ตอนที่ 482 แม่นางเข้าใจข้าผิดไปหรือไม่

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 482 แม่นางเข้าใจข้าผิดไปหรือไม่

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง

ช่างบังเอิญถึงเพียงนี้เชียวหรือ ?

หรือนางจะมาคอยข้าอยู่ที่นี่กัน ?

ดังนั้น เขาจึงยิ้มแล้วเดินก้าวไป หันไปมองดูหลานข่ายแล้วละสายตามายังใบหน้าของเปียนหรงเอ๋อ แสงจากโคมไฟที่ส่องกระทบมายังใบหน้าของแม่นางผู้นี้ทำให้ดูอ่อนโยนน่ามองมิน้อย

“แม่นางรอข้าอยู่ที่นี่เนิ่นนานแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

เปียนหรงเอ๋อยิ้มออกมาดูน่ามองเป็นอย่างมาก นางกล่าวด้วยความสุภาพว่า “ใช่แล้วเจ้าคะ อากาศหนาวเหน็บถึงเพียงนี้ การที่ข้าน้อยจะได้พบท่านสักคราช่างยากเย็นยิ่ง”

เสียงอันนุ่มนวลนั้นทำให้ฟู่เสี่ยวกวนขนลุกซู่ ดังนั้นเขาจึงยื่นหน้าเข้ามาใกล้ แล้วจึงรู้สึกว่าแม่นางผู้นี้ช่างแสดงได้เก่งเสียจริง

เปียนหรงเอ๋อใจสั่น นางนึกอยากจะถอยออกไป แต่ร่างกายกลับเอนไปข้างหน้า

นางนึกคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้ที่มักมากในกาม ต้องการจะโอบนางเข้าไปไว้ในอ้อมกอด แต่สิ่งที่นางคิดมิถึงก็คือ เจ้าหมอนี่กลับก้าวขาออกไปข้าง ๆ 1 ก้าว !

ต่อมาจึงได้ยินเพียงเสียง “ตุ้บ… ! ” และตามด้วยเสียง “โอ๊ย ! ” เปียนหรงเอ๋อล้มลงไปกองอยู่ที่พื้น

ฟู่เสี่ยวกวนเบิกตาโพลง “แม่นางเป็นอันใดหรือไม่ ? หิมะตกพื้นย่อมลื่น แม่นางจงระวังสักหน่อยเถิด”

เขากล่าวพลางก้าวขาถอยห่างออกไป มิได้สนใจที่จะพยุงเปียนหรงเอ๋อขึ้นมาแม้แต่น้อย

เปียนหรงเอ๋อพยุงตนเองลุกขึ้นมาจากพื้น แม้เสื้อคลุมของนางจะเปรอะเปื้อนไปด้วยหิมะ แต่ก็ยังดูสะอาดตา

“คุณชายปฏิบัติเช่นนี้กับสตรีเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ในใจของนางรู้สึกเดือดดาลมากยิ่งนัก แต่สีหน้านั้นมิได้แสดงออกถึงความรู้สึกใด ๆ ประโยคนี้ต่อให้นางกล่าวซ้ำไปซ้ำมา แต่ทว่าชายหนุ่มเยี่ยงฟู่เสี่ยวกวนก็มิอาจเข้าใจได้

ฟู่เสี่ยวกวนนำมือขึ้นลูบจมูกตนเองแล้วคิดในใจว่า หากข้ามิระวังเจ้า เกรงว่าเจ้าจะควักมีดออกมาแทงข้าแทนน่ะสิ

“มิใช่ว่าข้ามิรู้จักข้อควรปฏิบัติต่อสตรี เพียงแต่ว่าแม่นางมิใช่อาหารประเภทที่ข้าชอบ เกรงว่ากินเข้าไปแล้วจะท้องเสียได้”

เปียนหรงเอ๋อนำมือของตนตบไปที่หิมะบนร่างกายแล้วเงยหน้าขึ้นพร้อมกับเอ่ยถามว่า “คุณชายมิเคยได้ลิ้มลอง แล้วรู้ได้เยี่ยงไรว่าข้าน้อยมิใช่อาหารประเภทที่ท่านชอบกัน ? สตรีของแคว้นอี๋นั้นตั้งมั่นในความรัก อีกทั้งยังมีความสามารถที่หลากหลาย บัดนี้เป็นเวลาเหมาะเจาะ คุณชายมิคิดจะลิ้มรสดูหน่อยเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ภายในใจของฟู่เสี่ยวกวนร้อนผ่าวขึ้นมาทันใด ให้ตายสิ นี่จะเอาชีวิตกันเลยหรือเยี่ยงไรกัน !

คำโบราณที่กล่าวว่ามิมีแมวตัวใดมิชอบกินปลา ที่โบราณกล่าวไว้นั้นช่างถูกต้องอย่างแท้จริง !

ฟู่เสี่ยวกวนใช้แรงถูมือทั้งสองข้างไปมา สายตาของเขามองไปทางกล่องที่หลานข่ายถือเอาไว้แล้วกล่าวว่า “ข้าขอบอกกล่าวกับแม่นางตามตรงว่า เรื่องเงิน 300,000 ตำลึงนั้นข้ายังจัดการมิได้ จึงอึดอัดใจมากยิ่งนัก บัดนี้ข้าไร้ซึ่งอารมณ์จะลิ้มลองอาหารใดๆ”

เขากล่าวจบก็ส่ายหัว “น่าเสียดายยิ่ง อาหารเลิศรสอยู่เพียงแค่เอื้อมมือ… แม่นางเชิญกลับไปก่อนเถิด รอให้ข้าจัดการเรื่องเงิน 300,000 ตำลึงได้แล้ว ข้าจะไปหาแม่นางเพื่อผ่านค่ำคืนอันงดงามด้วยกัน”

กล่าวจบเขาก็ทำท่าจะเคาะประตู แต่เปียนหรงเอ๋อก็ได้เข้าไปคว้ามือเขาเอาไว้ ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกตกใจยิ่ง เขาเกือบจะหยิบปืนออกมายิงนางเสียแล้ว

“ช้าก่อนคุณชาย ข้าน้อยเดินทางมาเพียงแค่ต้องการช่วยคุณชายกำจัดเรื่องปวดหัวนี้”

เมื่อกล่าวจบนางก็ได้โบกมือเรียกหลานข่าย หลานข่ายนำกล่องที่อยู่ในมือยื่นออกไปให้เปียนหรงเอ๋อ มันหนักเสียจนเอวของเปียนหรงเอ๋อแทบจะหัก

“นี่คือเงิน 300,000 ตำลึง… คุณชาย คนอื่น ๆ นั้นอาจจะเดินทางไกลนับพันลี้เพื่อมอบขนห่านให้กับท่าน แล้วข้าน้อยเล่าจะสามารถมอบอันใดให้คุณชายได้บ้างกัน ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนใจหายวูบ แม่นางผู้นี้ ข้าแทบจะทนมิไหวอยู่แล้ว !

เขาหัวเราะเหอะ ๆ แล้วยื่นกล่องนั้นไปให้กับซูเจวี๋ย “แม่นางได้มอบความอบอุ่นให้แก่ข้า ข้านั้นซาบซึ้งใจยิ่ง มิว่าเยี่ยงไรในฐานะเจ้าของจวน ข้าก็ควรจะแสดงน้ำใจแก่แม่นางเสียบ้าง เชิญแม่นางเข้าไปด้านในจวนก่อนเถิด ! ”

เปียนหรงเอ๋อได้ถอนหายใจยาวออกมา เงินจำนวน 300,000 ตำลึง เพิ่งแลกมาได้กับการที่ตนจะได้ก้าวเข้าไปในจวนเท่านั้นเอง

“เช่นนั้น ข้าน้อยขอรบกวนเข้าไปในจวนท่านสักหน่อยนะเจ้าคะ”

“มองดูแล้วแม่นางก็เป็นบุตรสาวตระกูลใหญ่ มิเกรงกลัวว่าหากเข้าไปในจวนข้าแล้วจะถูกข้ากินเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

เปียนหรงเอ๋อเลิกคิ้วขึ้น ริมฝีปากของนางเผยอขึ้นแล้วกล่าวว่า “ข้าน้อยนั้นเป็นบุตรสาวของตระกูลใหญ่มิผิด เพียงแต่ข้าน้อยกลัวว่าคุณชาย…” นางเอนร่างไปด้านหน้าแล้วยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้หูของฟู่เสี่ยวกวน พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เชิญชวนให้หลงใหลเมามายว่า “หากท่านกล้ากินข้า ข้าก็กล้ากินท่านเช่นกัน ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงเสียจนแทบจะกระโดดหนี ให้ตายสิ นี่มันปิศาจชัด ๆ !

เขากลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะตอบด้วยท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ ว่า “เช่นนั้น…พวกเราเปลี่ยนสถานที่กันดีหรือไม่ ? ”

“ตามใจท่านเถิดเจ้าค่ะ”

“ขึ้นรถ ตามข้ามา”

“เจ้าค่ะ ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้กลับเข้าไปในจวน เขาให้ซูเจวี๋ยขับรถม้าของตนและให้รถม้าของหลานข่ายตามออกมาจากจวนฟู่ เพื่อไปยัง…หอซื่อฟาง

เปียนหรงเอ๋อเข้าใจดีว่าในคืนนี้นางคงจะมิรอดแล้วเป็นแน่ จึงได้ปล่อยวางลง หากว่านางสามารถช่วยเหลือองค์รัชทายาทได้ เพียงแค่เสียสละเนื้อหนังมังสาสักเล็กน้อยจะเป็นอันใดไปกัน ?

ตลอดทางนางได้เปิดหน้าต่างเพื่อให้สายลมเย็นยะเยือกพัดเข้ามาด้านใน แต่หากว่าจะต้องเสีย แน่นอนว่านางจะต้องได้ด้วย

ค่ำคืนนี้จะต้องให้ฟู่เสี่ยวกวนตกลงเรื่องเวลาการเจรจาให้ได้ และมิว่าเยี่ยงไร นางจะต้องให้ฟู่เสี่ยวกวนเดินทางไปยังหงซิ่วจาวให้จงได้ !

ซูเจวี๋ยแบกกล่องดำเอาไว้ที่หลัง และอุ้มกล่องเงินเอาไว้ อีกทั้งเขายังต้องขับรถม้า นี่มิใช่ปัญหา ปัญหาของเขาก็คือ… ศิษย์น้องเล็กจะแอบกินจริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ?

ศิษย์น้องเล็กผู้นี้ช่างเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่สำนักเต๋าจริง ๆ มิเหมือนกับเขา ศิษย์น้องสามส่งมาให้ถึงปาก แต่ตนกลับมิกล้าแม้แต่จะชิม

เฮ้อ… แข่งกันไปก็ตายเปล่า !

ต่อจากนี้ไป ตนรู้สึกว่าควรจะปล่อยวางลงเสียบ้าง จะทำให้ศิษย์น้องสามเสียเวลาต่อไปมิได้

เพียงแต่ศิษย์น้องเล็กจะแอบกิน เหตุใดจึงมาที่หอซื่อฟางกัน ?

หรือที่นี่มีโรงเตี๊ยมด้วยเยี่ยงนั้นหรือ ?

บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนพยายามเก็บกองไฟที่สุมทรวงอยู่ในอกของเขาเอาไว้ แล้วยิ้มออกมา ในเมื่อได้เงิน 300,000 ตำลึงมาแล้ว ก็ควรจะเลี้ยงข้าวทุกคนเสียหน่อย

แต่หากจะกินที่จวนฟู่นั้นคงจะมิสะดวกเท่าใดนัก แม่นางผู้นี้ใจกล้าเกินไป เกรงว่าจะนำความเดือดร้อนมาให้แก่ตน

รถม้าเดินทางมาถึงหอซื่อฟาง เปียนหรงเอ๋อลงจากรถม้าพลางมองดูไปที่หอซื่อฟางจากนั้นก็งงเป็นไก่ตาแตก… เขาควรจะพานางไปที่โรงเตี๊ยมมิใช่หรือ ? เหตุใดจึงพานางมาที่นี่กันเล่า ?

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะเหอะ ๆ แล้วเดินตรงมาที่นาง “หากจะกล่าวเรื่องอาหารเลิศรสในเมืองจินหลิง แน่นอนว่าจะต้องเป็นที่หอซื่อฟาง เชิญแม่นางเถิด”

“กินข้าวเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“กองทัพต้องเดินด้วยท้อง แน่นอนว่าก่อนจะทำสิ่งอื่นใดก็ควรจะกินข้าวเสียก่อน”

เปียนหรงเอ๋อคิดดูแล้ว คาดว่าเจ้าหมอนี่คงจะยังมิได้กินมื้อเย็น คงตั้งใจจะกินอิ่มเพื่อเก็บแรง

ทั้งสี่คนจึงเดินขึ้นไปยังหอซื่อฟาง ฟู่เสี่ยวกวนสั่งอาหารชั้นเลิศมาเต็มโต๊ะ จากนั้นก็สั่งสุราเทียนฉุนมาหนึ่งลัง

“ที่แคว้นอี๋มีสุรานี้จำหน่ายหรือไม่ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนเปิดสุราขึ้นมาหนึ่งขวด แล้วรินให้เปียนหรงเอ๋อกับซูเจวี๋ย แต่กลับมิรินให้หลานข่าย

“ได้ยินมาว่าสุรานี้ท่านเป็นผู้คิดค้นวิธีกลั่น ? ที่เมืองหลวงไท่หลินมีสุรานี้จำหน่ายอยู่”

“พวกเรามาทำการตกลงการค้ากันเถิด ปีหน้าข้าจะจัดส่งสุรานี้ไปให้เจ้า เจ้านำไปจำหน่ายที่เมืองไท่หลิน พวกเราแบ่งกันเจ็ดต่อสาม ข้าเจ็ด เจ้าสาม เห็นว่าเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”

ไม่สิ ในหัวของเจ้าบัดนี้กำลังคิดอันใดอยู่กัน ? เหตุใดอยู่ ๆ ถึงยกเอาเรื่องสุราขึ้นมาสนทนาได้ ?

เปียนหรงเอ๋อยิ้มแล้วกล่าวว่า “ข้อเสนอนี้มิเลวเสียทีเดียว อืม… ข้าน้อยขอดื่มให้กับคุณชาย 1 จอก”

ทั้งสองดื่มเข้าไปคนละจอก เปียนหรงเอ๋อหยิบขวดสุราขึ้นมาแล้วรินสุราลงไปพร้อมกับเอ่ยว่า “เพียงแต่หากว่าคุณชายเลื่อนการเจรจาออกไปเรื่อย ๆ ข้าน้อยคงจะมิได้กลับไปที่แคว้นอี๋ในเร็ววัน…”

นางวางขวดสุราลงแล้วกล่าวว่า “ขออนุญาตเอ่ยถามคุณชาย เมื่อใดจึงจะถึงเวลาเจรจากัน ? ”

“เรื่องนี้มิรีบ ในเมื่อมาแล้ว ก็อยู่เที่ยวเล่นที่เมืองจินหลิงกันเสียก่อนเถิด”

“หากว่าค่ำคืนนี้ข้าอยู่เป็นเพื่อนหาความสุขให้ท่านอย่างสำราญใจ…”

“อ่า… แม่นางเข้าใจอันใดข้าผิดไปหรือไม่ ? แม่นางอาจจะมิรู้ว่าข้านั้นยุ่งวุ่นวายอย่างแท้จริง ! ”

“… ? ”