็ว ยานสามลำที่นำหน้ามีผู้ฝึกตนประจำอยู่ยานละคน ส่วนยานรบที่เหลือนั้นมีผู้ฝึกตนอยู่ราวลำละสามถึงห้าคน ยานลำหนึ่งหยุดชะงักอยู่กลางอากาศขณะที่กำลังพุ่งผ่านด้วยความเร็วสูง หนึ่งในผู้ฝึกตนสามคนจากตระกูลไม่รู้สิ้นในยานลำนั้น ก้มลงมองหวังเป่าเล่อที่กำลังยืนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังเบื้องล่าง ก่อนจะเอ่ยปากพูดในภาษาที่ชายหนุ่มเข้าใจ!