ตอนที่ 630 เห็นเหล่าผู้กล้าราวสิ่งไร้ค่า โดย ProjectZyphon
เห็นชิงอวิ๋นหยางท่าทางอึดอัดและคับแค้น ในโถงนั้นพลันมีเสียงหัวเราะดังขึ้นอีก
“ดูสิ เพียงประโยคเดียวของเว่ยซาง ก็ขู่จนบุตรเทพเผ่าตะพาบเขียวของพวกเราไม่กล้าไปซะแล้ว”
“โธ่ คนรุ่นเยาว์เผ่าตะพาบเขียวนับวันยิ่งย่ำแย่ลงแล้ว”
“นี่ก็มีเหตุผล พันปีก่อนผู้อาวุโสชิงเลี่ยเผ่าตะพาบเขียวหายตัวไปกะทันหัน สาบสูญไร้ร่องรอย ไม่มีราชันระดับสังสารวัฏเช่นนั้นสักคนปกครองแล้ว อิทธิพลเผ่าตะพาบเขียวก็เสมือนสายน้ำไหลสู่ที่ต่ำ แม้ว่าทุกวันนี้ผู้อาวุโสชิงเลี่ยจะหวนกลับมา แต่เผ่าตะพาบเขียวคิดอยากฟื้นคืนพลานุภาพดังก่อน ภายในเวลาอันสั้นคงไม่อาจทำได้”
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดชิงอวิ๋นหยางก็เหลือทนเกินไปแล้ว ในฐานะบุคคลระดับบุตรเทพ เผชิญความอัปยศอดสูและข่มขู่ กลับทำได้แค่กล้ำกลืนความเจ็บช้ำไม่กล้าขัดขืน ช่าง… อับอายขายขี้หน้าเกินไปแล้ว”
ในโถงใหญ่เสียงนานัปการดังก้องขึ้น มีทั้งเหน็บแนม ทั้งถอนหายใจ ทำเอาสีหน้าชิงอวิ๋นหยางบิดเบี้ยวและอึมครึมยิ่งกว่าเดิม
เขากำสองหมัดแน่น ขบฟันแน่นกรอด ท่าทางอึดอัดและอดทนอย่างเอาเป็นเอาตายนั้น กลับไม่ได้รับความเห็นใจใดๆ
ในทางกลับกัน ยิ่งเขาเป็นอย่างนั้นยิ่งทำให้คำยั่วยุและวิจารณ์โจมตีพวกนั้นกำเริบเสิบสานกว่าเดิม
หลินสวินมองดูจนคิ้วขมวดพักหนึ่ง เจ้าหมอนี่ช่างอดทนอดกลั้นจริงๆ
“ไปเถอะ” ท้ายที่สุดหลินสวินไม่อาจทนดูต่อไป ถอนหายใจมองไปยังชิงอวิ๋นหยาง
คนรุ่นเยาว์ผู้โดดเด่นแต่ละเผ่าในโถงใหญ่ต่างชะงักงัน เจ้าหมอนี่เป็นใคร จู่ๆ ถึงกล้าเข้ามายุ่งในเวลาเช่นนี้
สายตามากมายล้วนมองไปยังหลินสวิน แฝงความเคลือบแคลงสงสัย
พวกเขาไม่รู้จักหลินสวิน และไม่ใส่ใจสักนิด แค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มาพร้อมชิงอวิ๋นหยางเท่านั้น ไหนเลยจะเป็นพวกร้ายกาจอะไรได้
“เจ้าเด็กนี่เป็นใครกัน กล้าเข้ามาจุ้นเรื่องชิงอวิ๋นหยางหรือ ข้าขอเตือนเจ้าให้นั่งลงอย่างว่านอนสอนง่าย หากยังกล้าพูดมากอีก ข้าจะฆ่าเจ้าก่อนเป็นคนแรก!”
เว่ยซางนัยน์ตาเย็นเยียบ กวาดมองหลินสวินราวมีดดาบ
เขามีโทสะอยู่บ้าง กับแค่เด็กหนุ่มข้างกายชิงอวิ๋นหยางคนหนึ่ง กลับกล้ากระโดดออกมาเวลานี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ากำลังยั่วยุความน่าเกรงขามของเขาอยู่
ชิงอวิ๋นหยางหน้าพลันเปลี่ยนสี รีบร้อนสื่อจิต ‘หลินสวิน เจ้าอย่าเข้ามายุ่งเรื่องของข้า หากทำให้พวกเขารู้ฐานะของเจ้า วันนี้พวกเราคงออกไปไม่ได้จริงๆ!’
หลินสวินกล่าวราบ้รียบ ‘คิดจะรู้ฐานะข้า ก็ต้องลองถามพวกเขาก่อนว่ามีความสามารถเช่นนั้นหรือไม่’
พูดถึงตรงนี้เขาถอนหายใจอีกครั้งก่อนกล่าวเตือน ‘จำไว้ เมื่ออดทนอดกลั้น มีแต่จะทำให้ศัตรูได้คืบเอาศอก ยิ่งไปกว่านั้น จิตใจเช่นนี้ของเจ้าหากไม่เปลี่ยนแปลง ชั่วชีวิตนี้อย่าหวังจะก้าวสู่กลุ่มผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง!’
‘หากเจ้าเห็นด้วยก็ไปกับข้าซะตอนนี้ มิฉะนั้นเจ้าก็อยู่ที่นี่กล้ำกลืนความเจ็บช้ำน้ำใจ ถูกพวกเขาหัวเราะเยาะและหยามหน้าเถอะ!’
พูดจบหลินสวินไม่มองชิงอวิ๋นหยางอีก สองมือไพล่หลัง หันเดินกลับไปนอกโถงใหญ่
ตั้งแต่ต้นจนจบเขาถึงขั้นไม่แลมองใครในโถงใหญ่นี่สักคน ท่าทางหยิ่งยโสไม่เห็นใครในสายตาเช่นนั้น ทำเอาผู้แข็งแกร่งมากมายล้วนสีหน้าอึมครึม
‘ข้า…’
ชิงอวิ๋นหยางสีหน้าปรวนแปรไม่หยุด ในใจดิ้นรนอย่างรุนแรง
แต่ยังไม่รอให้เขาตัดสินใจ เว่ยซางนั่นอดรนทนไม่ไหวเสียก่อนแล้ว เขาพูดออกมาชัดเจนขนาดนี้แล้ว แต่เจ้าเด็กนี่กลับไม่ใส่ใจคำข่มขู่ของเขาสักนิด ท่าทางราวมองเขาเป็นสิ่งไร้ค่า
นี่ทำให้เว่ยซางถูกยั่วโทสะทันใด
“ไอ้หนู นี่เจ้ารนหาที่ตายใช่ไหม!”
เขาส่งเสียงเย็นชา ขณะพูดเงาร่างวูบไหว ยกฝ่ามือหนึ่งทะยานฟันใส่หลินสวิน พละกำลังยิ่งใหญ่ พลังฝ่ามือแรงกล้า ส่งเสียงกัมปนาทประหนึ่งอสนีบาตออกมา
ตูม!
ฝ่ามือนี้เด็ดขาดป่าเถื่อนและอำมหิตยิ่งยวด ไม่เกรงใจแม้แต่น้อย หมายมุ่งปลิดชีพหลินสวิน สังหารคนรักษาอำนาจ
ในโถงพลันตื่นเต้นดีใจทันที หนุ่มสาวรุ่นเยาว์แต่ละเผ่าต่างเผยสีหน้าสนุกสนานออกมา
สำหรับพวกเขา หลินสวินเป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ติดตามชิงอวิ๋นหยาง ตำแหน่งและฐานะต้องไม่มีค่าพอให้พูดถึงแน่
แต่เด็กหนุ่มคนหนึ่งเช่นนี้ดันมีความกล้าและทะนงตัวกว่าชิงอวิ๋นหยางเสียอีก ท่าทางไม่รู้ดีชั่ว ยังเลือกที่จะจากไป
นี่เห็นชัดว่ากำลังยั่วยุเว่ยซาง!
และตอนนี้เว่ยซางอดกลั้นไม่ไหวดังคาด ชิงลงมือก่อน คราวนี้ก็มีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว
“เจ้ากล้า!”
ชิงอวิ๋นหยางส่งเสียงคำราม ในที่สุดก็ไม่อดกลั้นอีก พริบตาที่เว่ยซางลงมือนั้น เขาพุ่งตัวมาอยู่หน้าหลินสวิน โจมตีอย่างเกรี้ยวกราด!
ตูม!
ทั่วร่างเขามีแสงศักดิ์สิทธิ์พลุ่งพล่าน ขวางอยู่ตรงหน้าหลินสวิน ฝืนปะทะเว่ยซางกระบวนหนึ่ง เสียงปะทะสั่นสะเทือนโสตประสาทแผ่กระจายตามมา
ตึงๆๆ!
ชิงอวิ๋นหยางถูกสะเทือนจนถอยหลัง สีหน้าเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวขาว เลือดลมม้วนตลบ
ณ ที่นั้นพลันหัวเราะเกรียวกราว สีหน้าคนหมู่มากสัพยอกยิ่งกว่าเดิม เจ้าชิงอวิ๋นหยางนี่ถึงกับกล้าลงมือ! นี่ทำให้พวกเขาต่างรู้สึกแปลกใหม่ยิ่ง
“เหอะๆ เจ้ากล้าลงมือกับข้าจริงๆ งั้นรึ” เว่ยซางแสร้งยิ้ม นัยน์ตากลับเยียบเย็นถึงขีดสุด ไอสังหารพลุ่งพล่าน
เขาเองคาดไม่ถึง ในเวลาเช่นนี้ชิงอวิ๋นหยางซึ่งประหนึ่งที่ระบายอารมณ์ ถึงขั้นกล้ายืนออกมาขัดขวางตน
“นี่คือสหายที่ข้าพามา ตัวข้าเป็นที่รองรับอารมณ์ก็ไม่เป็นไร แต่หากพวกเจ้าคิดจัดการเขา ต้องผ่านด่านข้าไปก่อน!”
ชิงอวิ๋นหยางตะเบ็งเสียงลั่น เส้นเลือดดำตรงลำคอปรากฏเด่นชัด สีหน้าเหี้ยมโหดอยู่บ้าง ท่าทีกลับสะบั้นเยื่อใยสิ้นเชิง ชัดเจนว่าทุ่มสุดตัวแล้ว
ได้ยินคำพูดรุนแรงเช่นนี้ ไม่เพียงไม่ทำให้ทุกคนสำรวมขึ้น กลับยังหัวเราะร่าขึ้นมา ปรามาสและไม่ใส่ใจอย่างยิ่ง
แต่หลินสวินเห็นดังนั้นก็ยิ้มออก นัยน์ตาฉายแววชื่นชมวูบหนึ่ง ชิงอวิ๋นหยางทำเช่นนี้จึงจะถูก แต่…
ยังห่างไกลจากคำว่าพอ!
“ในฐานะผู้แข็งแกร่งคนหนึ่ง ไม่เพียงต้องเรียนรู้ที่จะต่อต้าน ยิ่งต้องรู้จักจู่โจมกลับ ถึงแม้ศักยภาพไม่สู้ฝ่ายตรงข้าม ก็ต้องทำให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าเจ้าไม่ใช่คนที่จะรังแกได้ง่าย!”
หลินสวินพลันหันหลังกลับ นัยน์ตาเฉยเมยเย็นชา ประดุจหุบเหวลึกชวนให้รู้สึกใจสั่นระรัว มองไปยังเว่ยซาง น้ำเสียงไร้อารมณ์และราบเรียบ พูดให้ชิงอวิ๋นหยางฟัง
แต่พร้อมกันนั้น คำพูดครู่นี้ก็ถูกทุกคนในโถงใหญ่ได้ยินเช่นกัน พวกเขาต่างมีสีหน้างงงัน แทบไม่กล้าเชื่อหูตนเอง
เด็กหนุ่มนี่บ้าไปแล้วกระมัง
เมื่อครู่หากไม่ใช่ชิงอวิ๋นหยางช่วยเขาสกัดการจู่โจมของเว่ยซาง เกรงว่าเขาคงตายไปนานแล้ว ไหนเลยจะยังมีโอกาสมาวิพากษ์วิจารณ์
โดยเฉพาะเว่ยซางยิ่งโกรธจัด ถูกเด็กหนุ่มนี่ยั่วยุซ้ำแล้วซ้ำเล่า หรือเห็นว่าเขาเว่ยซางไม่กล้าฆ่าคนจริงๆ รึไง
“ไอ้หนู วันนี้เจ้าอย่าคิดจากไปอย่างมีลมหายใจเลย!” เว่ยซางสีหน้าเคร่งขรึม ชี้หลินสวินด้วยท่าทีเย่อหยิ่งและเลือดเย็น
หลินสวินหาได้ใส่ใจเขา ยังคงพูดกับชิงอวิ๋นหยาง “การต่อสู้มหามรรค ผู้กล้าย่อมมาก่อน หากไร้ซึ่งสภาพจิตใจเช่นนี้ ต่อให้วันนี้เจ้าโชคดีมีชีวิตรอดไปได้ แต่หลังจากนั้นล่ะ ทุกครั้งล้วนอดทนอดกลั้นและยอมถอย ไม่ช้าก็เร็วต้องมีสักวันหนึ่งที่ถูกกำจัดออกจากหนทางแห่งมหามรรคอย่างไร้ปรานี!”
ชิงอวิ๋นหยางยืนอยู่ตรงนั้น หน้าอกกระเพื่อมไหวฮวบฮาบ เงียบงันไม่กล่าววาจา
“เร็วเข้า รีบฆ่าเจ้านี่ซะ ข้าไม่อยากฟังมันเอะอะเอ็ดตะโรแล้ว!” มีคนตะโกน
“ให้ตาย สั่งสอนชิงอวิ๋นหยางต่อหน้าพวกเรา แสร้งวางมาดอะไร เว่ยซาง หากเจ้าไม่ลงมืออีก ข้าจะลงมือแล้วนะ!”
ผู้แข็งแกร่งมากมายในโถงใหญ่โหวกเหวกขึ้นมา
สีหน้าเว่ยซางอึมครึมหาใดเปรียบ กล่าวอย่างเย็นชา “ทุกท่านวางใจ ข้านี่แหละจะฆ่ามันทิ้งซะ เอาเลือดสดๆ ของมันใส่เหล้า ดื่มด่ำกับทุกท่าน!”
ตูม!
ยังไม่ทันสิ้นเสียง เขาบุกโจมตีอย่างเหี้ยมหาญ พลังฝ่ามือราวอสนีบาต หอบหมอกแสงซ้อนสลับนับหมื่น พลังท่วงทำนองแห่งมรรคหนาแน่นห้อทะยาน
ไม่อาจไม่พูดถึง ความสามารถที่แท้จริงของเว่ยซางไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง ทั้งเห็นชัดว่ามากด้วยประสบการณ์การต่อสู้
การจู่โจมนี้ของเขารวดเร็วดั่งอสนีบาต เหี้ยมโหดไม่ธรรมดา คนปกติทั่วไปไม่อาจแสดงพลานุภาพเช่นนี้ได้อย่างสิ้นเชิง
นี่ทำเอาผู้แข็งแกร่งมากมายในโถงใหญ่ดวงตาแวววาว ตระหนักรู้ว่าเว่ยซางหมายใช้อำนาจแห่งสายฟ้ามหาศาลพิฆาตหลินสวิน
ชิงอวิ๋นหยางเห็นดังนั้น ขณะกำลังจะเคลื่อนไหว กลับเห็นว่าคราวนี้หลินสวินชิงขวางหน้าเขา ก้าวย่างออกมา ฝ่ามือผลักออกไปตามใจ เบาสบายราบเรียบ
มุมปากเว่ยซางยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มอำมหิตวูบหนึ่ง เจ้าหมอนี่ถึงขั้นกล้าฝืนปะทะกับเขา ดูท่าคงอยากรนหาที่ตายจนทนไม่ไหว…
แต่แค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น รัศมีโค้งตรงมุมปากเขาพลันชะงักค้าง นัยน์ตาบีบหดรัดตัว ในใจพลันรู้สึกถึงอันตรายที่ยากจะเอ่ย ทำเอาเขาหนาวสั่นไปทั้งตัวราวตกสู่ถ้ำน้ำแข็ง
นี่มัน…
เว่ยซางยังไม่ทันได้เข้าใจก็พลันรู้สึกเจ็บปวดที่แขนขวา เกิดเสียงเปรี๊ยะๆ ปริแตก เลือดเนื้อและกระดูกแตกระเบิดปลิวว่อนชั่วพริบตา!
“อ๊าก…”
เสียงร้องทุรนทุรายหลุดออกจากปากเขา เขาคิดถอยหลบตามจิตใต้สำนึก กลับเห็นมือขาวเรียวยาวข้างหนึ่งตบลงบนบ่าเขา
ปึง!
เสมือนภูเขาเทพเหนือฟากฟ้ากดอัดลงบนร่าง เว่ยซางไม่ทันได้ดิ้นรนก็ถูกกำราบคุกเข่าลงกับพื้น กระดูกเข่าแหลกละเอียด ทั่วร่างกระตุก ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดสาหัส เสียงร้องโหยหวนอเนจอนาถเหลือแสน
ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว!
ฝ่ามือเดียวก็ตัดทึ้งแขนขวาออกไป กำราบให้คุกเข่าลงบนพื้นไร้แรงดิ้นรน!
ทุกคนในโถงใหญ่ต่างตื่นตระหนก ทั่วร่างแข็งทื่อ สีหน้าที่เดิมตื่นเต้นฮึกเหิมและสัพยอกล้วนแข็งทื่อ ตกตะลึงอ้าปากค้าง
ผลลัพธ์นี้ทำเอาสมองพวกเขาต่างหมุนกลับมาไม่ทันอยู่บ้าง
ฝ่ามือเดียวเนี่ยนะ!
เว่ยซางถึงกับคุกเข่าลงไปแล้ว?
ใครจะกล้าเชื่อ!?
พลังที่แท้จริงของเว่ยซางแม้ไม่ใช่ระดับสูงสุดในหมู่หนุ่มสาวรุ่นเยาว์แต่ละเผ่าในโถงใหญ่แห่งนี้ แต่อย่างน้อยก็จัดอยู่ในสิบอันดับแรก
ใครเล่าจะคาดคิด ไม่นึกเลยว่าเขาจะปราชัยในมือเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ทั้งยังพ่ายแพ้ในคราเดียว
แม้แต่ลั่วหยาบุตรเทพเผ่าหงส์ทมิฬซึ่งนั่งตรงที่นั่งประธาน ยังอดใจสั่นระรัวพรั่นพรึงไม่ได้ ตระหนักว่าพวกเขาล้วนดูผิดไปแล้ว เด็กหนุ่มที่ติดตามข้างกายชิงอวิ๋นหยางนั่นไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป แต่เป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง!
แม้แต่ชิงอวิ๋นหยางซึ่งรู้ฐานะหลินสวิน เวลานี้ยังอึ้งงัน เขาจินตนาการได้ว่าเด็กหนุ่มเทพมารอย่างหลินสวินคนนี้แข็งแกร่งยิ่ง แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะแข็งแกร่งเหนือธรรมดาเช่นนี้
การโจมตีเดียวเท่านั้น! เว่ยซางถึงกับคุกเข่า!
หากแพร่งพรายออกไป ในหมู่คนรุ่นเยาว์แต่ละเผ่าแห่งน่านสมุทรทะเลใต้ต้องปั่นป่วนโกลาหลเป็นแน่
เปรี้ยง!
หลินสวินเวลานี้ยังคงนิ่งสงบดังเดิม ดูคล้ายรังเกียจว่าเสียงร้องทุรนทุรายของเว่ยซางเสียดหูเกินไป จึงดีดนิ้วผ่านอากาศ ทำให้อีกฝ่ายสลบไป
หลังจากนั้นเขาถึงกล่าวกับชิงอวิ๋นหยาง “ตอนนี้เจ้าคงเห็นแล้วว่า เจ้าหมอนี่ก็ไม่เท่าไร”
ท่าทางสงบนิ่งราบเรียบนั่น ทำให้ผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าในโถงใหญ่ต่างโกรธเกรี้ยวและประหลาดใจ เด็กหนุ่มนี่เป็นใครกันแน่ เหตุใดไม่เคยเห็นเขามาก่อน
เห็นจะมีเพียงชิงอวิ๋นหยางที่ความรู้สึกซับซ้อน หากเขามีพลังเฉกเช่นหลินสวิน แน่นอนว่าจะไม่อดกลั้นและหวาดกลัว
“ปัญหาของเจ้าไม่ได้อยู่ที่ความแข็งแกร่งหรืออ่อนแอของพลัง แต่เป็นปัญหาของจิตใจ” หลินสวินมองชิงอวิ๋นหยางวูบหนึ่ง ดูเหมือนอ่านความคิดเขาออก
“ข้าเข้าใจแล้ว” ชิงอวิ๋นหยางพยักหน้า
ตั้งแต่ต้นจนจบ หลินสวินทำการชี้แนะบางอย่างแก่ชิงอวิ๋นหยางโดยตลอด มองหมู่คนในโถงใหญ่ราวสิ่งไร้ค่า ไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย
ถึงขั้นแม้แต่เว่ยซางที่ศิโรราบคุกเข่าอยู่กับพื้น ในสายตาเขาก็เหมือนแค่ตัวอย่างหนึ่งซึ่งถูกนำมาพิสูจน์ให้ชิงอวิ๋นหยางเห็น
ท่าทีทำอะไรตามใจไม่ใส่ใจผู้อื่น หยิ่งยโสไม่เห็นใครในสายตาเช่นนี้ ทำเอาทุกคนรวมทั้งลั่วหยาต่างเกิดความรู้สึกถูกมองข้ามและหยามหน้า
………………..