ตอนที่ 478 หิมะโปรยปรายลงมาอีกครา

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 478 หิมะโปรยปรายลงมาอีกครา

เมื่อเขาต้องเสียทองไปถึง 5,000 ตำลึง อีกทั้งยังโดนปล้นไปอีก 300,000 ตำลึง ทำให้บุตรพ่อค้าที่ดินเยี่ยงฟู่เสี่ยวกวนอารมณ์มิดีมากยิ่งนัก

เขายังคงเดินไปเดินมาอยู่ในพระราชวัง กระทั่งเดินมาถึงด้านนอกกรมการค้า

เขามองเข้าไปด้านในแล้วเห็นทุกคนกำลังวุ่นอยู่กับหน้าที่ตน ยอดเยี่ยม ที่นี่มิมีเรื่องอันใดให้เขาต้องจัดการแล้ว

เลิกงาน กลับจวน !

เขาตั้งใจจะกลับไปคัดลอกตำราหลี่เสวียที่ยังคงค้างไว้อยู่ แล้วใช้ช่วงเวลาที่ยังว่างอยู่ตอนนี้ ส่งไปให้ท่านอาจารย์ฉินปิ่งจงเสีย

เขาเดินออกจากพระราชวังไป ซูเจวี๋ยยังคงตกตะลึง คิดมิถึงว่าศิษย์น้องผู้นี้จะอู้งานอีกแล้ว

ทั้งสองคนกลับไปยังจวนฟู่ ฟู่เสี่ยวกวนได้เข้าไปยังห้องนอนแล้วหยอกเย้ากับหยูเวิ่นหวินอยู่สักพัก จึงได้รู้ว่าต่งชูหลานได้พาซูซูเข้าไปในพระราชวัง

“เมื่อวานเจ้าบอกว่าให้ไปเยี่ยมเสด็จป้ามิใช่หรือ ? ชูหลานจึงได้นำของขวัญไป และจะถามเรื่องสลัมนั่นด้วย”

“เสี่ยวโหลวเล่า ? ”

“พาซูโหรวไปยังธนาคารซื่อทง อ่า… เสี่ยวโหลวกล่าวว่าอาคารสองหลังนั้น หลังหนึ่งนามว่าหอหยูฝู อีกหลังหนึ่งนามว่าหอซื่อทง ทั้งสองอาคารนี้มีพ่อค้าจำนวนมากสนใจที่จะมาเปิดร้าน และในวันนี้พวกเขาจะเข้ามาเปิดกิจการวันแรก…เจ้าจะไปดูหน่อยหรือไม่ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดดูแล้วก็ส่ายหน้าขึ้นทันพลัน “ช่างเถอะ ให้เสี่ยวโหลวไปจัดการก็พอแล้ว”

หยูเวิ่นหวินมองค้อนเขาไปหนึ่งที “ขี้เกียจก็จงบอกว่าขี้เกียจ จะหาข้ออ้างเพื่ออันใดกัน ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะออกมา เขามิอาจควบคุมมือของตนเองได้ ทำเอาหยูเวิ่นหวินหายใจหอบเหนื่อยหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ “หมอหลวงกำชับไว้ว่ามิได้ หากว่า… หากว่าลูกเป็นอันใดไปจะทำเยี่ยงไร เจ้าออกไปประเดี๋ยวนี้นะ รอให้ชูหลานและเสี่ยวโหลวกลับมาปรนนิบัติเจ้าเถอะ ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มออกมาอย่างได้ใจ อารมณ์เขาดีขึ้นมามิน้อย หึ ๆ ท่านแม่ยายรังแกข้า ข้าก็จะรังแกลูกสาวท่าน !

แค้นนี้นับว่าได้เก็บดอกคืนมาบ้างแล้ว รออีกสักหน่อย ข้าจะค่อย ๆ เก็บต้นคืนมาจากลูกสาวของท่าน

เขายิ้มกริ่มแล้วเดินออกไป จากนั้นก็หยิบกระดาษพู่กันและน้ำหมึกแล้วนั่งลงที่ศาลาเถาหราน แล้วเริ่มลงมือคัดลอก “ตำราหลี่เสวีย”

จนกระทั่งยามอู่ ตำราหลี่เสวียนั้นก็ได้คัดลอกจนเสร็จแล้ว ต่งชูหลานและเยี่ยนเสี่ยวโหลวก็ได้พากันกลับมาตามลำดับ

ทำให้ศาลาเถาหรานแห่งนี้ครึกครื้นขึ้นมาทันใด

“ข้าได้ถามองค์หญิงใหญ่มาแล้ว องค์หญิงใหญ่กล่าวว่าพื้นที่สลัมนั้นมิใช่อสังหาริมทรัพย์ของราชวัง พื้นที่บ้านเรือนเหล่านั้นมีบางส่วนที่เป็นของพวกที่อาศัยอยู่เอง พวกเขาล้วนเป็นชาวจินหลิง”

“อ่า…” ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ “เรื่องนี้เจ้าปล่อยมันไปก่อนเถิด รอให้บุตรชายทั้งสามของหลี่จินโต้วมาถึงแล้ว ข้าจะให้พวกเขาไปจัดการ”

“เจ้าจะซื้อพื้นที่บริเวณนั้นจริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ต้องดูที่ราคา หากว่าราคาสูงจนเกินไป ก็คงต้องหยุดไว้ก่อน”

“เพื่อทำอันใดกัน ? ”

“พื้นที่ในเมืองจินหลิงนั้นแพงราวกับทอง อีกทั้งบัดนี้พื้นที่สลัมยังมิได้รับการบูรณะใหม่ ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในสลัมได้โยกย้ายไปยังหนานซาน ข้าตั้งใจจะทำให้พวกเขายินยอมตั้งหลักปักฐานอยู่ที่หนานซาน หากว่าตอนนี้สามารถซื้อพื้นที่สลัมมาได้…ราวอีกสองถึงสามปีคาดว่าราคาน่าจะพุ่งสูงขึ้นมากนัก”

ต่งชูหลานเข้าใจได้ในทันที แต่เยี่ยนเสี่ยวโหลวคิดเยี่ยงไรก็มิเข้าใจ ส่วนซูซูครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็เข้าใจได้เช่นกัน นางจ้องไปยังฟู่เสี่ยวกวนแล้วนั่งลงที่ชิงช้า ปากน้อย ๆ ของนางเอ่ยออกมาว่า “เจ้าเล่ห์นัก ! ”

ต่งชูหลานหัวเราะขึ้นมา แล้วมองไปทางฟู่เสี่ยวกวนพร้อมกับเอ่ยถามว่า “เช่นนั้นหมายความว่าการที่เจ้าก่อสร้างหนานซานใหม่ก็เพื่อพื้นที่สลัมนั้นเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ก็มิใช่เสียทีเดียว ข้าเข้าใจในความลำบากของพวกเขาเป็นอย่างดี และนี่คือวิธีที่จะทำให้ทั้งสองฝ่ายได้รับประโยชน์ ต่อไปในภายภาคหน้าหากอุตสาหกรรมหนานซานเปิดกิจการแล้ว พวกเขาก็จะสามารถทำงานในอุตสาหกรรมต่อได้ พวกเราจะต้องสร้างโรงหมอและสำนักศึกษา เพื่อให้บุตรหลานของพวกเขาได้ร่ำเรียนหนังสือและรักษาพยาบาลโดยมิเสียค่าใช้จ่ายให้กับพวกเขา”

แม้จะกล่าวเยี่ยงนั้น แต่ต่งชูหลานก็เข้าใจดีว่าหากสามารถซื้อพื้นที่สลัมนั้นมาได้ แล้วรอให้เศรษฐกิจของราชวงศ์หยูฟื้นฟูในอนาคต และพัฒนาเขตสลัมนั้นเสียใหม่ นั่นจะเป็นก้อนเนื้อชิ้นโตเลยทีเดียว !

“อ่า…เรื่องนี้เจ้าต้องเร่งรีบเสียหน่อย อีก 12 วันก็จะถึงปีใหม่แล้ว”

“อืม” ฟู่เสี่ยวกวนมองดูเยี่ยนเสี่ยวโหลว “วันนี้ที่หอหยูฝูและซื่อทงเปิดทำการวันแรก เป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”

“ทุกอย่างดำเนินไปด้วยความราบรื่นดี ต้องขอบคุณพี่ชูหลานที่ได้เจรจากับพ่อค้าเหล่านั้นไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว ข้าทำเพียงแค่ให้พวกเขาลงนามเช่าซื้อและเก็บเงินค่าเช่าเพียงเท่านั้น”

เยี่ยนเสี่ยวโหลวหยุดชะงักลงแล้วเอ่ยถามว่า “เถ้าแก่จิ้วโม่จายเอ่ยถามข้าว่า เขาจะเปิดร้านหินฝนหมึกแห่งใหม่ในหยินโจว ณ ถนนกวนซี จะสามารถใช้หุ้นในการระดมทุนที่ธนาคารซื่อทงได้หรือไม่ ? ”

“จิ้วโม่จายคืออันใดกัน ? ”

“เป็นร้านขายกระดาษ พู่กัน หมึก และหินฝนหมึกที่ดีที่สุดในเมืองจินหลิง แต่แน่นอนว่าบัดนี้กระดาษของเขาคุณภาพสู้กับกระดาษที่ซีซานของเรามิได้ แต่หินฝนหมึกของเขานั้นขึ้นชื่อเป็นอย่างมาก แม้แต่ในราชวังก็ยังใช้พู่กัน หมึก และหินฝนหมึกของเขา”

ฟู่เสี่ยวกวนทำท่าทางครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยออกไปว่า “เรื่องนี้ให้หลงจู๊หลี่ไปจัดการ ให้เขาตรวจสอบและประเมินตามเกณฑ์ของพวกเรา หากว่าเงื่อนไขเป็นไปตามที่กำหนด ก็สามารถให้เขาออกหุ้นได้”

“อืม ยามเว่ยข้าจะไปเจรจากับหลงจู๊หลี่เอง”

มองดูแล้วเรื่องแปลกใหม่นี้จะค่อย ๆ ถูกพ่อค้าทั้งหลายยอมรับมัน ฟู่เสี่ยวกวนพิจารณาอยู่ชั่วครู่ เขารู้สึกว่าในปีหน้าหากเขตทดลองลงมือทำจริง ๆ เกรงว่าจะมีพ่อค้าจำนวนมากที่ทำตามกระแสนิยม

และคนที่อยากจะออกหุ้นก็คงมากขึ้นเรื่อย ๆ หากเป็นพ่อค้าในเมืองจินหลิงก็คงมิมีปัญหาใด แต่ถ้ามีพ่อค้าจากเมืองอื่นเข้ามาด้วยจะต้องหาวิธีมิให้พวกเขายื่นมือเข้ามา พรุ่งนี้เขาจะเข้าวัง ตนได้เสียเงินตั้ง 300,000 ตำลึงไปให้ฮ่องเต้ อย่างน้อยก็ต้องให้ฝ่าบาทออกพระราชดำรัสให้ว่า การออกหุ้นนั้นต้องได้รับการประเมินคุณสมบัติ และในราชวงศ์หยูมีเพียงธนาคารซื่อทงเท่านั้นที่สามารถประเมินได้ หากผู้ใดฝ่าฝืน…ยึดทรัพย์สินทั้งหมดในการครอบครองและเนรเทศ !

แท้ที่จริงฟู่เสี่ยวกวนมิได้ต้องการจะทำให้เรื่องเด็ดขาดถึงเพียงนี้ แต่เขากังวลว่าจะมีคนที่มิประสงค์ดีเข้ามา จากนั้นหากต้องปิดธนาคารแล้วหนีหายไป จะทำให้มีผู้ลงทุนจำนวนมากต้องสูญเสีย หากกล่าวอย่างง่าย ๆ ก็คือจะเป็นการทำให้ผู้คนพากันหวาดกลัวเรื่องของหุ้นในอนาคต หากกล่าวอย่างร้ายแรงก็คือ บรรดาผู้ได้รับผลกระทบอาจจะรวมตัวกันไปฟ้องร้องและโจมตีที่ศาลหากเป็นเยี่ยงนั้นคงมิดีเป็นแน่

หิมะเริ่มโปรยปรายลงมา

พวกเขาได้พากันไปทานมื้อกลางวันที่หลีเฉินซวน ขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนกำลังจะพาซูเจวี๋ยเดินทางไปยังจวนของฉินปิ่งจง คาดมิถึงว่าหลี่เจิ้งก็ได้วิ่งเข้ามาอีกครา

“คุณชายขอรับ แม่นางคนเมื่อคืนมาอีกแล้ว”

ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน แม่นางคนเมื่อคืนเยี่ยงนั้นหรือ ?

“กลุ่มคนที่นำทองมามอบให้ หนึ่งในสี่คนนั้นมีสตรีอยู่คนหนึ่งมิใช่หรือขอรับ ? ”

“อ่า…” ฟู่เสี่ยวกวนนึกขึ้นมาได้ แม่นางคนที่ชี้หน้าเขานั่นเอง “นางมาเนื่องด้วยเหตุใดกัน ? ”

“กล่าวว่าจะขอเข้าพบท่านเป็นการส่วนตัวขอรับ”

“กลางวันแสก ๆ เยี่ยงนี้จะเข้าพบทำไมกัน ข้ามิว่าง ไปบอกนางให้กลับไปเสีย”

“ข้าน้อยรับทราบ”

หลี่เจิ้งวิ่งไปทางประตูจวนแล้วมองดูหญิงสาวหน้าตางดงามผู้นี้ พร้อมกับกล่าวว่า “คุณชายกล่าวว่า กลางวันแสก ๆ เช่นนี้จะเข้าพบเนื่องด้วยเหตุใดกัน คุณชายมิว่าง เชิญแม่นางกลับไปเถิด”

เปียนหรงเอ๋อชะงักลงทันพลัน กลางวันแสก ๆ เข้าพบเนื่องด้วยเหตุใดเยี่ยงนั้นหรือ…หมายความว่า…นางหายใจเข้าลึก ๆ นี่หมายความว่าหากเป็นยามราตรีก็จะสามารถเข้าพบได้เยี่ยงนั้นหรือ ?

ยามราตรี !

ยามราตรีนั้นเป็นคำศัพท์ที่คิดได้หลากหลายความหมายอย่างแท้จริง

นางเงยหน้ามองดูหิมะที่โปรยปรายลงมา ท่ามกลางความหนาวเหน็บเยี่ยงนี้ จะไปสนทนาอันใดได้ในยามตรี ?

นางกัดริมฝีปากตนเองเบา ๆ จากนั้นก็กล่าวกับหลี่เจิ้งว่า “เช่นนั้นรบกวนท่านบอกกับคุณชายฟู่ว่า ข้าน้อย… ข้าน้อยจะมาพบคุณชายฟู่ใหม่ในยามราตรี”