ตอนที่ 481 เจ้าคนต่ำช้า

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 481 เจ้าคนต่ำช้า

“เจ้าต้องการจะเอ่ยอันใดกันแน่ ! ”

ฉินฮุ่ยจือเดินจากไปแล้ว แต่บัดนี้ฉินโม่เหวินกำลังจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนตาเขม็ง

ฟู่เสี่ยวกวนตบลงที่บ่าของฉินโม่เหวิน “พี่โม่เหวิน เจ้ามิจำเป็นต้องคิดมากอันใดหรอก ข้ากับท่านฉินเพียงมีความคิดทางด้านการเมืองที่มิตรงกันก็เท่านั้น เพื่องานราชสำนัก อย่าได้เอาความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องของพวกเราเข้ามาเกี่ยวข้องเลย”

สำหรับบิดาของตนนั้น ฉินโม่เหวินมิได้ประเมินค่าคำกล่าวเมื่อครู่ของฉินฮุ่ยจือเลยแม้แต่น้อย และแน่นอนว่าในใจของเขาย่อมคิดว่าฝ่ายบิดานั้นเป็นฝ่ายผิด

ในฐานะที่เขาเคยเป็นเต้าถายของเจียงเป่ยเต้า เขาย่อมได้เห็นความรุ่งเรืองทางด้านการค้าของเขตเหยาด้วยสองตาของตนเองมาแล้ว

ในตอนที่เยี่ยนซีเหวินเข้ารับตำแหน่งใหม่ ๆ ภาษีของเขตเหยาเพิ่งจะได้รับมาในอีก 2 ปีให้หลัง เงินคงคลังแทบจะมิมีเหลือ มิมีแม้แต่คลังเสบียง แต่เขตเหยาใช้เวลาฟื้นฟูมิถึง 1 ปี บัดนี้ชาวบ้านของเขตเหยาต่างก็มีรายได้ที่ดีขึ้น คลังเงินของเขตเหยาในตอนที่เขาเดินทางออกมาจากเจียงเป่ยเต้าก็มีมากถึงสามแสนกว่าตำลึงแล้ว !

นี่มิใช่ภาษีที่จ่ายโดยโรงงานเหล่านั้น แต่เป็นหลังจากที่ร้านค้าในเขตเหยามีการซื้อขายเกิดขึ้น นี่จึงเป็นภาษีที่สำนักงานเขตเหยาได้รับมา

จำได้ว่าตอนที่ไปเขตเหยา เยี่ยนซีเหวินได้พาเขาไปตรวจโรงงานทั้งหมดที่มี และกล่าวด้วยความฮึกเหิมว่า หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ เขตเหยาจะต้องเจริญรุ่งเรือง หลินเจียงจะต้องเจริญรุ่งเรือง เจียงเป่ยเต้าจะต้องเจริญรุ่งเรือง และราชวงศ์หยูจะต้องเจริญรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้นเป็นแน่

ดังนั้นในตอนที่ทราบว่าตนจะต้องเดินทางไปเข้ารับตำแหน่งที่กวนซีเต้า สิ่งแรกที่คิดถึงเลยก็คือการพัฒนาทางด้านการค้า

ในช่วงหลายวันมานี้เขาได้ไปเยี่ยมเยียนพ่อค้าจำนวนมากในจินหลิง และชักชวนพวกเขาให้ไปลงทุนสร้างโรงงานที่กวนซีเต้าในฤดูใบไม้ผลิของปีหน้า เถ้าแก่จิ้วโม่จายเองก็เป็นหนึ่งในพ่อค้าที่เขาเคยเชิญมา

แต่บิดาของเขากลับคัดค้านอย่างมิมีเหตุผล !

ดังนั้นเขาจึงมิยินยอมที่จะอยู่ที่จวนของตนเอง และมักจะวิ่งออกมาอยู่ที่จวนของฉินปิ่งจงแทน

แม้แต่ท่านปู่ที่เป็นนักปราชญ์อาวุโสก็ยังเข้าใจในการลงมือของฟู่เสี่ยวกวน ว่าทั้งหมดก็เพื่อที่จะนำพาราชวงศ์หยูไปยังยุคใหม่ แต่กับบิดาของตนที่มีตำแหน่งใหญ่โตกลับมีความคิดที่ล้าสมัยยิ่ง เน่าเฟะเสียจนยากที่จะสนทนาได้ นั่นทำให้ฉินโม่เหวินปวดหัวเป็นอย่างมาก

“สำหรับคำกล่าวของท่านฉิน เจ้าอย่าได้นำมาใส่ใจเลย” ฟู่เสี่ยวกวนมองฉินโม่เหวินที่กำลังหดหู่และได้เอ่ยปลอบใจออกไป “การบริหารแบบใหม่ท้ายที่สุดแล้วก็คือของสิ่งใหม่ หากเจ้าใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็จะสามารถเข้าใจได้ว่าคนที่เหมือนท่านฉินนั้นแท้จริงแล้วก็มีอยู่เป็นจำนวนมาก

สถานะของพ่อค้าเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นการคุกคามสถานะของทหาร ชาวเกษตร และแรงงาน โดยเฉพาะทหารที่ทนความหนาวเหน็บมานับสิบปี ก็เพื่อต้องการประสบความสำเร็จในเส้นทางอาชีพของตน แต่พ่อค้ากลับใช้เพียงสมองและเงิน ก็ได้รับสถานะที่เทียบเท่ากับพวกเขาทั้งยังได้เงินอีกด้วย นี่ย่อมทำให้เหล่าบัณฑิตที่ตรากตรำอย่างหนักเกิดความเกลียดชังและมิพอใจ”

“หลักการเช่นเดียวกัน เป็นขุนนางมาสิบกว่าปี ผลลัพธ์กลับมิได้สุขสบายเท่ากับพ่อค้า ดังนั้นการขัดแย้งนี้จะยังดำเนินต่อไปเป็นเวลานาน การปะทะทางด้านความคิดก็จะร้อนแรงขึ้นเรื่อย ๆ แน่นอนว่าท้ายที่สุดแล้วก็มิอาจหยุดยั้งแนวโน้มนี้ได้ สถานะของพ่อค้าจะได้รับการยอมรับ และความคิดของขุนนางก็จะเปลี่ยนไปในท้ายที่สุด”

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้กล่าวว่าท้ายที่สุดแล้วขุนนางในราชสำนักก็จะเปลี่ยนมามีบทบาททางด้านการค้าเหมือนชาวบ้านทั่วไป เมื่อกล่าวคำนี้ออกมาแม้แต่ฉินโม่เหวินเองก็คงยากที่จะยอมรับได้ ปล่อยให้กระแสของประวัติศาสตร์ถูกขัดเกลาไปอย่างช้า ๆ ยังจะดีเสียกว่า

ฉินปิ่งจงใช้เวลาสองชั่วยามกว่าจะอ่านตำราเล่มนี้โดยละเอียดจนจบ จากนั้นจึงได้กลับมานั่งยังโต๊ะน้ำชา แล้วสนทนากับฟู่เสี่ยวกวนถึงมุมมองหรือปัญหาภายในนั้นโดยใช้เวลาสอบถามถึง 2 ชั่วยาม

บัดนี้ท้องนภาได้แปรเปลี่ยนเป็นสีดำของยามราตรีแล้ว แต่ความคิดเห็นของฉินปิ่งจงก็ยังคงมิหมดสิ้น

“ผู้มีความสามารถอย่างเหวินสิงโจว ข้าย่อมมิอาจเทียบเคียงเขาได้ แต่ภายในนี้ข้ายังสามารถมองเห็นถึงถ้อยคำของเจ้าด้วย ดังนั้นตำราเล่มนี้เป็นการสรุปปรัชญาของเหวินสิงโจว และตำราของเจ้า ทั้งสองสิ่งเติมเต็มและรวมกันเป็นหนึ่ง ดังนั้นหาก ‘ตำราหลี่เสวีย’ เล่มนี้ได้เผยแพร่สู่สาธารณชน นั่นย่อมเป็นการทำให้ผู้คนในราชวงศ์คลุ้มคลั่งขึ้นมาเป็นแน่”

“ผลกระทบจากหลักคำสอนที่มีต่อราชวงศ์หยูนั้นลึกซึ้งเป็นอย่างมาก หากเผยแพร่ตำราเล่มนี้ในราชวงศ์อู๋นั้นคาดว่าการต่อต้านคงมิใหญ่โตอันใด แต่หากเผยแพร่ในราชวงศ์หยู…”

ฉินปิ่งจงหันไปมองทางฟู่เสี่ยวกวน แล้วกล่าวอย่างมีนัยว่า “ข้ากลัวว่าในท้ายที่สุดแล้วมันจะตกลงไปในบ่อโคลน ซึ่งยากยิ่งกว่าการส่งเสริมนโยบายระดับชาตินี่เสียอีก ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า เขาเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้

“ในขณะนี้ข้ายังมิมีแผนเผยแพร่ในสิ่งนี้ เรื่องที่ลงแรงอย่างหนักแต่มิได้คำชมทำไปก็ไร้ความหมาย”

ฉินปิ่งจงหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ “ได้ยินเจ้าเอ่ยเช่นนี้ข้าก็วางใจ ของสิ่งนี้เอาเก็บไว้ที่ข้าเถิด ข้าจะอ่านให้ถี่ถ้วนอีกครา ประเดี๋ยวก็อยู่ทานมื้อเย็นกับข้าที่นี่ก็แล้วกัน”

“เรื่องทานมื้อเย็นคงมิเป็นไร พี่ชาย ข้าทำงานหนักอย่างแท้จริง ช่วงข้ามปีก็จะมาถึงในอีกมิช้านี้แล้ว ข้าต้องกลับไปเขียนจดหมายเพื่อจัดการซีซานเสียหน่อย รวมไปถึงชวูอี้ ผิงหลิง ทั้งยังมีสถานที่ต่าง ๆ ในซีซานที่มีปัญหาเรื่องเทศกาลปีใหม่”

ฉินปิ่งจงทราบดีว่าฟู่เสี่ยวกวนมีธุระมากมายที่ต้องจัดการ ดังนั้นเขาจึงมิได้รั้งฟู่เสี่ยวกวนไว้ ฉินโม่เหวินส่งฟู่เสี่ยวกวนถึงหน้าธรณีประตู “พรุ่งนี้พวกเราไปทานมื้อเย็นกันที่หอซื่อฟางดีหรือไม่ ? ”

“หากอยากดื่มสุราเจ้าก็เอ่ยออกมาตรง ๆ เถิด ! ”

“ข้าอยากดื่มสุราอย่างแท้จริง ตกลงตามนี้เลยก็แล้วกัน ในวันพรุ่งนี้ข้าจะไปเชิญฮั่วหวยจิ่นแล้วก็หนิงหยู่ชุน… พี่เขยใหญ่ของเจ้ากลับมาแล้วหรือยัง ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนชะงักไปทันพลัน พี่เขยใหญ่… ต่งซิวจิ่น “หลังจากคราที่แล้วที่ไปแย่งคนผู้หนึ่งมาจากพ่อตาต่ง ข้าก็ยังมิกล้าไปเยือนถึงธรณีประตูของจวนต่งเลย เยี่ยงนั้นพรุ่งนี้ข้าหาเวลาไปดูสักหน่อยดีหรือไม่ ? ”

“ช่างเถอะ เขากลับมาก็มิสามารถเรียกเขาไปดื่มสุราได้อยู่ดี”

ฟู่เสี่ยวกวนมิค่อยเข้าใจเท่าใดนัก ฉินโม่เหวินเม้มปากเล็กน้อย “น้องสาวของข้าผู้นั้น… ค่อนข้างดุร้าย”

…..

…..

เปียนหรงเอ๋อสวมชุดขนสัตว์สีขาว ผมเผ้าถูกจัดไว้อย่างพิถีพิถัน ปิ่นดอกไม้สีทองปักทะลุมวยผม มีต่างหูแสนสวยประดับที่ใบหูทั้งสอง แม้แต่ใบหน้าที่งดงามเป็นทุนเดิมอยู่แล้วนั้น ก็ได้แต่งให้แก้มแดงระเรื่อขึ้นอีกเล็กน้อย

ผู้ใดเป็นคนกล่าวกันว่าสตรีแต่งหน้าเพื่อคนที่ตนรัก ?

เปียนหรงเอ๋อมองดูตนเองในกระจก ภายในใจเต็มไปด้วยความเศร้าโศก

หรือบางทีอาจจะเพราะทราบถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้ก็เป็นได้ บิดาของนางเปียนมู่หยูและองค์รัชทายาทเยียนเหลียงเจ๋อมิได้อยู่ที่นี่ในยามนี้

แม่ทัพหลานสะพายกระบี่ไว้ด้านหลัง ในมือถือกล่องเอาไว้ และได้ยืนอยู่ที่เบื้องหน้าธรณีประตูอย่างสงบนิ่ง มองใบหน้าด้านข้างที่งดงามนั้น แล้วหันหน้าหนี แต่มือกลับกำหมัดเอาไว้แน่น !

ฟู่เสี่ยวกวน !

แม่ทัพผู้นี้จะสับเจ้าให้เป็นหมื่น ๆ ชิ้น !

เปียนหรงเอ๋อสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วลุกขึ้นยืน พร้อมกับเอ่ยเสียงเรียบว่า “ฟ้ามืดแล้ว พวกเราไปกันเถอะ”

รถม้าหนึ่งคันวิ่งออกไปด้วยความเร็วราวกับกำลังเหาะไปตามท้องถนนที่เปล่าเปลี่ยวท่ามกลางหิมะที่กำลังตกโปรยปราย เปียนหรงเอ๋อเลิกผ้าม่านขึ้นเล็กน้อย สายลมพัดผ่านเข้ามาและได้พัดเอาเกล็ดหิมะที่เย็นเยียบเข้ามากระทบกับใบหน้าที่อ่อนนุ่มของนาง

นางมิได้รู้สึกถึงอากาศที่หนาวเหน็บเลยแม้แต่น้อย ภายในใจนั้นค่อย ๆ แตกสลายไปทีละนิด และเริ่มกระวนกระวาย

นางเพิ่งจะอายุได้เพียง 16 ปีเท่านั้น อีกทั้งยังเป็นสตรีที่ยังมิมีคู่หมั้นหมาย !

นางเข้าใจดีว่าจะเกิดอันใดขึ้นต่อจากนี้ นางมิทราบว่าต่อจากนี้ตนเองจะมีชีวิตต่อไปเยี่ยงไร หรือจะดับสิ้นเยี่ยงไร

ฟู่เสี่ยวกวน !

เจ้าคนต่ำช้า !

หรือว่าจะใช้ปิ่นนี้แทงเขาจนตายยามที่อยู่บนเตียงไปเลยดี ?

เปียนหรงเอ๋อครุ่นคิดเสียเนิ่นนาน ก่อนที่จะปล่อยวางความคิดนี้ไป เพราะหากฟู่เสี่ยวกวนมาตายในเงื้อมมือของตนเอง เกรงว่าการเดินทางมาเจรจาขององค์รัชทายาทจะล้มเหลว

จำต้องอดทน !

ไม่ว่าจะเป็นเยี่ยงไรก็ต้องอดทนไว้ !

เพื่อภารกิจอันใหญ่หลวงขององค์รัชทายาท และเพื่อตระกูลเปียนที่จะเติบโตในราชสำนักยิ่งขึ้นไปอีก

ในที่สุดรถม้าก็ได้มาถึงจวนฟู่ นางได้จัดการอารมณ์และความรู้สึกของตนเองอยู่ชั่วครู่ก่อนจะลงจากรถม้า ในตอนที่กำลังจะเคาะประตูจวน แต่ทันใดนั้นก็ได้พบเห็นรถม้าคันหนึ่งวิ่งมาท่ามกลางหิมะที่โปรยปราย

หลานข่ายเฝ้าระวัง คาดมิถึงว่ารถม้าคันนั้นจะหยุดลงที่จวนฟู่เช่นกัน หลังจากนั้นก็ได้มีคนผู้หนึ่งเดินลงมา

เปียนหรงเอ๋อได้เหลือบสายตาไปมอง และเขาก็คือฟู่เสี่ยวกวน !

เจ้าคนต่ำช้า !