ตอนที่ 479 ฉินฮุ่ยจือ

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 479 ฉินฮุ่ยจือ

หิมะที่เมืองจินหลิงยังคงตกอย่างต่อเนื่อง ฟู่เสี่ยวกวนและซูเจวี๋ยออกมาข้างนอก

จวนของฉินปิ่งจงเงียบเหงาเสียยิ่งกว่าปีที่แล้ว

ปีที่แล้วบุตรชายของเขาฉินติ้งฟางได้เข้ารับตำแหน่งจือโจวในหนิงโจวที่แม่น้ำหวงเหอทางเหนือ ปีนี้แม่น้ำฮวงโหได้เอ่อล้นขึ้นมาอีกครา เป็นอันว่าเทศกาลปีใหม่นี้ก็ไร้ซึ่งหนทางที่จะกลับมาแล้ว

หลานชายฉินเฉิงเย่ก็ได้ไปยังซีซานแล้ว ก่อนหน้าที่ฟู่เสี่ยวกวนจะอภิเษกสมรสเพียง 2 วัน เขาก็ได้รีบร้อนไปยังผิงหลิง กล่าวว่ามีช่างที่อยู่ตรงนั้นสร้างวัสดุแบบใหม่ขึ้นมาได้

ข้างกายของเขาจึงเหลือเพียงหลานสาวฉินรั่วเสวีย แม้แต่เหล่าบ่าวรับใช้ในเรือน หลายวันมานี้ก็ถูกเขาตัดออกไปมิน้อย แต่มิใช่เหตุผลด้านการเงิน แต่เป็นเพราะชีวิตที่เหลืออยู่ของเขาอยากจะวางไว้ที่สำนักศึกษาซีซาน จวนแห่งนี้ของเมืองจินหลิง นอกเสียจากช่วงเทศกาลปีใหม่แบบนี้แล้ว ก็น้อยมากยิ่งนักที่จะกลับมาพักที่นี่ในวันธรรมดา

ในยามที่คนเฝ้าประตูมาแจ้งว่าคุณชายฟู่มาเยี่ยม ฉินปิ่งจงกำลังสนทนาอยู่กับฉินโม่เหวินที่ห้องอักษร ฉินโม่เหวินคือบุตรชายของฉินฮุ่ยจือ แต่เขากลับชื่นชอบที่จะไปมาหาสู่กับปู่ใหญ่อยู่เสมอ บางทีอาจจะเพราะกลิ่นน้ำหมึกของที่นี่ หรือบางทีอาจจะเพราะกลิ่นอายหนังสือจากตัวของฉินปิ่งจง

ปู่และหลานชายเดินไปเปิดประตู ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้มขึ้นและโค้งคำนับเมื่อพบกับฉินปิ่งจง และกล่าวทักทายฉินโม่เหวิน จากนั้นพวกเขาก็ได้เดินไปทางห้องอักษร

ฟู่เสี่ยวกวนหยิบ ‘ตำราหลี่เสวีย’ ออกมาแล้วส่งให้ฉินปิ่งจง “พี่ชาย คร่าว ๆ ก็ประมาณนี้ รายละเอียดอาจคลาดเคลื่อนไปจากตำราของเหวินสิงโจวอยู่บ้างเล็กน้อย เพราะเยี่ยงไรเสียข้าก็ได้อ่านเพียงคราเดียวเท่านั้น แต่ใจความสำคัญมิได้ต่างไปจากเดิม ท่านลองอ่านดูเถิด”

ดวงตาของฉินปิ่งจงทอประกายขึ้นมาทันพลัน หลังจากที่เขารับมาก็ได้พลิกหน้าตำราไปมา และหลังจากนั้นก็มิได้สนใจพวกเขาอีก

ฟู่เสี่ยวกวนมองฉินโม่เหวินและกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “ต้องไปกวนซีเต้าในปีหน้าจริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ไอหยา ! แปดเก้าแล้วเยี่ยงไรก็หนีสิบมิพ้น เรื่องนี้เป็นการตัดสินใจของท่านพ่อ เขากล่าวว่าถึงกวนซีเต้าจะห่างไกลไปสักเล็กน้อย แต่ก็สะดวกพอที่จะสร้างผลงานได้…” ฉินโม่เหวินรินน้ำชาให้กับฟู่เสี่ยวกวนและซูเจวี๋ย ใบหน้าหมองลงเล็กน้อย “ข้าพอจะคาดเดาได้ว่าบิดาของข้าคิดไว้เยี่ยงไร ข้าวางไว้ที่สามถึงห้าปี หากสร้างผลงานขึ้นมาได้ 1 ชิ้น แล้วย้ายกลับมายังจินหลิง โดยพื้นฐานก็จะสามารถเข้าสำนักอัครมหาเสนาบดีได้แล้ว”

ฟู่เสี่ยวกวนลอบถอนหายใจออกมา ขันทีเจี่ยเคยนำรายงานของฝูงมดฉบับหนึ่งมาให้เขาอ่าน ในรายงานจงจับตาดูรองเสนาบดีการเมืองฉินฮุ่ยจือสำนักอัครมหาเสนาบดีของราชวงศ์หยูอย่างใกล้ชิด ข้ากำลังดักรอรายงานจากจินหลิงที่ส่งไปยังเขตซีหรง คนผู้นี้มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะถูกหยูเวิ่นชูซื้อไปแล้ว

ฉินฮุ่ยจือคือบิดาของฉินโม่เหวิน และฉินเซียงหวยคือบุตรสาวของฉินฮุ่ยจือ ทั้งยังเป็นภรรยาของต่งซิวจิ่นบุตรชายคนโตของเสนาบดีต่ง กล่าวได้ว่าฉินฮุ่ยจือคือเครือญาติของต่งคังผิง

หากฝูงมดตรวจพบถึงหลักฐานที่ฉินฮุ่ยจือและองค์ชายสี่หยูเวิ่นชูสมรู้ร่วมคิดกัน หากหยูเวิ่นชูเป็นแกนนำปลุกระดมให้แม่ทัพใหญ่เซวี๋ยติ้งชานแห่งกองทัพชายแดนตะวันตกก่อกบฏขึ้นมาอย่างแท้จริง เครือข่ายของความสัมพันธ์ที่เกี่ยวโยงกันนั้นค่อนข้างจะกว้างเสียทีเดียว

บางทีปัญหาของเสนาบดีต่งอาจจะมิใหญ่โตเท่าใดนัก แต่ในฐานะบุตรของฉินฮุ่ยจือ ฉินโม่เหวินอาจจะเป็นอันตรายได้

มิเพียงแต่การงานอาชีพ แม้แต่ชีวิตก็น่ากังวลมากเช่นกัน

ฟู่เสี่ยวกวนย่อมมิยินยอมให้สหายสนิทเสียชีวิตไปด้วยความบริสุทธิ์ทั้งเยี่ยงนี้ แต่บัดนี้มิสามารถยืนยันได้ว่าฉินฮุ่ยจือมีแผนอยู่จริงหรือไม่ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจรอข่าวที่มั่นใจแล้วจากฝูงมดเสียก่อนแล้วค่อยวางแผนอีกครา

“ดังนั้นเจ้าจึงสบายเป็นอย่างมากที่มาเป็นขุนนาง ทางก็ได้ปูเอาไว้หมดแล้ว ทั้งยังเป็นทางที่กว้างขวางอีกด้วย เจ้าเพียงดูแลเส้นทางนี้ให้ดีและก้าวเดินไปอย่างมั่นคงก็พอ ภายภาคหน้าหากประสบความสำเร็จในหน้าที่และการงานภรรยาและบุตรก็จะอยู่มิไกลแล้ว ไหนเลยจะเหมือนข้าที่เป็นเพียงคุณชายเศรษฐีที่ดินแห่งหลินเจียง แหนไร้ราก มิว่าจะทำเรื่องอันใดก็ต้องพึ่งพาตนเอง”

“ไสหัวเจ้าไป… ! ” ฉินโม่เหวินจ้องฟู่เสี่ยวกวนตาเขม็ง “เจ้ายังคิดให้เป็นแบบใดอีกกัน ยังมิครบสิบแปดดี ก็ได้เป็นขุนนางขั้นสามแล้ว ลองนับในประวัติศาสตร์ดู คิดว่ามีกี่คนกันที่อายุเท่าเจ้าแล้วสามารถอยู่ในตำแหน่งที่สูงเยี่ยงนี้ได้ ? ”

“นอกจากนี้เจ้าเองก็มีครอบครัวและมีอาชีพอย่างแท้จริงแล้ว ชาติที่แล้วข้าต้องทำให้แม่สื่อขัดเคืองใจเป็นแน่ จนถึงวันนี้คาดมิถึงว่าจะยังหาสตรีที่ชอบพอมิได้ เจ้าเป็นบุรุษที่อิ่มหนำซึ่งมิเข้าใจบุรุษที่หิวโหยหรอก ภายภาคหน้าเลิกคิดที่จะมาเยาะเย้ยต่อหน้าข้าได้เลย ! ”

“ฮ่า ๆ ๆ …” ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะยกใหญ่ และเปลี่ยนกลับไปสนทนาเรื่องหลัก “ได้สนทนาเรื่องนี้กับฝ่าบาทแล้วหรือยัง ? ”

“เคยสนทนาแล้ว แต่ฝ่าบาทกลับตรัสว่าปีหน้าคือการนำร่องชุดที่สอง เพิ่มใหม่เพียง 10 แห่งเท่านั้น เดิมทีกวนซีเต้ากำหนดไว้ที่เฟิงโจวและหยินโจว ข้าใช้พละกำลังอย่างมากมายมหาศาลถึงได้รวมเซี่ยโจวเข้าไปด้วยได้ ตามความหมายของฝ่าบาท การนำร่องชุดที่สามคงจะเริ่มในปีถัด ๆ ไป หากปีหน้ามณฑลนำร่องทั้งสิบหกแห่งเป็นไปได้ด้วยดี เกรงว่าจะประโคมข่าวออกมาในปีถัด ๆ ไป…”

ฉินโม่เหวินจดจ้องฟู่เสี่ยวกวน และเอ่ยถามว่า “ฝ่าบาทตรัสว่าเนื้อหาโดยละเอียดต้องดูว่ากรมการค้าจัดวางไว้เยี่ยงไร เจ้าคือหัวหน้ากรมการค้า เจ้าช่วยหลุดบอกข่าวเล็ก ๆ น้อย ๆ ออกมาล่วงหน้าก่อนได้หรือไม่ ให้ข้าได้มีความมั่นใจ”

“ข้ายังมิได้ใคร่ครวญถึงการจัดวางโดยละเอียด ส่วนเรื่องกรมการค้า เป้าหมายที่แท้จริงในปีหน้าคือทำให้กฎหมายการค้าเป็นที่แพร่หลาย ควรจะต้องวางข้อกำหนดเอาไว้ให้ดีเสียก่อน จึงจะทำให้กฎหมายเหล่านี้สมบูรณ์แบบในขั้นตอนการผลักดันทางการค้า เยี่ยงนั้นแล้วจึงจะสามารถทำให้การค้าพัฒนาไปในทางที่ดีได้”

ฉินโม่เหวินครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ และพยักหน้า นี่คือความเปลี่ยนแปลงที่มิเคยมีมาก่อน การลงมือของฟู่เสี่ยวกวนในครานี้ย่อมทำเพื่อความมั่งคง

“หากเจ้าเข้ารับตำแหน่งที่กวนซีเต้าอย่างแท้จริง ข้ามีข้อแนะนำมิกี่ข้อให้เจ้าเก็บไปพิจารณาเล็กน้อย”

“เชิญกล่าว ! ”

“ที่ตั้งของกวนซีเต้าค่อนข้างห่างไกล เขตเพราะปลูกรวมอยู่ที่เฟิ้งเสียง เย่าโจว ถงโจว รวมไปถึงเหยียนโจว ทั้งสี่จวนโจวนี้ถือเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดของกวนซีเต้า ส่วนปัจจัยของพื้นที่อื่น ๆ ในจวนโจวนั้นมิดีเท่าใดนัก แต่ก็พอมีคุณสมบัติพิเศษอยู่เช่นกัน

อย่างเช่น ผลไม้ของฟูโจว หินที่แตกต่างของตานโจว และเหมืองถ่านหินของหลงโจวและอื่น ๆ นี่คือทรัพยากรเฉพาะในแต่ละสถานที่ หากเจ้าสามารถทำให้ทรัพยากรเหล่านั้นมีประโยชน์ขึ้นมาได้ ย่อมส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของกวนซีเต้าอย่างใหญ่หลวงเป็นแน่

สิ่งที่เรียกว่าการค้า มิใช่เพียงการสร้างโรงงานเพื่อผลิตสินค้าเท่านั้น พวกเรายังสามารถหาได้จากทรัพยากรธรรมชาติอีกด้วย ของเหล่านั้นก็เป็นสินค้าเช่นเดียวกัน มีความต้องการแรงงานด้านคนเช่นกัน และสามารถแก้ไขปัญหาการว่างงานได้เช่นกัน เหตุใดจึงมิทำกันเล่า ? ”

ดวงตาฉินโม่เหวินเป็นประกาย ช่วงหลายวันมานี้เขากำลังศึกษาเกี่ยวกับกวนซีเต้า แต่ยิ่งศึกษาก็ยิ่งท้อแท้ใจ เมื่อเทียบกับเจียงเป่ยเต้าแล้ว จำนวนคนในที่นั่นน้อยลงไปถึงครึ่ง และพื้นที่ทำกิจการก็ลดลงไปถึง 7 ส่วน !

ในจิตใต้สำนึกของเขายังคงวางการเกษตรไว้เป็นอันดับที่หนึ่ง สำหรับการค้า เขายังคงหยุดในช่วงขั้นต้นเพื่อรอให้เหล่าพ่อค้าไปสร้างโรงงานในที่แห่งนั้นเสียก่อน

เมื่อได้ยินฟู่เสี่ยวกวนกล่าวเยี่ยงนี้แล้ว เขาก็รู้แจ้งในทันใด ในเมื่อพ่อค้าสามารถสร้างโรงงานขึ้นมาได้ เยี่ยงนั้นขุนนางก็สามารถเรียกรวมพลชาวบ้านไปขุดหาทรัพยากรธรรมชาติมาได้เช่นกัน

นี่คือกลยุทธแห่งชัยชนะ ชายผู้นี้ถือว่าเก่งกาจอย่างแท้จริง ก่อนที่จะต้องออกไปจากเมืองหลวงควรจะนั่งสนทนากับชายผู้นี้ให้มาก เพื่อเสริมประสบการณ์ที่หายากให้อีกสักเล็กน้อย

ในยามที่ฉินโม่เหวินกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ คนเฝ้าประตูก็ได้พาคนผู้หนึ่งเดินเข้ามา

ฟู่เสี่ยวกวนหันหน้าไปมอง รองเสนาบดีการเมืองฉินฮุ่ยจือ !

ฉินฮุ่ยจือเองก็มองมาฟู่เสี่ยวกวนเช่นกัน แต่เขามิได้ตกใจอันใด ใบหน้าที่เคร่งขรึมของเขามีรอยยิ้มผุดขึ้นมา “ข้าได้ยินมาว่าท่านเสี่ยวนกวนอยู่ที่นี่ จึงมาที่นี่เพื่อพบหน้าเสียหน่อย”

ฟู่เสี่ยวกวนชะงัก รอยยิ้มผุดขึ้นมาในชั่วพริบตา และได้ยกสองมือขึ้นโค้งคำนับ “ข้าน้อยได้รับความโปรดปรานเยี่ยงนั้นหรือขอรับ ท่านกำลังกังวลว่าเหตุใดข้าน้อยถึงมิไปนั่งในกรมการค้าใช่หรือไม่ ท่านฉินมาเพื่อเล่นงานข้าเยี่ยงนั้นหรือขอรับ”