ตอนที่ 480 คนละทาง

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 480 คนละทาง

ฉินปิ่งจงจึงละสายตาออกมาจากหนังสือนั้นแล้วมองมาทางฉินฮุ่ยจือด้วยท่าทางประหลาดใจ ก่อนจะยื่นมือออกไปพร้อมกับกล่าวอย่างเป็นกันเองว่า “นั่งสิ”

จากนั้นเขาก็หยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาแล้วเดินไปยังโต๊ะในมุมหนึ่งของห้องอักษร ขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วเปิดอ่านหนังสือต่อ

ฉินฮุ่ยจือนั่งลงตรงข้ามกับฟู่เสี่ยวกวน ฉินโม่เหวินไปต้มชากาใหม่มาให้พวกเขา

ในความทรงจำของฟู่เสี่ยวกวนแล้ว เขามิคุ้นเคยกับฉินฮุ่ยจือสักเท่าใดนัก เนื่องจากเขาเป็นผู้มีตำแหน่งในสำนักอัครมหาเสนาบดี อีกทั้งน้อยครานักที่จะเสนอความคิดเห็นในที่ประชุม ส่วนฟู่เสี่ยวกวนเองก็มิได้ไปเข้าร่วมประชุมบ่อยสักเท่าใดนัก จึงทำให้มิคุ้นเคยกับเขา

บัดนี้ทั้งสองได้นั่งห่างกันเพียงแค่เอื้อม ฟู่เสี่ยวกวนจึงอดมิได้ที่จะจ้องมองดูเขา

ใบหน้านี้ผอมบางแต่เด็ดเดี่ยว คิ้วทั้งสองข้างเป็นเส้นตรง สันจมูกที่ชัดเจนเสริมใบหน้าของเขาให้ดูสง่างามมากยิ่งขึ้น

ฉินโม่เหวินแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขานั้นเกรงกลัวบิดา นับตั้งแต่ที่ฉินฮุ่ยจือเดินเข้ามา เขาก็ทำเพียงก้มหน้าก้มตาชงชาเท่านั้น ทำทีเป็นบุตรที่ว่านอนสอนง่าย ไร้ซึ่งความป่าเถื่อนแต่อย่างใด

ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองดูฉินฮุ่ยจืออยู่ตลอดเวลา แต่ฉินฮุ่ยจือเพียงชายตามามองเขาเพียงแค่คราเดียวเท่านั้น

“ก่อนหน้าที่ท่านจะเดินทางกลับมายังเมืองหลวง ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนได้ผลักดันนโยบายเรื่องความเสมอภาคในเกษตรกรรมและการค้า ข้าได้โต้แย้งกับเขาในพระราชวังจินเตี้ยน… ข้ายังคงคิดเห็นว่าราษฎรนั้นควรให้ความสำคัญกับอาหารการกินมากที่สุด ดังนั้นการพัฒนาด้านการเกษตรมากว่าพันปีจึงสามารถสร้างราษฎรนับร้อยนับพันล้านได้ แต่ข้ามิเห็นว่าการค้าจะทำให้อิ่มท้องและทำให้ราษฎรมีชีวิตที่มั่นคงได้”

“ในที่ประชุม มีคนเรียกพวกข้าที่สนับสนุนเกษตรกรรมสำคัญกว่าการค้าว่าอนุรักษ์นิยม และเรียกพวกอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนที่สนับสนุนให้การค้าและเกษตรกรรมเสมอภาคเท่าเทียมกันว่าปฏิรูปนิยม”

ฉินฮุ่ยจือเงยหน้าขึ้นมองดูฟู่เสี่ยวกวนแล้วเอ่ยถามว่า “หากจะโยงถึงแหล่งที่มาของนโยบายนี้ แน่นอนว่าท่านฟู่เป็นผู้ร่างขึ้นมา ที่ข้าเดินทางมาในวันนี้เพื่อต้องการเอ่ยถามท่านฟู่ว่า นโยบายนี้ร่างขึ้นเพื่อต้องการทำลายล้างราชวงศ์หยูเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ประโยคนี้มิใช่เพียงประโยคคำถามธรรมดา ๆ แต่แฝงไปด้วยการกล่าวโทษฟู่เสี่ยวกวน !

แม้แต่มือของฉินโม่เหวินที่กำลังจับหูกาน้ำชาอยู่นั้นก็สั่นคลอนเล็กน้อย เขาขมวดคิ้วมุ่นแล้วเงยหน้าขึ้นมองไปทางท่านพ่อของเขา

ฉินฮุ่ยจือมิได้ใส่ใจสีหน้าของเขาแม้แต่น้อย ดวงตาอันทรงพลังคู่นั้นยังคงจับจ้องมายังฟู่เสี่ยวกวนราวกับกำลังจะเค้นหาความจริงออกมาจากแววตาของฟู่เสี่ยวกวนให้จงได้

แววตาอันสงบนิ่งของฟู่เสี่ยวกวนสบประสานกับฉินฮุ่ยจือ มุมปากของเขาเผยอขึ้น คิ้วและดวงตาบ่งบอกถึงความเยาะเย้ย

“คำถามของท่านฉินเมื่อสักครู่ควรจะนำไปกล่าวที่พระราชวังจินเตี้ยนกับฝ่าบาท ท่านเอ่ยกับข้า…” ฟู่เสี่ยวกวนแบมือออก “ไร้ซึ่งประโยชน์อันใด แม้ว่าตำแหน่งของท่านจะสูงกว่า อีกทั้งกรมการค้าจะอยู่ในความดูแลของสำนักอัครมหาเสนาบดี แต่ข้าจะมิยอมรับคำใส่ร้ายอย่างไร้เหตุผลของท่านเป็นอันขาด ที่จริงตัวข้าก็อยากจะเอ่ยถามท่านเช่นกันว่า ท่านนั้นมีความสามารถพอในการต่อต้านการปฏิรูปครานี้หรือไม่ ? ”

ฉินฮุ่ยจือได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วเข้าหากันทันพลัน ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวต่อไปว่า “หากท่านฉินมีความสามารถในการต่อต้านการปฏิรูปครานี้ ก็ควรจะไปต่อต้านอยู่ที่พระราชวังจินเตี้ยนอย่างสุดความสามารถกับท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน หากว่าท่านไร้ความสามารถในการโต้แย้ง… ผู้คนทั่วทั้งใต้หล้านี้ล้วนตาสว่าง มิมีผู้ใดตาบอด พวกเขาจะทำการตัดสินเองหลังจากดำเนินการ มิจำเป็นที่จะต้องให้ท่านฉินมากล่าวสรุปความไร้สาระเหล่านี้”

คำกล่าวของฟู่เสี่ยวกวนนับว่ายังไว้หน้าฉินฮุ่ยจืออยู่บ้าง มิใช่เพราะฉินโม่เหวินนั่งอยู่ที่นี่ แต่เป็นเพราะเดิมทีสหายของเขานั้นก็มีมิมากนักอยู่แล้ว จึงมิอยากเสียสหายไปเพราะเรื่องนี้

เห็นได้ชัดว่าฉินฮุ่ยจือได้เตรียมการมาล่วงหน้า หลังจากที่เขาได้ยินคำกล่าวเหล่านั้น เขามิได้เดือดดาลแต่อย่างใด แต่เขากลับยกยิ้มขึ้นมาแล้วกล่าวว่า

“ท่านเป็นคนในราชวงศ์อู๋ เป็นองค์ชายของราชวงศ์อู๋ หากยึดหลักความเป็นจริงแล้ว บัดนี้ท่านควรจะได้เป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋”

“คัมภีร์กตัญญูได้กล่าวไว้ว่า ร่างกายเจริญเติบโตมาได้เพราะบิดามารดา ในร่างกายของท่านมีเลือดเนื้อเชื้อไขของจักรพรรดิเหวินไหลเวียนอยู่ ท่านแบกรับความหวังของประชากรในราชวงศ์อู๋ไว้เสียมากมาย หากนโยบายนี้ได้ผลจริง ท่านควรนำไปเผยแพร่ในราชวงศ์อู๋ ในฐานะผู้นำแคว้น ท่านจะมิได้รับความดีความชอบมากกว่าหรือเยี่ยงไร ? เหตุใดท่านจึงสละตำแหน่งจักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋เพื่อมาทำสิ่งเหล่านี้ให้แก่ราชวงศ์หยูกันเล่า ? ”

ฉินฮุ่ยจือเอียงศีรษะมองดูฟู่เสี่ยวกวน แล้วเอ่ยต่อว่า “เนื่องจากในใจของท่านรู้ดีว่านโยบายนี้เป็นนโยบายแห่งการทำลายแคว้น ! เมื่อผู้คนพากันไปสนใจในการค้า ก็จะทำให้พื้นที่ท้องนาของราชวงศ์หยูรกร้าง เมื่อรอให้ถึงเวลานั้นท้องนาก็จะมิมีผู้ใดดูแล พวกเขาคงจะกินดิน ? กินเงินทอง ? กินเสื้อผ้า ? คาดว่าสิ่งเหล่านี้พวกเขาคงมีกันทั้งสิ้น แต่สิ่งที่มิมีนั่นก็คือธัญพืช นโยบายของท่านนั้นเพื่อต้องการให้ราษฎรราชวงศ์หยูต้องสิ้นสุดลง น่าเสียดายที่อัครมหาเสนาบดีเยี่ยนและฝ่าบาททรงถูกท่านหลอกลวง พวกเขาหาได้รู้ไม่ว่าราชวงศ์หยูกำลังตกอยู่ในอันตราย ! ”

“ส่วนเรื่องเหตุผลที่ข้ามิได้โต้แย้งเรื่องนี้ในพระราชวังจินเตี้ยนอีก นั่นเป็นเพราะข้าเห็นว่าท่านเป็นบุตรเขยของฝ่าบาท การที่ข้าเดินทางมาหาท่านในวันนี้ ก็เพื่อต้องการให้ท่านถอยออกมาด้วยตนเอง ทูลฝ่าบาทให้ทรงยกเลิกพระราชโองการนั้นเสีย หรือบางที… ท่านอาจจะกลับไปยังราชวงศ์อู๋เพื่อรับตำแหน่งองค์จักรพรรดิ เมื่อข้าเดินทางไปยังราชวงศ์อู๋ ข้าจะคุกเข่าและเรียกท่านว่าฝ่าบาท”

“ท่านคิดเห็นว่าเป็นเยี่ยงไร ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนหยุดครุ่นคิดไปชั่วครู่แล้วส่ายหัว “มิเห็นว่าเป็นเยี่ยงไร ! ”

“ท่านฉิน ประวัติศาสตร์นั้นจะต้องพัฒนาไปข้างหน้า การให้ความสำคัญกับการเกษตรมากว่าพันปีนั้นถูกต้อง แต่บัดนี้ความเป็นจริงคือการค้าได้พัฒนาขึ้นมาแล้ว เสื้อผ้าที่ท่านฉินสวมใส่อยู่มิได้ทำด้วยหนังสัตว์หรือใบไม้เหมือนเมื่อพันปีก่อนแล้ว แต่กลับเป็นผ้าทอ สิ่งของต่าง ๆ ที่ท่านฉินใช้ในจวนล้วนเป็นผลิตภัณฑ์จากอุตสาหกรรมการค้า”

“ข้าเพียงแค่ยกระดับความสำคัญของการค้าที่เดิมทีมิได้แข็งแกร่งขึ้นมาล่วงหน้าก็เท่านั้นเอง คาดมิถึงว่าในสายตาของท่านฉินแล้ว ข้าคือผู้ทำลายราชวงศ์หยู”

ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้มขึ้นแล้วส่ายหน้า “ท่านมองข้าสูงส่งจนเกินไป แม้แต่จักรพรรดิราชวงศ์อู๋ ข้าเองยังมิอยากเป็น ข้าเพียงต้องการเป็นพ่อค้าที่ดินธรรมดา ๆ ผู้หนึ่งเท่านั้น สิ่งที่ข้าทำไปทั้งสิ้นก็เพื่อให้ครอบครัวของข้ามั่งคงมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ครอบครัวของข้าได้มีอาหารการกินและที่อยู่โดยมิต้องกังวลสิ่งใด”

ฉินฮุ่ยจือลุกขึ้นยืน เขานำมือลูบไปที่เครายาวของตน “เป็นเช่นนี้ ท่านฟู่คงจะต้องการยึดในความคิดเดิมของท่านสินะ ? ”

“ข้าคิดว่า ท่านฉินคงจะตัดสินบางอย่างผิดไป”

“ในใต้หล้านี้มีแคว้นตั้งมากมาย เหตุใดเจ้าจึงมิยอมปล่อยราชวงศ์หยูไปกัน ? ”

“เนื่องจากข้าเกิดที่ราชวงศ์หยู และเติบใหญ่ขึ้นมาที่ราชวงศ์หยู ดังนั้นข้าจึงต้องการทำบางอย่างเพื่อตอบแทนราชวงศ์หยู”

ฉินฮุ่ยจือสูดหายใจเข้าเสียงดังแล้วลุกขึ้นยืน เขานำมือไขว้ไปข้างหลังแล้วเดินไปมาสองสามก้าว ก่อนจะหันกลับมากล่าวว่า “ในเมื่อท่านฟู่ต้องการจะผลักราชวงศ์หยูลงสู่ก้นบึ้ง ข้าก็มิอาจทำเป็นมิรู้มิเห็นได้ ท่านจงระวังตัวไว้ให้ดี ! ”

ฉินฮุ่ยจือที่กำลังจะก้าวขาออกไปจากธรณีประตูของห้องอักษร ฟู่เสี่ยวกวนได้หันหลังกลับไป มองไปด้านหลังของเขาแล้วกล่าวว่า “ท่านฉิน น่าเสียดายสายตาคู่นั้นของท่านเสียจริง”

ฉินฮุ่ยจือขมวดคิ้วแล้วหันหลังกลับมาทันใด สายตาทั้งสองคู่สบประสานกัน “ท่านมองนโยบายใหม่นี้ผิดก็มิเป็นไร แต่หากท่านมองอนาคตผู้ครอบครองตำแหน่งองค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์หยูผิดไป…จะมีผู้คนมากมายที่ต้องสิ้นชีพ ! ”

แววตาของฉินฮุ่ยจือนั้นแหลมคมดุจกระบี่ แทงเข้าไปในหัวใจของฟู่เสี่ยวกวน แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับยกถ้วยน้ำชาขึ้นส่ายไปมาแล้วกล่าวว่า “แม้ว่าจะอยู่กันคนละทาง แต่ข้าก็ยังอยากจะเตือนท่านว่า หวนกลับฝั่งตอนนี้ยังมีทางรอด ! ”