บทที่ 110 ความเข้าใจพลังของเมืองหลวง

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 110
ความเข้าใจพลังของเมืองหลวง

ผู้จัดการหวู่จ้องไปที่พนักงานและหันมาพูดกับมู่หรงเสวี่ยอย่างสุภาพ “คุณผู้หญิงคิดว่าควรจะต้องจัดการยังไงดีครับ?”

มู่หรงเสวี่ยพูดออกมาสบายๆ “คุณหวู่เป็นผู้จัดการ การที่จะตัดสินใจยังไงก็เป็นสิทธิของคุณ แต่ตอนนี้ฉันไม่พอใจอย่างมาก ไม่พอใจจริงๆและไม่อยากที่จะซื้อแล้วด้วย!” เธอไม่ใช่คนผิด

ผู้จัดการหวู่คิดอยู่สักพักแล้วจึงหันไปพูดอย่างเย็นชากับพนักงานขายคนนั้น “เธอกลับไปได้แล้ว และต่อไปก็ไม่ต้องมาทำงานอีก ส่วนเรื่องเงินเดือนจะจะจัดการโอนเข้าบัญชีให้”

“ผู้จัดการ…” หญิงสาวจ้องไปที่เขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“เธอลืมกฎของพนักงานไปแล้วหรือไง?! ฉันเดินมาได้ยินเธอพูดใส่ลูกค้าเสียงดังอยู่ตั้งนาน เธอละเมิดกฎที่ร้ายแรงของบริษัท…” ผู้จัดการหวู่พูด
“ผู้จัดการหวู่ คุณลืมหลิวตงไปแล้วเหรอคะ? หลิวตงไม่ยอมแน่ถ้าคุณไล่ฉันออก!” หลิวตงเป็นเจ้านายเก่าของเธอ เขาเป็นเศรษฐีในเมืองหลวง อายุประมาณ 40 ถึงแม้เขาจะไม่ได้รวยที่สุดแต่ก็ถือว่าดีมาก เธอเคยรวมหัวกันกับหลิวตงตอนที่เขาจะซื้อบ้าน ต่อมาเธอก็กลายเป็นเมียน้อยของหลิวตง เขาพาลูกค้ามาให้เธอมากมาย ทำให้เธอเหมือนหนูตกถังข้าวสารและค่าคอมมิชชั่นของเธอก็สูงมากด้วย ดังนั้นเธอจึงไม่อยากที่จะลาออก

เธอไม่ใช่คนโง่ ตอนนี้หลิวตงยังสนใจในตัวเธอเขาจึงยอมที่จะบำเรอเธอทุกอย่าง แต่อีกไม่นานเขาก็จะต้องเบื่อเธอและมีเพียงงานเท่านั้นที่เป็นเครื่องการันตีได้

“หลิวตงงั้นเหรอ?! ฉันเชื่อว่าเขาคงไม่โง่พอที่จะมีปัญหากับเตงเฟยกรุ๊ปของเราหรอกนะ…” เธอไม่รู้ หญิงสาวคิดว่าเธอจะสู้ได้ แต่พวกเขาไม่กลัวหลิวตงเลย จึงหันไปจ้องเขาเล็กน้อย

หญิงสาวกัดริมฝีปากและเดินกระทืบรองเท้าส้นสูงออกไปอย่างเกลียดชัง นังเด็กบ้า จะจำไม่มีวันลืมเลย

“คุณผู้หญิง พอใจกับการจัดการไหมครับ?” ผู้จัดการหวู่ถามพร้อมรอยยิ้ม

“นี่เป็นธุรกิจของคุณ สิ่งที่คุณทำไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน ฉันอยากที่จะซื้อวิลล่านี้ เอกสารจะดำเนินการเสร็จเมื่อไร?” มู่หรงเสวี่ยถาม เธอไม่ชอบพักที่โรงแรมและมันดีกว่าที่จะรีบซื้อที่พักเป็นของตัวเอง

“เป็นการชำระแบบเป็นเงินก้อนหรือว่าผ่อนชำระดีครับ?”

“จ่ายเป็นก้อนทีเดียวเลย โดยการโอนเงิน!”

“โอเคครับ งั้นเชิญตามผมมาได้เลยครับ”

ผู้จัดการหวู่ช่วยมู่หรงเสวี่ยจัดการเรื่องเอกสารจึงใช้เวลาไม่นาน เพราะมู่หรงเสวี่ยซื้อวิลล่าราคากว่า 100 ล้านในครั้งเดียว ดังนั้นเธอจึงถูกจัดเป็นลูกค้า VIP และจะได้รับการดูแลอย่างดีและด้วยความรวดเร็ว

มู่หรงเสวี่ยขับไปที่บ้านใหม่ซึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างวิทยาลัยอลิซและวิทยาลัยการแพทย์พอดีทำให้สะดวกสำหรับพวกเธอทั้งคู่ที่จะเดินทางไปเรียน ซึ่งอยู่ในระยะทางที่สามารถเดินได้ วิลล่ามีพื้นที่กว่า 2,000 ตรว.และมีสวนต่างหากด้วย ที่สนามมีวัชพืชอยู่นิดหน่อยแต่ก็ไม่กระทบความสวยของดอกไม้มากมายที่กำลังบาน ที่ด้านซ้ายของสวนมีศาลาและน้ำตกอยู่ข้างๆสวนด้วย ส่วนที่ด้านขวาจะเป็นสระว่ายน้ำ วิลล่านี้มีทั้งหมดสามชั้น ด้านนอกจะเป็นสีขาวนมและมีสไตล์ยุโรปพร้อมทั้งล้อมรอบไปด้วยสวนซึ่งทำให้มู่หรงเสวี่ยรู้สึกผ่อนคลายอย่างมาก

เธอเดินไปรอบๆวิลล่าเพื่อดูว่ามีตรงไหนที่จะต้องปรับปรุงบ้างหรือเปล่าและพบว่ามันมีโรงจอดรถใต้ดินด้วยแต่ก็เป็นโกดังใต้ดินได้ด้วย ซึ่งเหมาะกับเธออย่างมาก ที่นี่มีโกดังใต้ดินสามห้องที่เธอสามารถใช้เป็นที่เก็บของได้ เดิมทีเธออยากที่จะเปลี่ยนด้านนอกให้เป็นโกดังเก็บของแต่ตอนนี้ไม่จำเป็นแล้ว ที่ชั้นแรกจะเป็นห้องนั่งเล่นหลักและห้องครัว ข้างๆทางเดินจะมีห้องอีกประมาณ 20 ห้องซึ่งไม่ใหญ่มากนักดูแล้วน่าจะเป็นห้องของพวกแม่บ้าน อย่างไรก็ตามเธอไม่อยากที่จะวุ่นวายเรื่องแม่บ้านมากเกินไป แต่จะต้องมีการ์ดนอกจากนี้ในวิลล่าจะต้องติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยด้วย
ที่ชั้นสองและชั้นสามมีห้องนอนใหญ่และห้องนอนแขกมากมายหลายห้องซึ่งเพียงพอแล้ว และในแต่ละชั้นยังมีห้องยิมอีกด้วย ดังนั้นมู่หรงเสวี่ยคงจะอยู่ในวิลล่านี้อย่างสะดวกสบายมากแน่ๆ

หลังจากที่ซื้อวิลล่าแล้ว ส่วนที่เหลือก็คือการเข้าใจอำนาจของเมืองหลวง เธอต้องหาคนมาสืบเรื่องนี้แต่ก็ไม่อยากให้เป็นที่สังเกตมากนัก อีกอย่างเธอมีคนรู้จักที่เมืองหลวงด้วย งั้นเธอจะขอให้เขาช่วยสืบจะดีกว่า

มู่หรงเสวี่ยโทรหาชูอี้เสิ่น ครั้งนี้เธอไม่ได้นัดออกไปข้างนอกแต่บอกที่อยู่วิลล่าของเธอไปโดยตรง เพราะเธอต้องถามคำถามมากมายจึงไม่ค่อยดีเท่าไรที่จะออกไปที่ร้านอาหาร โชคดีที่ในมิติลับมีอาหารอยู่มากมายเธอจึงไม่ต้องออกไปข้างนอกเพื่อซื้อของสด แม้แต่ข้าว, น้ำมัน, เกลือและน้ำส้มสายชูก็มีเตรียมไว้แล้วด้วย นอกจากนี้พวกอาหารในมิติลับก็ได้รับผลจากน้ำแห่งจิตวิญญาณทำให้อร่อยมากขึ้นกว่าเดิมจนแทบจะไม่ต้องปรุงอะไรเลย

เธอเอาอาหารมากมายออกมาไว้ในครัวและในตู้เย็นแล้วจึงเริ่มที่จะเตรียมอาหารกลางวัน

พี่ชูคงจะใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงในการขับรถมาที่นี่ แค่ครึ่งชั่วโมงก็เพียงพอที่จะเตรียมอาหารกลางวันแล้ว เธอไม่เคยใช้อย่างอื่นในการปรุงอาหารเลย แม้แต่น้ำที่ใช้หุงข้าวก็ยังเป็นน้ำแห่งจิตวิญญาณ

หลังจากนั้นประมาณ 40 นาทีกระดิ่งหน้าบ้านก็ดังขึ้นมา
มู่หรงเสวี่ยเพิ่งทำอาหารเสร็จเธอจึงยังไม่ได้เปลี่ยนชุด เธอกดปุ่มเปิดประตูรั้วด้านนอกสวนและเปิดประตูโรงรถ สุดท้ายเธอก็เปิดประตูวิลล่า ในใจของเธอพี่ชูเหมือนกับครอบครัว เหมือนกับพ่อแม่ของเธอ เธอจึงไม่ได้คิดอะไรมากที่จะเดินออกไปด้วยชุดที่ไม่ค่อยเหมาะสมแบบนี้

“พี่ชู มาแล้วเหรอคะ!” มู่หรงเสวี่ยยืนยิ้มทักทายชูอี้เสิ่นที่เพิ่งเข้ามาอย่างมีความสุขอยู่ที่ประตู
ชูอี้เสิ่นดวงตาเป็นประกาย เขาชอบที่ได้เห็นมู่หรงเสวี่ยที่ดูผ่อนคลายอยู่ตรงหน้าเขา ทำให้เขารู้สึกใกล้ชิดกับเธอมากขึ้น “นี่สำหรับเธอ ยินดีด้วยนะสำหรับการย้ายบ้านใหม่!”
“ขอบคุณนะคะ เข้ามาก่อนสิคะ ฉันเพิ่งทำอาหารกลางวันเสร็จ มากินด้วยกันสิคะ” มู่หรงเสวี่ยรับกุหลาบแดงที่แสนสวยมาแล้วเอาไปใส่แจกันในห้องนั่งเล่น

เธอเดินเข้าไปในห้องครัวและนำอาหารที่เธอเพิ่งทำเสร็จออกมาวางที่โต๊ะ เธอทำอาหารเพิ่งเสร็จสี่จานและมีน้ำแกงอีกหนึ่งอย่าง เพราะกินกันเองแค่สองคนเธอจึงไม่ได้ทำอะไรมาก “พี่ชูเข้ามานี่เร็ว” เธอเรียกชูอี้เสิ่นและตักน้ำแกงให้

“โอเคเลย!” ชูอี้เสิ่นยิ้มด้วยสายตา
“เสี่ยวเสวี่ยมีทักษะเรื่องการทำอาหารจริงๆเลยนะ…” ดูเหมือนว่าอาหารฝีมือมู่หรงเสวี่ยที่เขาเคยกินที่เมือง A ก็ผ่านมานานแล้วเหมือนกัน เขารู้สึกว่าอาหารฝีมือเสี่ยวเสวี่ยอร่อยมากๆ หลังจากที่เขากลับมาเมืองหลวงเขาเที่ยวชิมอาหารไปเรื่อย แม้เขาจะไปร้านอาหารสุดหรูแต่ก็ยังไม่เจอที่ไหนที่รสชาติเหมือนฝีมือของเธอเลย เมื่อเวลาผ่านไปเขาก็ได้รู้ว่าแม้ร้านอาหารจะหรูหราแค่ไหนแต่ก็ทำรสชาติได้ไม่ดีเหมือนกับเธอ ทำให้เขาได้รู้ว่าฝีมือการทำอาหารของมู่หรงเสวี่ยไม่เหมือนใครจริงๆ
“ไม่นะ ฉันก็รู้สึกเหมือนเดิม แค่ว่าอาหารของฉันมันไม่เหมือนกับข้างนอกแค่นั้นเอง” ฝีมือการทำอาหารของเธอไม่ได้เหนือกว่าคนอื่นแต่สิ่งที่ดีคือวัตถุดิบที่เธอมีต่างหาก

“เอ๊ะ นี่มันไม่ใช่ผักหรือเนื้อทั่วไปใช่ไหม? แบบนี้คงต้องกินเยอะๆซะแล้ว…” ยิ่งเขากินเข้าไปมากเท่าไร มันก็ยิ่งอร่อยจนเขาหยุดไม่ได้

“นี่เป็นงานวิจัยและการพัฒนาใหม่ของฉัน แล้วในอนาคตฉันก็จะเปิดตัวสู่ตลาดด้วย ทุกคนจะได้กินของอร่อยกัน…” เธอคิดแผนนี้ไว้จริงๆแต่ตอนนี้ธุรกิจของเธอยังไม่ใหญ่เท่าไรและเธอไม่อยากที่จะเป็นที่จับตามอง จึงยังไม่อยากที่จะทำอะไรเร็วไป

หากนี่เป็นเหตุผลของวัสดุอาหารจริงๆก็เป็นไปได้ว่าผักจะทำให้เกิดความปั่นป่วนในตลาดได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นสินค้าที่ผู้คนต้องใช้ทุกวันด้วย

ดูเหมือนว่าเขาจะเห็นเส้นทางของมู่หรงเสวี่ยในการสร้างอาณาจักรการค้าได้เลย
แม้แต่ผลิตภัณฑ์ความงามและผิวพรรณตัวล่าสุดก็ไม่ธรรมดา เสี่ยวเสวี่ยไม่ใช่ผู้หญิงทั่วไปจริงๆ บางทีสักวันเธอจะต้องไปไกลมากแน่ๆ แต่สิ่งที่กลัวที่สุดคือเธอจะถูกฆ่าก่อนที่เธอจะเริ่มพัฒนา ถ้าเขาไม่รู้จักเธอ หลังจากที่ได้รู้เรื่องนี้เขาคงจะต้องทำทุกอย่างเพื่อกันไม่ให้เธอก้าวนำไปได้แน่ๆ แต่ตอนนี้เขาจะไม่ทำ เขาจะไม่ห้ามเธอแต่เขาจะปกป้องเธอจากอันตรายทั้งปวง

“เสี่ยวเสวี่ย อย่าเอาเรื่องพวกนี้หรือแผนในอนาคตไปบอกใครอีกนะ สนามการค้าก็เหมือนกับสนามรบ คนอื่นคงไม่ใจดีกับเธอ…” ชูอี้เสิ่นเตือนเธอด้วยความอ่อนโยน

มู่หรงเสวี่ยยิ้มและพูดออกมา “รู้ไหมในเมื่อพี่ชูพูดออกมาแบบนี้แล้ว พี่ชูมาร่วมมือกับฉันไหมล่ะ?”

“ฉันจะทำได้ยังไง?!! ไม่ได้หรอก…”

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันรู้ว่าพี่ชูไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก…อย่าเพิ่งพูดเลยรีบกินเถอะค่ะ เดี๋ยวอาหารเย็นหมด หลังจากกินเสร็จฉันมีหลายเรื่องเลยที่จะถามพี่ชู…”

เธอเชื่อเขา…ชูอี้เสิ่นหัวเราะ

หลังจากที่ทานอาหารเสร็จ ทั้งสองก็ไปนั่งกันที่ห้องนั่งเล่น

“พี่ชูถ้าเป็นแบบนั้น พี่บอกฉันทีได้ไหมว่าอะไรคือพลังที่ยิ่งใหญ่ในเมืองหลวง? ฉันพร้อมที่จะขยายอาชีพมาที่เมืองหลวงแล้ว การพัฒนาที่เมือง Aเริ่มจะอยู่ตัวแล้ว…”

“เธอจะก้าวเข้ามาในเมืองหลวงงั้นเหรอ?” ชูอี้เสิ่นถามด้วยความแปลกใจ

“อีกอย่างเดือนหน้าฉันจะต้องเข้ามาเรียนที่เมืองหลวงด้วย ฉันเลยอยากที่เข้ามาที่เมืองหลวง…”

“ตลาดในเมืองหลวงทุกด้านเริ่มอิ่มตัวแล้ว แน่นอนว่าสินค้าของเธอไม่ต้องกลัวว่าจะขายไม่ได้นะ ปัญหาคืออุตสาหกรรมหลักทั้งหมดในเมืองหลวงถูกควบคุมอย่างเข้มงวดโดยพวกตระกูลหลักและก็ไม่ได้เข้าไปกันได้ง่ายๆด้วย ฉันกลัวว่าเธอจะถูกเขี่ยออกมาก่อนที่จะได้พัฒนาอะไรนะสิแล้วตระกูลพวกนั้นก็จะไม่ยอมให้เธอทำด้วย…” เขาพูดเรื่องจริงแม้แต่เขาเองก็ยังไม่ได้เข้ามาได้ง่ายเหมือนกัน ยังไงซะแต่ละตระกูลก็จะเกื้อหนุนกันเอง ตราบเท่าที่ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่คุกคามครอบครัวของพวกเขา พวกเขาก็จะไม่ขัดแย้งกับครอบครัวอื่น ไม่งั้นคนพวกนั้นจะโต้ตอบทันที

มู่หรงเสวี่ยรู้ว่ามันไม่ง่าย เธอตั้งใจที่จะขยายธุรกิจมาตั้งแต่ยังเด็กๆงั้นต่อให้พวกเขารู้เรื่องก็คงหยุดอะไรเธอไม่ได้ แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่พี่ชูพูด แม้แต่องค์กรขนาดเล็กก็ถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวด เธอเองก็รู้ดีว่ายาของบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปดีแค่ไหน แล้วจะต้องดึงดูดความสนใจของผู้คนได้แน่ๆ ดูเหมือนว่าเธอจะรีบร้อนมากเกินไป มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ้ว “พี่ชู อย่าเพิ่งคุยถึงเรื่องธุรกิจอื่นเลย ฉันขยายอ้ายเสวี่ยมาเมืองหลวงได้ ยังไงซะเลิฟสโนว์ (อ้ายเสวี่ย)กับลิซิโก(เครือลิซซี่)ก็ได้ร่วมธุรกิจกันแล้ว…” สำหรับเรื่องบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ป เธอต้องคุยกับพี่กู่อีกครั้งแล้วถึงจะรู้ว่าจะเอายังไงต่อ

“เลิฟสโนว์งั้นเหรอ? ปัญหาของเลิฟสโนว์ก็ไม่ได้มีอะไรใหญ่นี่ สินค้าบางตัวที่เธอส่งมาคราวก่อนก็ถูกส่งมาทดลองที่ลิซซี่พาวิลเลี่ยนแล้วเหมือนกัน มีหลายคนที่สงสัยว่าเลิฟสโนว์เป็นธุรกิจของลิซซี่พาวิลเลี่ยนแล้ว เราช่วยปกป้องเลิฟสโนว์ได้”

“งั้นฉันจะขยายเลิฟสโนว์มาก่อนแล้วกัน ส่วนเรื่องอื่นๆฉันจะหาวิธีอื่นเอง ขอบคุณนะพี่ชู”

“ขอบคุณเรื่องอะไร?! ฉันยังติดค้างชีวิตเธออยู่เลย ฉันสิที่ต้องบอกว่าขอบคุณเธอ อีกอย่างนะในเมื่อเธอจะมาเรียนที่เมืองหลวงแล้วงั้นฉันจะพูดถึงเรื่องตระกูลใหญ่ๆของเมืองหลวงให้ฟัง มันดีกว่าที่จะต้องรู้อะไรมากขึ้น”

“โอเคค่ะ! งั้นถ้าฉันระวังก็จะไม่เข้าไปยุ่งกับคนที่ไม่ควรเข้าไปยุ่งใช่ไหมคะ”

“ตระกูลแรกของเมืองหลวงที่ไม่ควรจะเข้าไปยุ่งด้วยคือตระกูลชางกวนซึ่งเป็นตระกูลใหญ่มากและมีอำนาจครอบคลุมทั่วทั้งหมด นอกจากนี้ยังเป็นตระกูลแรกของห้ากลุ่มสำคัญทางการเงินด้วย และผู้สืบทอดก็คือเจ้าชายของเมืองหลวง ชางกวนโม่…” เมื่อชูอี้เสิ่นพูดถึงเรื่องนี้ เขาก็มองไปที่มู่หรงเสวี่ย เขายังไม่ลืมความยุ่งเหยิงของมู่หรงเสวี่ยกับชางกวนโม่ ในวันนั้นภาพเธอร้องไห้หัวใจแทบสลายยังตราตรึงอยู่ในใจของเขาดีซึ่งทำให้หัวใจของเขาแทบจะทนความเจ็บปวดนั้นไม่ไหว

ทันทีที่มู่หรงเสวี่ยได้ยินชื่อของชางกวนโม่ หัวใจที่คิดว่าสามารถทนได้ก็เกิดความรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอีกครั้ง ทันใดนั้นสีหน้าเธอก็กลายเป็นซีดลงเล็กน้อยแต่เธอจะไม่ร้องไห้ ร้องไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ตั้งแต่ตอนนั้นเขากับเธอก็จบกันไปแล้วและไม่มีปัญหาอะไรที่จะต้องคุยกันอีก เธอพยักหน้าและทำท่าให้ชูอี้เสิ่นพูดต่อ

ชูอี้เสิ่นเสียใจที่พูดถึงชายคนนั้นเมื่อเห็นว่าสีหน้าของเธอเปลี่ยนไป เขาเพียงแค่อยากจะเตือนเธอถึงอันตรายของการเข้าไปอยู่ในตระกูลชางกวน

แต่ถ้ามู่หรงเสวี่ยล้มลงเขาก็พร้อมที่จะปกป้องเธอเอง เขารู้ว่าเธอต้องทรมานมามาก

“ถึงแม้ตอนนี้ชางกวนโม่จะเป็นคนเข้ามาดูแลแต่ยังไงซะก็มีหลายคนที่ไม่ยอมรับเรื่องนี้ พูดกันว่าคนที่สมควรน่าจะเป็นน้องชายเขาที่ชื่อชางกวนหลิน แต่ดูเหมือนว่าสองคนนี้จะไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไรและสองคนนี้ก็ไม่เคยปรากฏกายในที่สาธารณะด้วยกันเลย ช่วงกลางคุณปู่ของพวกเขาจะเป็นคนดูแล ตอนนี้ไม่มีใครในตระกูลชางกวนกล้าที่จะขัดขืนคำสั่งเขาเลย นอกจากนี้ธุรกิจในตระกูลของชางกวนก็เกี่ยวข้องกับหลายธุรกิจ เป็นตระกูลเดียวที่เกี่ยวข้องกับทุกธุรกิจในเมืองหลวง…”

มู่หรงเสวี่ยพยักหน้า อันที่จริงเธอรู้เรื่องของตระกูลชางกวนมาแล้วเล็กน้อยจากการที่เธอได้อยู่กับชางกวนโม่ เธอคิดว่าตัวเองจะได้อยู่กับเขาไปชั่วชีวิต…ตลอดไป

“ตระกูลที่สองของเมืองหลวงก็คือตระกูลชูของเราและตระกูลชูของเราก็เป็นหนึ่งในห้ากลุ่มสำคัญทางการเงินด้วยเหมือนกันแต่อยู่ในอันดับที่ห้า ส่วนอีกสามอันดับไม่ใช่ของเรา ครอบครัวชูของเราส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมความงามและอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และการพนัน เท่าที่ฉันรู้เธอน่าจะซื้อวิลล่านี้ในอสังหาริมทรัพย์ของเราภายใต้ตระกูลชูด้วยเหมือนกัน ฉันเห็นวิลล่านี้ในเมืองหลวงมานานแล้วแต่ก็ไม่คิดว่าเธอจะเป็นมาซื้อ ตระกูลชูคือพ่อของฉันเอง ชูฮ่าวฟาง แต่ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ก็ยังต้องขอความเห็นชอบของคุณปู่อยู่ ในอนาคตฉันจะเป็นผู้สืบทอดของตระกูล อย่างน้อยก็แค่เบื้องหน้าและน้องสาวฉัน ชูหลิงหลิง ที่เธอเคยเจอแล้ว เป็นผู้หญิงที่ดื้อสุดๆ”