ตอนที่ 631 บุคลิกแห่งผู้แข็งแกร่ง โดย ProjectZyphon
“บังอาจ! เจ้าเป็นใคร ถึงได้กล้าทำตัวชั่วช้าที่นี่ เห็นพวกข้าไร้ตัวตน ช่างไม่มีขื่อมีแปแล้วจริงๆ!?”
บางคนทนไม่ไหว ลุกพรวดขึ้นอย่างหุนหัน ด่าทอหลินสวิน
คนอื่นๆ ล้วนมีสีหน้าไม่เป็นมิตร แววตาทอประกายวาม
หลินสวินดูเหมือนไม่รู้ตัว สายตามองไปที่ชิงอวิ๋นหยาง กล่าวว่า “ถ้าเจ้าเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริงคนหนึ่ง จะสนใจเสียงแหกปากของแมลงวันตัวเดียวหรือไม่”
ชิงอวิ๋นหยางมุมปากกระตุก เขาอยากพูดเป็นอย่างยิ่งว่าเจ้าหมอนั่นหาใช่แมลงวัน และมีนามว่าไล่อวิ๋นเซิน แม้ความแข็งแกร่งจะไม่เข้าขั้นน่ากลัว ทว่าเผ่าวิหคเพลิงคะนองที่อยู่เบื้องหลังเขากลับเป็นเจ้าเหนือหัวฝ่ายหนึ่งในหมู่ชนเผ่าแห่งน่านสมุทรทะเลใต้ ผู้ใดล้วนไม่กล้ายั่วโทสะเอาง่ายๆ
ทว่ายามเผชิญหน้ากับสายตาลึกล้ำเยือกเย็นคู่นั้นของหลินสวิน ท้ายที่สุดชิงอวิ๋นหยางก็ยังกัดฟัน ไม่ได้พูดสิ่งเหล่านี้ออกมา ซ้ำยังพูดอย่างไม่อ้อมค้อม “ไม่สนใจ!”
หลินสวินพยักหน้า “นี่สิถูกต้อง”
ส่วนไล่อวิ๋นเซินที่ถูกหลินสวินมองว่าเป็น ‘แมลงวัน’ แหกปากนั้นโกรธจนหน้าเป็นสีแดงก่ำ ปอดแทบระเบิดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เขาคือบุคคลสูงศักดิ์ของเผ่าวิหคเพลิงคะนอง มีหรือจะเคยถูกคนหยาบหยามเยี่ยงนี้
ไม่มี!
ทว่าตอนนี้ ภายใต้สายตาจับจ้องของผู้ชน เด็กหนุ่มคนหนึ่งกลับไม่เกรงใจสักนิด เห็นเขาเป็นสิ่งต่ำต้อยและอัปลักษณ์เฉกเช่นแมลงวัน แล้วเช่นนี้จะให้ไล่อวิ๋นเซินอดกลั้นไหวได้อย่างไร
“เหอะๆ คิดว่าสยบเว่ยซางแล้ว จะดูหมิ่นดูแคลนทุกสิ่ง ทำเกะกะระรานได้จริงๆ หรือ”
เสียงของไล่อวิ๋นเซินเย็นเยียบหาใดเปรียบ “ข้าไม่สนว่าเจ้าเป็นใคร วันนี้หากเจ้าไม่คุกเข่าขอโทษข้า ไม่เพียงแต่เจ้า ญาติสนิทมิตรสหายที่เกี่ยวข้องกับเจ้าจะต้องชดใช้ด้วยความตายทั้งหมด!”
น้ำเสียงแข็งกร้าวไร้ความปรานี
ผู้คนในโถงใหญ่ต่างผุดรอยยิ้มโหดร้ายออกมาเสี้ยวหนึ่ง ในความคิดของพวกเขา ไล่อวิ๋นเซินมีคุณสมบัติจะกล่าวเช่นนี้! เพราะเขาเป็นทายาทแห่งเผ่าวิหคเพลิงคะนอง!
ลำพังแค่ฐานะนี้ก็เพียงพอจะทำให้ผู้คนเคารพยำเกรงได้แล้ว!
เจ้าเด็กนี่จบเห่แล้ว!
นี่คือความคิดของทุกคน
“สหายท่านนี้ บางทีเจ้าอาจจะแข็งแกร่งยิ่ง มีต้นทุนที่จะภาคภูมิใจ แต่อยู่ต่อหน้าพวกข้า กลับไม่พ้นเป็นเพียงคนโง่เขลาที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำคนหนึ่งเท่านั้น ตอนนี้เจ้าคุกเข่าขอโทษแต่โดยดี บางทียังพอจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้”
เด็กสาวแรกแย้มนางหนึ่งเอ่ยปาก น้ำเสียงฉายความหยิ่งทระนง
“ไม่ คุกเข่าขอโทษอย่างเดียวยังไม่พอ เขาทำร้ายเว่ยซาง ซ้ำยังเมินพวกเรา จะต้องมอบบทลงโทษที่สลักลึกในความทรงจำจึงจะระบายความเกลียดชังในใจของพวกข้าได้”
“เฮอะ ก็ไม่รู้เด็กบ้านป่าจากที่ไหนโผล่มา พลังแกร่งกล้าแล้วอย่างไร คิดจริงๆ หรือว่ามีพลังนิดหน่อยก็จะทำตัวไม่สนขื่อสนแปได้”
คนอื่นๆ ก็พากันแค่นหัวเราะ
ภาพที่หลินสวินเอาชนะเว่ยซางได้อาจทำให้พวกเขาประหวั่นและประหลาดใจ ทว่าในมุมมองของพวกเขา ต่อให้หลินสวินเก่งกาจมากเพียงใด ท้ายที่สุดก็เป็นแค่เด็กหนุ่มที่ไม่ได้มีเส้นสายอะไรคนหนึ่งเท่านั้น
จากการที่เขากลายเป็นเพื่อนกับคนอย่างชิงอวิ๋นหยางได้ สิ่งนี้ก็เพียงพอจะมองออกถึงข้อบ่งชี้บางประการ เพราะถึงอย่างไรคนที่มีอำนาจอิทธิพลอย่างแท้จริงใครเล่าจะผูกมิตรกับชิงอวิ๋นหยาง
จากการตัดสินเช่นนี้ พวกเขาถึงได้ไม่กังวลใจ เต็มด้วยความรู้สึกเหนือกว่า
ทว่าการตอบสนองของหลินสวินอยู่นอกเหนือความคาดหมายของพวกเขาอีกครั้ง
เขายังคงเยือกเย็นมากเช่นเดิม มองไปทางชิงอวิ๋นหยางแล้วกล่าว “ตอนนี้เจ้ารู้สึกอะไรอยู่”
สีหน้าชิงอวิ๋นหยางฉายแววซับซ้อนยากอธิบาย เขาดูคล้ายจะมองทะลุได้โดยสิ้นเชิง และกระจ่างแจ้งแล้ว สูดหายใจลึกๆ หนึ่งเฮือก กล่าวว่า “ข้าพบว่าเมื่อก่อนตัวเองน่าขันยิ่งนัก ถึงขั้นเกลือกกลั้วอยู่กับคนพวกนี้ได้ ข้านี่มันตาบอดชัดๆ”
ทุกคนล้วนมีสีหน้าอึมครึม ถ้อยคำนี้ไม่มีปกปิดแม้แต่น้อย ตรงไปตรงมา เท่ากับด่าพวกเขาตรงๆ ว่าไร้สามารถ!
“ชิงอวิ๋นหยาง เจ้ารู้ชัดถึงผลลัพธ์ของประโยคที่พูดออกมาหรือไม่!”
ไล่อวิ๋นเซินเดือดดาล กลิ่นอายคุกคามเต็มเปี่ยม
คนอื่นๆ ต่างก็มีท่าทีเย็นชา คิดจะฉีกหน้าพวกเขาหรือ แต่เจ้าชิงอวิ๋นหยางมีคุณสมบัติหรือไม่ รนหาที่ตายเองชัดๆ!
“แค่กลุ่มตัวตลกที่ได้แต่พึ่งพาอิทธิพลของเผ่าวางอำนาจบาตรใหญ่กลุ่มหนึ่งเท่านั้น เสียแรงที่เมื่อก่อนข้ายังเห็นพวกเจ้าเป็นคนร่วมวิถี ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว ในสายตาของผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง พวกเจ้ามันก็แค่แมลงวันกลุ่มหนึ่ง ไม่รู้ความสูงลิ่วแห่งท้องนภา ความลุ่มลึกอันยิ่งใหญ่ น่าขันยิ่งนัก!”
ชิงอวิ๋นหยางเริ่มเยือกเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ บนดวงหน้าเปี่ยมด้วยแววมาดมั่น น้ำเสียงราบเรียบแน่วแน่ ดุจว่าเปลี่ยนเป็นอีกคน
เขาถอดคราบแล้ว!
อย่างน้อยในแง่สภาพจิตใจ ก็เกิดการแปรสภาพจากเมื่อก่อนแล้วเสี้ยวหนึ่ง!
หลินสวินตระหนักถึงจุดนี้อย่างฉับไว คำพูดที่ชิงอวิ๋นหยางกล่าวไม่สำคัญ สำคัญที่ทัศนคติเบื้องหลังถ้อยวาจาของเขาต่างหาก
นี่จึงจะเป็นสิ่งสำคัญ
ผู้แข็งแกร่งคนหนึ่ง หากไร้สภาพจิตใจประเภทนี้ ชั่วชีวิตย่อมไม่อาจประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่อะไรได้!
ตัวตลก… แมลงวัน…
ครั้นได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ ทั้งยังเปล่งออกมาจากปากชิงอวิ๋นหยางที่มักจะก้มหัวมือกุมต่ำให้พวกเขาเรื่อยมา ทั่วทั้งโถงต่างปากอ้าตาค้างอยู่บ้าง ยากจะทำใจเชื่อ
ฉับพลันนั้นพวกเขาก็เปลี่ยนจากอับอายกลายเป็นโกรธ เศษสวะพรรค์นี้อย่างชิงอวิ๋นหยาง กล้ามองว่าพวกเขาเป็นตัวตลกกับแมลงวันหรือ
สิ่งนี้ทำให้พวกเขารู้สึกว่าศักดิ์ศรีถูกทิ่มแทงและลบหลู่อย่างไม่เคยมีมาก่อน!
“ชิงอวิ๋นหยาง ข้าจะให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย คุกเข่าลงตอนนี้ กล่าวขอโทษพวกเรา ข้าจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น มิเช่นนั้น…”
เสียงของไล่อวิ๋นเซินคล้ายเค้นลอดไรฟัน ยื่นมือชี้ไปที่หลินสวิน “มิเช่นนั้นเจ้าก็จะเป็นเหมือนกับเขา วันนี้เลิกคิดหนีได้เลย!”
“งั้นหรือ”
หลินสวินเงยหน้า นัยน์ตาลุ่มลึกประดุจเหวลึก มองไล่อวิ๋นเซินอย่างเย็นเยียบ
ชั่วขณะนั้นไล่อวิ๋นเซินพลันแข็งทื่อไปทั้งร่างอย่างน่าประหลาด ภายในใจสั่นเทิ้ม รับรู้ถึงความหนาวสะท้านที่ไม่เคยมีมาก่อน รู้สึกว่าตัวเองเหมือนถูกเทพสังหารที่ยืนตระหง่านอยู่บนเก้าชั้นฟ้าจับจ้องอยู่
นี่…
เพียงแค่แววตาเท่านั้น ไฉนจึงสยดสยองได้ถึงเพียงนี้
ตูม!
ไม่รอให้ทำความเข้าใจ เขารู้สึกแค่ว่าภาพเบื้องหน้าพร่าเลือน หลินสวินได้ปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าแล้ว รวดเร็วจนน่าเหลือเชื่อ ทำให้เขาไม่ทันตั้งตัว
“เจ้าก็คุกเข่าลงด้วยสิ”
น้ำเสียงราบเรียบเยือกเย็นดังขึ้นข้างหู ทว่าเวลานี้กลับเป็นเหมือนคำบัญชาเด็ดขาด ทำเอาจิตวิญญาณของไล่อวิ๋นเซินสั่นสะท้านไปหมด
“ไม่…!”
เขาเพิ่งจะแผดเสียงร้อง ก็รู้สึกว่ามือข้างหนึ่งตบลงมาบนบ่า จากนั้นพลันปวดร้าวไปทั่วร่าง
เสียงโครมดังขึ้นหนึ่งหน ภายใต้การจับจ้องด้วยสายตาตื่นตระหนกของผู้คน หลินสวินทำเพียงตบเบาๆ หนึ่งทีเท่านั้น ไล่อวิ๋นเซินก็ถูกกำราบลงกับพื้นเหมือนเส้นฟาง แผ่นพื้นถูกสะเทือนจนสั่นไหว พื้นผิวเกิดรอยแตกขึ้นจำนวนมาก
ทั่วโถงเงียบกริบ ไร้สุ้มเสียง
นั่นคือไล่อวิ๋นเซินเชียวนะ ทายาทสูงส่งแห่งเผ่าวิหคเพลิงคะนอง ทอดสายตาไปทั่วน่านสมุทรทะเลใต้ เกรงว่าต่อให้ผู้แข็งแกร่งสูงสุดในขุมอำนาจใหญ่มาเยือน ก็ยังไม่กล้าทำเช่นนี้ง่ายๆ!
ทว่าตอนนี้เจ้าเด็กนั่นแทบจะไม่พูดร่ำไรอันใดเลย ไม่สนใจสิ่งเหล่านั้นแม้แต่น้อย ตรงไปกำราบให้ไล่อวิ๋นเซินคุกเข่าลงกับพื้น
นี่ถือเป็นการหยามเกียรติอย่างที่สุด!
หากแพร่งพรายออกไป ชั่วชีวิตนี้ไล่อวิ๋นเซินอย่าได้คิดจะเงยหน้าขึ้นมาเลย!
สิ่งที่ทำให้ผู้คนหนังศีรษะชาที่สุดคือ ความเร็วของหลินสวินนั้นรวดเร็วเหลือแสน ดูคล้ายเบาสบาย แต่กลับน่ากลัวไร้เทียมทาน และเหนือจินตนาการ
ไม่ว่าจะเป็นเว่ยซางเมื่อตอนก่อนหน้า หรือไล่อวิ๋นเซินในยามนี้ แทบจะถูกหลินสวินกำราบเพียงแค่เงื้อฝ่ามือเดียวเท่านั้น แม้แต่ความสามารถที่จะต้านทานยังไม่มี
นี่มันสยองเกินไปแล้ว
ในที่แห่งนี้แม้จะเป็นบุคคลวัยหนุ่มสาวทั้งสิ้น ทว่าก็เป็นผู้ปรีชาสามารถจากบรรดาคนหนุ่มสาวของแต่ละเผ่า อาจจะวางโตอวดศักดาไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้มีผู้อ่อนแอเลยแม้แต่คนเดียว ทั้งยังแกร่งกล้ายิ่งกว่าผู้แข็งแกร่งทั่วไปด้วย
นี่ก็คือรากฐานที่ทำให้เกิดทิฐิและความมั่นใจในตัวเองของพวกเขา
ทว่าพวกเขากลับไม่สามารถจินตนาการได้เลยสักนิด ต้องมีพลังน่าหวาดกลัวระดับไหนกันแน่ จึงสามารถเป็นเหมือนกับเด็กหนุ่มคนนั้น ระหว่างโบกมือก็ปิดครอบจักรวาลเอาไว้!
ท่วงท่าที่ทั้งเอกเทศและโดดเด่นเช่นนั้น มีแค่บุคคลระดับบุตรเทพชั้นยอดเท่านั้นจึงจะครอบครองได้ ทว่าตอนนี้กลับปรากฏบนกายของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง นี่จะไม่ให้พวกเขาสะทกสะท้านอย่างไรไหว
ต่อให้เป็นชิงอวิ๋นหยาง เวลานี้ก็รู้สึกสั่นสะท้านเช่นกัน แต่ต่อมานัยน์ตาเขาก็ปรากฏแววบ้าดีเดือดและมุ่งมาดปรารถนาออกมาเสี้ยวหนึ่ง
ถ้าหาก… ถ้าหากข้าเองก็ครอบครองพลังระดับนี้เหมือนกัน ใครยังจะกล้าเพิกเฉย?
ชั่วขณะนี้เขากระหายหมายจะแข็งแกร่งมากขึ้นอีก!
เขามองเห็นอำนาจแห่งผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริงบนตัวหลินสวิน ตระหนักได้ว่ามีเพียงเจ้าตัวแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น จึงจะได้รับความเคารพยำเกรงจากผู้อื่น จึงจะทำให้ศัตรูกริ่งเกรงและหวาดกลัว!
มิเช่นนั้นถ้าไร้ซึ่งพลังอันเป็นรากฐาน สิ่งที่เรียกว่าความสัมพันธ์และแวดวงทั้งปวง ล้วนเป็นได้แค่บุปผาในคันฉ่องจันทราในวารี[1] วิมานบนอากาศ!
ก็เปรียบได้กับผู้คนในโถงใหญ่แห่งนี้ เมื่อก่อนหยิ่งผยองลำพองตนเพียงใด ทว่ายามนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าเด็กหนุ่มเทพมารอย่างหลินสวินผู้นี้ ยังจะต่างอะไรกับตัวตลกที่น่าขันยิ่งยวดกัน
พลัง!
นัยน์ตาชิงอวิ๋นหยางมุ่งมั่นขึ้นทุกที
“สหายท่านนี้ เจ้าทำเกินไปหน่อยแล้ว!”
ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัด ลั่วหยาซึ่งนั่งอยู่ตำแหน่งประธานเอ่ยปาก นัยน์ตาของเขาลุ่มลึกราวกับแสงวิญญาณ มีประกายวาววับน่าสะพรึงว่ายเวียน
ในสายตาของผู้คน ลั่วหยาเป็นผู้แข็งแกร่งชั้นยอดที่มีพลังเพียงพอจะไต่เต้าสู่สามสิบอันดับแรกของคนหนุ่มสาวในน่านสมุทรทะเลใต้
แต่สำหรับหลินสวินแล้ว ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้
“เจ้าไม่ยอมจำนน?”
น้ำเสียงของหลินสวินราบเรียบ แต่สำหรับทุกคนแล้ว กลับเห็นชัดว่าทรงพลังยิ่ง
“โปรดชี้แนะด้วย!”
ลั่วหยาสูดลมหายใจลึกๆ หนึ่งเฮือก ทั่วสรรพางค์กายปรากฏแสงเรืองรองโชติช่วง อานุภาพแปรเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งถึงขุดขีดทันใด
“เจ้าไม่ไหว ยังมีใครไม่จำนนอีกก็เข้ามาพร้อมกันเถอะ”
นัยน์ตาดำสนิทของหลินสวินลึกล้ำ กวาดมองทั่วโถง ใครก็ตามที่ถูกสายตาของเขากวาดมอง ต่างก็สั่นระริกไปทั้งตัว สีหน้าเหยเกตัวแข็งทื่อ ไม่กล้าสบสายตาเขา
‘นี่ก็คืออานุภาพของผู้แข็งแกร่งกระมัง’
ชิงอวิ๋นหยางพึมพำในใจ สายตาที่มองไปทางหลินสวินเพิ่มแววเลื่อมใสขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง
“เฮอะ!”
ลั่วหยาแค่นเสียงเย็นคราหนึ่ง ไม่อาจฝืนทนได้แล้ว พุ่งโจมตีออกไปอย่างเปิดเผย
ตูม!
เขากลับไม่ได้ถูกเพลิงโทสะสุมหัว รู้ชัดถึงความแข็งแกร่งของหลินสวิน ฉะนั้นทันทีที่เริ่มลงมือก็เรียกทวนกนกที่แสงวิญญาณเจิดจรัสเล่มหนึ่งออกมา ทลายอากาศพุ่งสังหารเข้ามา
เสียงหวีดก้องดังขึ้นในโถงใหญ่แห่งนั้น ห้วงอากาศแปรปรวน เสียงหวีดแหลมบาดหูนั้นราวกับลมมรสุม ทำให้ผู้คนในโถงแห่งนี้หน้าเปลี่ยนสีอย่างอดไม่ได้ เลือดลมพลุ่งพล่าน
ไม่ต้องกังขาเลยแม้แต่น้อย ลั่วหยาโคจรใช้พลังทั้งหมดแล้ว!
เห็นชัดว่าเขามองหลินสวินเป็นศัตรูตัวฉกาจ ไม่มีการออมชอมใดๆ
ทวนเล่มนี้ของลั่วหยาเรียกได้ว่าน่าทึ่งอย่างสิ้นเชิง ในบรรดาระดับเดียวกันเรียกว่ายอดเยี่ยม หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่น เกรงแต่ว่าจะไม่กล้ารับปะทะกับเขาแม้แต่น้อย
แต่การตอบสนองของหลินสวินกลับผิดคาดอีกหน
เขายืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับแม้แต่เศษเสี้ยว เงาร่างสูงโปร่งดุจดั่งภูเขาสูงตระหง่านลูกหนึ่ง เพียงแค่ยื่นมือเรียวยาวขาวกระจ่างออกมาข้างหนึ่ง ก็คว้าทวนกนกที่พุ่งตรงมาสังหารเล่มนั้นไว้ได้อย่างแน่นหนา!
นี่คือทวนที่เพียงพอจะผ่าภูเขาเผาหยินหยางให้เป็นผุยผง พลังน่ากลัวเพียงใด ทว่าพริบตาที่ถูกหลินสวินคว้าหมับเอาไว้ ก็ไม่สามารถเดินหน้าได้แม้แต่คืบเดียวอีก!
ไม่เพียงเท่านี้ ทวนกนกบังเกิดเสียงหวีดร้อง คล้ายกับรับไม่ไหวอย่างไรอย่างนั้น ทำให้ทั้งโถงต่างหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง ตกใจจนวิญญาณแทบหลุดลอย
นี่เป็นถึงการโจมตีสุดกำลังของลั่วหยา กลับถูกกดข่มหมดหนทางง่ายๆ แบบนี้?
ตูม!
หลินสวินขยับข้อมือ ชั่วพริบตาก็ชิงเอาทวนกนกมาไว้ในมือ วาดทวนตามขวาง พลันได้ยินเสียงคำรามสนั่น ลั่วหยาถูกซัดลอยออกไป กระแทกจนผนังที่ห่างออกไปสิบกว่าจั้งเกิดเป็นรู ฝุ่นควันคละคลุ้ง
การโจมตีเดียว!
ยอดฝีมือในสายตาผู้คนอย่างลั่วหยาคนนี้ กระดูกทั่วร่างไม่รู้ว่าแตกสลายไปกี่ชิ้น พ่ายแพ้อย่างน่าอนาถคาที่ เละเทะไม่เหลือสภาพ!
ส่วนหลินสวินยังคงยืนตระหง่านอยู่ที่เดิม ไม่เคยหวั่นไหวสักเสี้ยว ในมือมีทวนกนกเพิ่มขึ้นมา เงาร่างสันโดษ นัยน์ตาดำสนิทลุ่มลึกเย็นชา พลานุภาพสะท้านทั่วโถง!
——
[1] บุปผาในคันฉ่องจันทราในวารี ใช้เปรียบเปรยถึงสิ่งที่จับต้องไม่ได้ เป็นเรื่องเพ้อฝัน