บทที่ 602 ประกายจรัสดาว!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

บทที่ 602 ประกายจรัสดาว!
“นามของข้าคือหนานโจว ผู้ฝึกตนระดับสามจากกองกำลังที่สาม ใต้บัญชาของราชันสวรรค์ลำดับสอง ข้าขอสั่งให้เจ้าเข้าร่วมกองกำลังของเราเพื่อสนับสนุนการกำราบศัตรู จงขึ้นยานมาเดี๋ยวนี้และแจ้งชื่อของเจ้ากับข้า!” ผู้ฝึกตนระดับเชื่อมวิญญาณจากตระกูลไม่รู้สิ้นปล่อยรังสีทรงพลังออกมา ก่อนพุ่งตรงมาข้างหน้า และประกาศด้วยเสียงดังลั่นเหมือนสายฟ้าพิโรธ

แม่นางน้อยกระวนกระวายในทันที นางพูดอย่างรวดเร็ว “หมอนั่นสั่งให้เจ้าขึ้นยาน เขาต้องการให้เจ้า…”

หวังเป่าเล่อไม่ได้รอให้แม่นางน้อยพูดจบ ชายหนุ่มดึงสีหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาว ในใจทราบดีว่าสถานการณ์ที่ตนเองเผชิญหน้าอยู่นี้อันตรายเพียงใด แต่ก็ไม่มีประโยชน์ให้ต้องกังวลจนไม่เป็นอันทำอะไร เขากระโจนขึ้นไปในอากาศโดยฉับพลัน มุ่งหน้าไปยังยานที่ลอยอยู่กลางท้องฟ้าจนกระทั่งเท้าเหยียบลงบนยาน ชายหนุ่มยืนอยู่ท่ามกลางสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นคนอื่นๆ ดวงตากวาดมองพวกเขาอย่างรวดเร็ว ก่อนสังเกตเห็นว่าชุดเกราะที่พวกนี้สวมใส่ต่างจากผู้ฝึกตนระดับเชื่อมวิญญาณผู้นั้น

เขาจำได้ว่ายานรบที่ตนเองเห็นก่อนหน้านี้มีผู้โดยสารอยู่เพียงคนเดียว จึงมั่นใจว่าผู้คนรอบกายก็เพิ่งถูกเกณฑ์มาใหม่เช่นกัน ผู้ฝึกตนสองคนที่มาใหม่และผู้ฝึกตนระดับเชื่อมวิญญาณ ดูไม่ได้มีความเคารพกันและกันมากนัก ฟันเฟืองในสมองของหวังเป่าเล่อหมุนอย่างบ้าคลั่ง เมื่อแม่นางน้อยพูดจบ ชายหนุ่มก็ก้มหัวลงแทนที่จะทำมือคารวะหรือโค้งคำนับ และพูดในภาษาของสำนักแห่งความมืด

“เป่าเล่อ!”

แม่นางน้อยเงียบทันทีที่ได้ยิน

ผู้ฝึกตนระดับเชื่อมวิญญาณดูไม่ได้สนใจที่หวังเป่าเล่อไม่ได้เคารพแม้แต่น้อย และทำเพียงพยักหน้าตอบเช่นกัน ยานรบแล่นตรงไปข้างหน้าอีกครั้ง สู้จุดหมายปลายทางที่ไกลแสนไกล ชายหนุ่มสมาชิกใหม่บนยานลอบถอนใจออกมาด้วยความโล่งอก

เขาไม่แน่ใจว่าตระกูลไม่รู้สิ้นทักทายกันอย่างไร เนื่องจากมีมืออยู่ถึงหกมือ หลังจากที่เห็นการวางตัวเท่ากันของผู้ฝึกตนสองคนบนยาน และผู้ฝึกตนระดับเชื่อมวิญญาณแล้ว เขาก็ตัดสินใจไม่ทำความเคารพใดๆ โดยเลือกเพียงค้อมหัวลงเท่านั้น

และเขาก็ทำถูกแล้วเสียด้วย ตระกูลไม่รู้สิ้นสร้างมาจากการผนึกกำลังฉันท์พันธมิตร สมาชิกแต่ละคนมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างกัน ส่วนการเมืองภายในก็ยุ่งเหยิงวุ่นวาย ด้วยเหตุนี้แม้ในวัฒนธรรมของการฝึกตน ผู้ที่อ่อนแอกว่าจะต้องคารวะผู้ที่แข็งแกร่งกว่า แต่หวังเป่าเล่อก็เอาตัวรอดไปได้โดยเพียงก้มหัวลงเท่านั้น

ยานรบเคลื่อนที่ออกห่างปากทางเข้าภูเขาสำนักวังเต๋าไพศาล ชายหนุ่มในคราบตระกูลไม่รู้สิ้นเงียบไปตลอดทาง หลังจากที่เดินทางผ่านสนามรบเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง ซากปรักหักพังของเมืองใหญ่ก็ปรากฏขึ้นแก่สายตาพวกเขา

ซากนั้นกว้างใหญ่ไพศาล ตึกรามบ้านช่องมากมายดูอยู่ในสภาพดีพอตัว พวกเขาไม่ได้เป็นกลุ่มเดียวที่เพิ่งมาถึง แต่มียานรบแบบเดียวกันหลายสิบลำ กำลังพุ่งตัดท้องฟ้ามายังเมืองนี้เช่นกัน

“ภารกิจของพวกเจ้าคือการสังหารผู้รอดชีวิตทุกคนให้สิ้น!” ผู้ฝึกตนระดับเชื่อมวิญญาณประกาศอย่างไร้อารมณ์ ก่อนก้าวออกจากยานลงไปยังสมรภูมิเบื้องล่างด้วยก้าวเดียว หวังเป่าเล่อและผู้ฝึกตนคนอื่นๆ บนยานก็ทำเช่นเดียวกัน

สมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นที่มาจากบริเวณอื่นของดาวเดินหน้าทำตามคำสั่ง หวังเป่าเล่อสังเกตเห็นว่าระดับปราณของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันมาก ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่ที่ระดับเชื่อมวิญญาณ ส่วนผู้ที่อ่อนแอที่สุดอยู่ที่ระดับกำเนิดแก่นใน นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณอยู่บ้างอีกด้วย

ชายหนุ่มถึงพื้นอย่างเงียบเชียบขณะสังเกตผู้คนรอบตัวไปด้วย ในใจก็คิดว่าตนเองจะจากกองทัพย่อมๆ เหล่านี้ไปได้อย่างไร เพื่อมุ่งหน้าไปที่ประตูทางเข้าตรงหุบเขาตามแผนการเดิม

เขาพุ่งไปข้างหน้าตามกระแสของกำลังพลตระกูลไม่รู้สิ้นเพื่อกำจัดศัตรู เสียงระเบิดดังออกจากเมืองร้างอย่างไม่ขาดสาย พร้อมด้วยเสียงตะโกนของผู้คนที่เข้ารบพุ่งกัน รวมถึงการระเบิดตัวเองของนักรบมากมายโดยไม่หยุดยั้ง

เมืองร้างนี้เป็นหนึ่งในที่สุมกำลังพลของผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลที่รอดชีวิต พวกเขายังไม่ยอมศิโรราบต่อตระกูลไม่รู้สิ้น แม้สำนักหลักจะจากไปแล้วพร้อมความหวังของการมีชีวิตรอดก็ตามที ผู้ฝึกตนเหล่านี้เลือกที่จะปักหลักอยู่เบื้องหลัง ฝากชะตาเอาไว้กับดาวเคราะห์เต๋าไพศาลบ้านเกิดของตน

เมื่อเวลาผ่านไป ผู้ฝึกตนเหล่านี้ก็ให้กำเนิดชีวิตใหม่ แม้อนาคตจะดูมืดมนไร้ซึ่งความหวัง มีแม้กระทั่งผู้ทรยศในหมู่พวกเขา แต่ผู้รอดชีวิตส่วนใหญ่ก็ยังเลือกสู้เพื่ออิสรภาพจนลมหายใจสุดท้าย

เสียงระเบิดจากการต่อสู้ยังดังต่อเนื่องไม่หยุด หวังเป่าเล่อรุดไปข้างหน้าอย่างเงียบเชียบ รอบกายเขามีผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นสองคนด้วยกัน ต่างคนต่างอยู่ห่างกันราวสามร้อยเมตร คนหนึ่งมีปราณระดับกำเนิดแก่นใน อีกคนอยู่ที่ระดับจุติวิญญาณ

ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังคิดหาทางหนีทั้งสองคนเพื่อจากเมืองร้างนี้ไปนั้น พลังปราณระดับจุติวิญญาณก็ระเบิดออกจากตำหนักเบื้องหน้าโดยฉับพลัน พลังนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก จนทำให้ตำหนักยุบเข้าไปตามแรงดูด สตรีนางหนึ่งกระโจนออกจากตำหนักนั้น… พุ่งตรงมาที่ผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณจากตระกูลไม่รู้สิ้น!

สตรีผู้นั้นมีอายุราวสี่สิบปี พลังปราณของนางดูไม่มั่นคง แม้จะอยู่ที่ระดับจุติวิญญาณแต่นางก็ได้รับบาดเจ็บอยู่พอตัว สตรีผู้นี้พุ่งเข้าใส่ผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณจากตระกูลไม่รู้สิ้นทันทีที่หลุดออกจากตำหนักมาได้

แรงปะทะนั้นสะท้อนออกมาในรูปของเสียงระเบิด สตรีผู้นั้นกระอักเลือดออกมา หน้าซีดเผือดเหมือนกระดาษขาว นางขยับตัวพุ่งไปอีกทางหนึ่งเพื่อหนี ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นที่ถูกโจมตีได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย ดวงตาของเขาวาววับด้วยความอำมหิต ก่อนพุ่งตัวตามนางไปเพื่อไล่ล่า

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดต่อหน้าต่อตาหวังเป่าเล่อ แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา เพียงแต่ปรายตามองและหันไปสำรวจตำหนักที่ยุบเข้าไปอย่างเงียบๆ เขาตั้งใจไม่เดินไปทางตำหนักนั้นแต่เลี่ยงไปอีกทางหนึ่งแทน

แต่นอกจากหวังเป่าเล่อแล้ว ในที่แห่งนั้นยังมีผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นในอีกคนอยู่ หลังจากคิดอยู่สักพักเขาก็พุ่งไปที่ตำหนักเบื้องหน้า ทันทีที่ไปถึง รังสีพลังอีกชุดก็ระเบิดออกจากตำหนักนั้น

เสียงระเบิดกึกก้องดังตามมา เศษซากหินปูนปลิวว่อนไปทั่วบริเวณ ร่างหนึ่งพุ่งออกจากตำหนักพร้อมด้วยรังสีที่รุนแรงน้อยกว่าคนแรก โดยมีพลังอยู่ที่ระดับกำเนิดแก่นใน เจ้าของรังสีนั้นกระโจนเข้าใส่ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นเช่นกัน!

เขามีอายุเพียงยี่สิบกว่าปีเท่านั้น การที่พัฒนาปราณได้จนถึงระดับกำเนิดแก่นในด้วยอายุเพียงเท่านี้ถือว่าเก่งกาจหาตัวจับยากเป็นอย่างยิ่ง แม้ชายผู้นี้จะดูบาดเจ็บอย่างชัดเจน แต่ก็ยังต่อสู้ด้วยความโหดเหี้ยมเด็ดขาด แต่ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นก็แข็งแกร่งไม่แพ้กัน หากต่อสู้กันต่อไปคงยากที่จะคาดเดาผลแพ้ชนะ

ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นหันมาตะโกนใส่หวังเป่าเล่อเพื่อขอความช่วยเหลือ ชายหนุ่มคู่ต่อสู้ก็เห็นเหตุการณ์นั้นด้วยเช่นกัน ประกายวาบเข้ามาในดวงตา เขากำลังจะหันไปที่ตำหนักเบื้องหลังเพื่อมองดู แต่ก็ชะงักกลางคัน

เนื่องจากเขาไม่จำเป็นต้องมองหาอีกต่อไป หวังเป่าเล่อเห็นแล้วว่าสิ่งใดที่ชายหนุ่มพยายามปกป้อง เด็กน้อยกำลังนั่งยองๆ อยู่ใต้ซากปรักหักพัง นางกอดเข่าของตนเองเอาไว้ ตัวสั่นงันงก

เสื้อผ้าของเด็กน้อยขาดวิ่นเต็มไปด้วยฝุ่นสกปรกเหมือนยาจกเข็ญใจ นางมองชายหนุ่มที่กำลังต่อสู้เบื้องหน้าด้วยน้ำตาอาบสองแก้ม เมื่อหันมาเห็นหวังเป่าเล่อ เด็กน้อยก็ตัวสั่นด้วยความหวาดหลัว

หวังเป่าเล่อสังเกตการณ์อยู่เงียบๆ ก่อนจะหันไปสำรวจบริเวณโดยรอบ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นคนอื่นอยู่ เขาก็เดินไปข้างหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ชายหนุ่มเพิ่มความเร็วขึ้น ภายในพริบตาก็ไปถึงตัวผู้ฝึกตนสองคนที่กำลังขับเคี่ยวกันอยู่

ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นกระปรี้กระเปร่าขึ้นทันทีที่กำลังเสริมมาถึง ส่วนชายหนุ่มจากสำนักวังเต๋าไพศาลตะโกนก้องด้วยความสิ้นหวัง ขณะที่เขากำลังจะระเบิดตัวเองเพื่อทำลายคู่ต่อสู้นั้น หวังเป่าเล่อก็เพิ่มความเร็วขึ้นอีกครั้ง ร่างของเขากลายเป็นเพียงภาพติดตาที่พุ่งผ่านผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นไป!

เร็วจนไม่มีเวลาได้ตั้งท่ารับมือ ศีรษะทั้งสามของผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นหลุดออกจากบ่า เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ ร่างไร้ศีรษะนั้นตกลงบนพื้นอย่างอ่อนปวกเปียก

ภาพนี้ทำให้ชายหนุ่มตกใจเป็นอันมาก เขารีบถอยหนีไปทันที มองหวังเป่าเล่อเขม็งด้วยความงุนงงและระวังตัว

หวังเป่าเล่อไม่ได้หันกลับไปมองชายหนุ่มและเด็กน้อย แต่หันหลังกลับเพื่อจากไปทันที ในตอนนั้นเองที่แม่นางน้อยซึ่งคงความเงียบเอาไว้ตั้งแต่เขาพูดภาษาตระกูลไม่รู้สิ้น ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ หวังเป่าเล่อไม่แน่ใจว่านางทำได้อย่างไร แต่นางส่งแสงจากประกายจรัสดาวให้หลั่งไหลเข้าห้อมล้อมทั้งสองเอาไว้ ทั้งชายหนุ่มที่กำลังมีสีหน้างุนงงแกมระวังตัวและเด็กหญิงตัวน้อย ร่างของพวกเขากลายสภาพไปเป็นสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นต่อหน้าต่อตาหวังเป่าเล่อ!

“ช่วยข้าบอกพวกเขาที ว่าภาพมายานี้จะคงอยู่เพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ให้พวกเขา… รีบหนีไปจากที่นี่เสีย”

หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วเล็กน้อย การกระทำของแม่นางน้อยดูไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย หากตัวตนที่แท้จริงของทั้งสองถูกเปิดโปงโดยตระกูลไม่รู้สิ้น ตัวเขาเองนั่นแลที่จะต้องไปพัวพันกับเรื่องอันตรายร้ายแรงนี้

แม่นางน้อยเองก็รู้ว่าตนเองตัดสินใจบุ่มบ่ามไร้ความรอบคอบเพียงใด ชั่วอึดใจหนึ่ง นางก็ก้มศีรษะลงและพูดสิ่งที่นางไม่เคยพูดมาก่อนเป็นครั้งแรก

“ข้าขอโทษ”

หวังเป่าเล่อถอนหายใจ เขาหันไปมองศิษย์หนุ่มจากสำนักวังเต๋าไพศาลที่เริ่มหายตกใจอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มพอใจกับการปรับตัวของชายตรงหน้า เขารีบพูดด้วยเสียงเบาในภาษาของสำนักวังเต๋าไพศาล

“ภาพมายานี้จะคงอยู่เพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น รีบหนีไปเสีย!”

ชายตรงหน้าเขาตัวสั่นเมื่อได้ยิน เขามองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาที่ยากเกินเข้าใจ ก่อนจะกอดเด็กหญิงตัวน้อยที่ตัวสั่นเทาเอาไว้ ทั้งสองกำลังจะจากไป ในตอนนั้นเองที่เด็กหญิงที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนตระกูลไม่รู้สิ้น หันกลับมาหาหวังเป่าเล่อ ก่อนถามขึ้นมาโดนพลัน “ศิษย์พี่ ท่านมีนามว่าอะไรหรือ”

หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วเล็กน้อย เขามองเด็กน้อยที่บัดนี้มีสามศีรษะหกมือ ดวงตากระจ่างสว่างไสว ก่อนจะคิดถึงอนาคตของสหพันธรัฐและพูดตอบด้วยเสียงแผ่ว

“เป่าเล่อ!”

เมื่อตอบคำถามเสร็จ ชายหนุ่มก็หันหน้าจากไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่หันกลับมามอง