บทที่ 111 การพบกันของคนทั้งสี่

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 111
การพบกันของคนทั้งสี่

“ฉันไม่คิดเลยนะว่าพี่ชูจะทรงอำนาจขนาดนี้แถมมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งอีกต่างหาก ฉันจะได้ทำตัวถูก”

ชูอี้เสิ่นไม่มีทางเลือกนอกจากยิ้ม อันที่จริงในตระกูลใหญ่แม้แต่ญาติกันก็ยังแทงกันข้างหลังได้แต่เขาไม่ได้พูดออกไป “ฮ่าฮ่า โอเคงั้นให้ฉันดูแลเธอ ฉันจะปกป้องเธอเองถ้าเธออยากที่จะทำอะไรในอนาคต” ในสายตาของเขามีความจริงจังอย่างที่อธิบายไม่ได้

มู่หรงเสวี่ยยิ้ม เธอไม่คิดอะไรจริงจัง เธอจะไม่รอการปกป้องจากคนอื่นเพราะเธออยากที่จะรีบทำตัวเองให้แข็งแกร่งเพื่อที่จะได้ปกป้องคนที่สำคัญในชีวิตได้ “โอเค พี่ชูอย่างมาล้อฉันเล่นเลย เล่าต่อสิคะ มีคนพวกไหนในเมืองหลวงอีกที่ต้องให้ความสนใจบ้าง?”
“แล้วก็ยังมีตระกูลโม่อีก ตระกูลโม่เป็นตระกูลทหารและนักการเมือง แม้ว่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องการค้าขายด้วยก็ตามแต่ก็ยังไม่ถูกจัดอันดับในเมืองหลวงเพราะยังจัดอันดับไม่ได้ อย่างไรก็ตามไม่มีตระกูลไหนกล้าที่จะเข้ามายุ่งกับตระกูลโม่ ตั้งแต่อดีตแล้ว ไม่มีใครกล้าที่จะทำธุรกิจกับตระกูลนี้”

“ไม่ต้องพูดถึงตระกูลโม่หรอกค่ะ ฉันสนิทกับตระกูลนี้ดี!” มู่หรงเสวี่ยพูด

“เธอมีเพื่อนอยู่ในตระกูลโม่ด้วยเหรอ?” ชูอี้เสิ่นรู้สึกตกใจ เสี่ยวเสวี่ยมีต้นกำเนิดยังไงเนี่ย? ตระกูลเล็กๆของเมืองเล็กๆแต่สามารถเป็นเพื่อนกับตระกูลโม่ได้ มีหลายคนที่อยากจะเข้ามาเป็นเพื่อนกับตระกูลโม่แต่ก็ถูกปฏิเสธกลับมา

“คือบังเอิญว่าหลานสาวของคุณปู่โม่กับฉันเราเป็นเพื่อนสนิทกัน เราก็เลยค่อนข้างที่จะคุ้นเคยกันดี” มู่หรงเสวี่ยพูดพร้อมรอยยิ้ม

“คุณปู่โม่กับหลานสาวงั้นเหรอ?” ทำไมเขาไม่เคยรู้เรื่องนี้? เขามีหลานชายที่ชื่อโม่หลิวเฟิงคนเดียวไม่ใช่เหรอ?!
มู่หรงเสวี่ยตะลึงแต่แล้วก็นึกได้ว่าโม่อ้ายหลี่ถูกพาไปอยู่ที่เมือง Aตั้งแต่ยังเด็ก แค่เพื่อที่จะปกป้องเธอดังนั้นตัวตนของเธอจึงไม่ถูกเปิดเผย แม้แต่ในชีวิตที่แล้วของเธอ ตัวตนของโม่อ้ายหลี่ก็ยังถูกปิดบังไว้จนกระทั่งเธออายุ 18 “พี่ชู ฉันขอพี่เรื่องสิ ตระกูลโม่ไม่เปิดเผยตัวตนของเธอเพื่อที่จะปกป้องเธอ งั้นฉันหวังว่าพี่ชูจะช่วยเก็บเรื่องนี้ไว้ที”

“ไม่ต้องห่วงนะ ฉันไม่เอาไปพูดหรอก” เพียงแค่ว่าความลับของตระกูลโม่ไม่ได้ดีพอที่จะเอาไปเปิดเผยอะไร

“ขอบคุณมากนะพี่ชู”
“ต่อมาก็คือตระกูลฉิน เจ้าของร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสามของเมืองหลวง ตระกูลฉินส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว, การบันเทิง, โรงแรมและร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดของเมืองหลวงก็เป็นของตระกูลฉินด้วย ตระกูลที่สี่คือตระกูลฟางซึ่งเด่นในเรื่องห้างสรรพสินค้า ตระกูลที่ห้าคือตระกูลจาง เป็นตระกูลเกี่ยวกับการแพทย์ ยังมีตระกูลชนชั้นสูงอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ไม่มีใครเทียบได้กับทั้งห้าตระกูลนี้…”

“ฉันได้เรียนรู้เยอะเลย พี่ชูนี่เชื่อถือได้มากจริงๆ” มู่หรงเสวี่ยพูดพร้อมรอยยิ้ม ในตอนนี้มู่หรงเสวี่ยดูสดชื่นอย่างมาก ในที่สุดเขาก็รู้สึกโล่งอกอย่างมาก เขาจำได้ว่าตอนที่ มู่หรงเสวี่ยกลับไปเธอยังอาการไม่ค่อยดีเท่าไร อย่างน้อยตอนนี้เธอก็สามารถที่จะหันมาสนใจเรื่องบริษัทได้แล้ว แบบนี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ในความคิดของเขาชางกวนโม่ไม่เหมาะสมกับเสี่ยวเสวี่ยเลยจริงๆ เสี่ยวเสวี่ยทั้งอ่อนไหวและเปราะบาง แต่ ชางกวนโม่เป็นพวกเผด็จการ เขาทำร้ายมู่หรงเสวี่ย ตอนนี้ดูเหมือนว่าอาการของมู่หรงเสวี่ยจะดีขึ้นมากแล้ว

“แค่เรื่องเล็กน้อย ตอนแรกฉันคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องจำเป็นที่จะต้องบอกเธอแต่มันก็ดีกว่าที่เธอจะได้รู้ไว้”

มู่หรงเสวี่ยมองไปที่ท่าทางจริงจังของชูอี้เสิ่นและถามออกไปว่า “มีคนอื่นอีกไหม? ที่ทรงอำนาจมากกว่าห้าตระกูลนี้?”

ชูอี้เสิ่นพยักหน้า “ก็มี ก็คือดราก้อนพาวิลเลี่ยน”
“ดราก้อนพาวิลเลี่ยนเหรอคะ? ไม่เคยรู้จักเลย?” มู่หรงเสวี่ยงงไปหมด ในชีวิตนี้เธอไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย
“ก็ไม่แปลกที่เธอไม่เคยได้ยิน มีเพียงห้าตระกูลนี้เท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ แม้แต่ห้าตระกูลนี้ก็ยังไม่สามารถที่สู้ต่อต้านคนกลุ่มนี้ได้เลย ไม่มีใครรู้ว่าใครที่เป็นหัวหน้าของดราก้อนพาวิลเลี่ยนเลย คนกลุ่มนี้มีผลกระทบต่อเส้นเลือดใหญ่ทางเศรษฐกิจของทุกประเทศ พูดได้ว่าเป็นองค์กรที่ควบคุมโลกส่วนข้อมูลอื่นๆฉันไม่ค่อยรู้เรื่อง ฉันรู้เพียงแค่ว่าถ้าฉันเข้าไปมีเรื่องกับคนกลุ่มนี้ก็มีทางเดียวคือความตายเท่านั้น…”

ดวงตาของมู่หรงเสวี่ยเบิกกว้าง เธอไม่คิดว่าจะมีองค์กรแบบนี้อยู่ในโลกด้วย

“จะเป็นไปได้อย่างไรที่ประเทศต่างๆจะเต็มใจมอบเส้นเลือดใหญ่ในประเทศของตนให้กับองค์กรนี้?” เธอคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อเกินไป

“ในตอนแรกหลายประเทศเคยต่อต้าน แต่ในที่สุดเศรษฐกิจของประเทศก็ล่มสลายส่งผลให้เกิดวิกฤตการเงินครั้งใหญ่ซึ่งเกือบจะทำลายประเทศ หลังจากนั้นประเทศพวกนั้นต้องยอมยกธงขาวเพื่อเป็นการกอบกู้ประเทศ หลังจากนั้นก็ไม่มีประเทศไหนกล้าที่จะข้ามเส้นของคนกลุ่มนี้อีกเลย นอกจากนั้นคนกลุ่มนี้ก็ไม่ได้ทำอันตรายอะไร ประเทศต่างๆจึงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไป ฉันไม่รู้ว่าจริงๆแล้วกลุ่มนี้เป็นยังไงแต่จำได้แค่ว่าอย่าไปมีเรื่องกับคนกลุ่มนี้ แต่คิดว่าในชีวิตนี้เธอคงไม่ได้เข้าไปยุ่งกับกลุ่มนี้แน่ๆ ไม่ต้องห่วงหรอก”

มู่หรงเสวี่ยพยักหน้า คิดว่ามันคงเป็นไปไม่ได้สำหรับเธอที่จะได้เจอคนของกลุ่มดราก้อนพาวิลเลี่ยน “โอเคพี่ชู ฉันรู้แล้ว”

“เสี่ยวเสวี่ย ต่อจากนี้เธอจะทำอะไรต่อหรือเปล่า?” ชูอี้เสิ่นถาม

“เดี๋ยวนะ ฉันไม่เป็นไร มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?” ส่วนเรื่องที่เหลือเธอควรจะคุยกับพี่กู่และคนของเธอ

ชูอี้เสิ่นหัวเราะ “ไม่เอาน่า ออกไปดูหนังกันเถอะ”

มู่หรงเสวี่ยถามกลับมา “ดูเรื่องอะไร?”

เขานวดไปที่หน้าผาก “บ่ายนี้ฉันไม่มีอะไรทำ งั้นไปดูหนังกันเถอะ”
ก็ฟังดูน่าสนใจเหมือนกัน “โอ้ งั้นก็โอเค!”

ชูอี้เสิ่นเผยรอยยิ้มมีเสน่ห์
ทั้งสองจอดรถที่ห้างสรรพสินค้าแล้วจึงเดินเข้าไปที่โรงหนัง เธอแทบจะไม่ค่อยได้ดูหนัง ก่อนหน้านี้เธอเคยไปดูกับ หยางเฟิงที่เมืองA หลังจากนั้นเธอก็ไม่ได้ไปดูเลยเพราะว่ายุ่งมาก ไม่ต้องพูดถึงในชีวิตที่แล้วเลย เธอไม่เคยได้ไปดูเลย

มองไปรอบๆฝูงชนมากมาย หัวใจเธอสงบอย่างมาก มีความรู้สึกสงบในโลก

“พี่ชู ทำไมพี่ถึงอยากที่จะดูหนังล่ะ?” มู่หรงเสวี่ยถามอย่างสงสัย

ดวงตาของชูอี้เสิ่นเต็มไปด้วยความหวังที่คนอื่นไม่เข้าใจ “ไม่มีใครเคยมาดูหนังกับฉันเลย ในอดีตแค่มีอาหารกับเสื้อผ้าก็เพียงพอที่จะอยู่ได้แล้ว ไม่มีทางที่จะได้มาสถานที่หรูหราแบบนี้หรอก…แต่ฉันก็จำสิ่งที่แม่เคยพูดได้
แม่บอกว่าในชีวิตของแม่ไม่เคยมีใครพาแม่มาดูหนังเลย มันเป็นชีวิตที่ไม่ค่อยสมบูรณ์เท่าไร…ในตอนนั้น ฉันไม่เข้าใจ…ตอนนี้ฉันเข้าใจดีเลย…แม่อยากจะเป็นคนที่มากับฉันเอง”

เขาหัวเราะฝืดๆ มู่หรงเสวี่ยเห็นถึงหัวใจที่เจ็บปวดรู้สึกเป็นห่วงเพื่อนคนนี้ เธอจับมือเขาและพูดออกมาอย่างอ่อนโยน “ทันเวลาพอดี ฉันจะไปดูหนังเป็นเพื่อนพี่เอง!” เธอไม่ได้ถามเขาถึงเรื่องชีวิตที่แล้วของเขาแต่เธอรู้ดีว่ามันจะคงลำบากมาก เธอไม่อยากที่จะย้ำเตือนถึงความกลัวของเขากับเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ราวกับว่าเธอไม่อยากจะไปแตะต้องแผลของเขามากไปกว่านี้

มือทั้งสองจับกันแน่นพร้อมด้วยรอยยิ้มอ่อนๆบนใบหน้าของทั้งคู่ รูปร่างที่โดดเด่นของทั้งสองทำให้คนที่ผ่านไปมาถึงกับต้องหันมามอง

ท่ามกลางคนพวกนั้นมีชายหญิงคู่หนึ่งที่ยืนอยู่ไม่ห่างออกไปนั่นคือชางกวนโม่และไป๋เสวี่ยหลี่ ตอนที่ชางกวนโม่กลับไปถึงบ้านเขาก็เจอเข้ากับไป๋เสวี่ยหลี่ เธอลากพี่โม่ให้มาห้างเป็นเพื่อนด้วย ทำให้เขาต้องมาเห็นชูอี้เสิ่นและมู่หรงเสวี่ยเดินจับมือกันแบบนี้
ชางกวนโม่กำหมัดแน่นและดวงตาของเขาก็เริ่มจะแดงขึ้นมาหน่อยๆ ไม่มีใครรู้ว่าเขารอดจากช่วงเวลาที่ผ่านมาได้ยังไง กลางคืนเขาแทบจะไม่ได้นอนเลย หลังจากนั้นแค่เดือนเดียวเธอก็เปลี่ยนใจไปจากเขาแล้ว แต่ตอนนี้เขากลับยังอยู่ที่เดิมและยังก้าวออกมาจากถ้ำของตัวเองไม่ได้ อย่างไรก็ตามเธอไปอยู่ข้างผู้ชายคนอื่นแล้วและหัวใจเขาเจ็บปวดไปหมด

เพียงชั่วครู่ต่อมา เขาก็อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปหาคนทั้งสอง จ้องตรงไปที่มู่หรงเสวี่ย ไป๋เสวี่ยหลี่เดินกระทืบรองเท้าส้นสูงไปด้วยความเกลียดชังพร้อมจับที่แขนของชางกวนโม่

มู่หรงเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะหันไปเห็นชางกวนโม่ในทันที สีหน้าของเธอซีดเผือดขึ้นมาทันที ร่างกายของเธอสั่นเบาๆ มือที่จับมือชูอี้เสิ่นอยู่บีบแรงขึ้นเรื่อยๆ

ชูอี้เสิ่นมองท่าทางเป็นกังวลของเสี่ยวเสวี่ย ไอ้หมอนี่มันเป็นอะไร? ในเมื่อข้างกายก็มีผู้หญิงคนอื่นอยู่แล้ว ทำไมถึงเข้ามาทำร้ายเสี่ยวเสวี่ยอีก? เขาดึงเสี่ยวเสวี่ยเพื่อให้เดินไปทางอื่น

“เสี่ยวเสวี่ย รีบเข้าไปในโรงหนังกันเถอะ”
มู่หรงเสวี่ยเซไปพร้อมชูอี้เสิ่น ตอนนี้ทำไมเขายังมาโผล่อยู่ตรงหน้าเธออีก เธอทนไม่ไหวอีกแล้วนะ เห็นได้ชัดว่าเขาอยู่กับไป๋เสวี่ยหลี่ เพื่อที่จะเอามาอวดเธองั้นเหรอ?! ทำไมล่ะ?! หัวใจเธอแตกเป็นเสี่ยงๆหมดแล้วนะ

ชางกวนโม่ดึงมู่หรงเสวี่ย “เธออยากที่จะไปเพื่อมาอยู่กับไอ้หมอนี่เนี่ยนะ?” ความมืดในดวงตาของเขาดูราวกับกำลังบีบบังคับให้มู่หรงเสวี่ยตอบว่าใช่

หัวใจของมู่หรงเสวี่ยเหมือนถูกเฉือนอีกครั้ง เจ็บปวด อย่างน้อยเธอก็ยังเหลือศักดิ์ศรี สีหน้าที่แสดงออกไปอย่างเย็นชา “ขอร้องล่ะอย่าโยนความผิดให้คนอื่น ฉันเลิกกับคุณก็เพราะคุณมีผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ได้ชื่อมู่หรงเสวี่ยและเราไม่มีทางกลับมาคบกันได้อีก…”

ชางกวนมือจับมือเธอไว้แน่นมาก มือขาวบอบบางของเธอเริ่มที่จะแดงและช้ำ ชูอี้เสิ่นพูดออกมาอย่างเย็นชา “นายจะทำอะไร? ปล่อยมู่หรงเสวี่ยนะ!”

“หุบปากไปเลย เรื่องของเราไม่เกี่ยวกับคนนอก” ชางกวนโม่จ้องไปที่ดวงตาของชูอี้เสิ่นและแวบประกายสังหาร

มู่หรงเสวี่ยมองไปที่ไป๋เสวี่ยหลี่ที่กำลังเกาะแขนเขาแน่นและพูดประชดออกมา “ฉันเกรงว่าผู้หญิงที่อยู่ข้างคุณคงจะไม่ค่อยมีความสุขเท่าไรที่คุณมาจับมือฉันแบบนี้นะคะ?”

ไป๋เสวี่ยหลี่กัดริมฝีปาก ไม่มีใครรู้ว่าเธออับอายมากแค่ไหน อย่างไรก็ตามผู้ชายที่เธอชอบกลับไปคลั่งผู้หญิงคนอื่น แต่ไม่ว่าเธอจะอับอายมากแค่ไหนก็ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่จะพูดอะไรเกี่ยวกับเธอได้ โดยเฉพาะผู้หญิงคนนี้ มู่หรงเสวี่ย คนที่เธอเกลียดมากที่สุด

ดวงตาของเธอค่อยๆแดงระเรื่อ น้ำตาเริ่มเอ่อล้น พูดเสียงสั่น “พี่โม่…”

ชางกวนโม่ตกใจ เขาจับมือมู่หรงเสวี่ยอยู่แต่ทันใดนั้นก็รู้สึกอ่อนแรง เขาค่อยๆปล่อยมือเธอ หันกลับมามองไป๋เสวี่ยหลี่ด้วยความสับสนในดวงตา ไม่มีใครรู้เขาเสียใจมากแค่ไหนกับเรื่องที่เมาในคืนนั้นและเขาเสียใจมากแค่ไหนที่กลับไปที่วิลล่าในคืนนั้น

มู่หรงเสวี่ยไม่มีอารมณ์ที่จะมายืนดูคนสองคนนี้ เธอจับมือชู้อี้เสิ่นและเดินเข้าโรงหนังไป มือที่เธอจับแน่นมาก ถ้าเธออ่อนแรงเธอเองก็คงจะพังไม่เป็นท่า น้ำเสียงสั่นพูดออกมาเบาๆ “พี่ชูไปกันเถอะ…”