บทที่ 311 นายไม่ต้องยุ่ง

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

ตอนที่รถของเย่เทียนเข้ามาจอดที่สโมสรจุนเตี่ยน เวลาก็ล่วงเลยมาจนสองทุ่มแล้ว

หน้าประตูทางเข้าสโมสรจุนเตี่ยนมีรถหรูจอดไว้อยู่แล้วหลายสิบคัน มองไปปราดเดียวก็เห็นว่าคันที่ราคาต่ำสุดก็อยู่ราวๆสองล้าน

เย่เทียนไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลยสักนิด เขาเดินลงจากรถด้วยสีหน้านิ่งเฉย กวาดสายตามองไปรอบๆ

เขาคิดอยากอคติไปแล้วว่าซูเย่าหมิงต้องเล่นตุกติกอย่างแน่นอน แต่เขาไม่รู้ว่าซูเย่าหมิงจะมาไม้ไหนกันแน่

แน่นอนว่าเย่เทียนไม่ลืมที่จะเก็บกุญแจรถเข้ากระเป๋าแบบเลยตามเลย

ภาพนี้เล่นเอาซูเย่าหมิงโกรธจนกัดฟันแน่น เจ้านี่อธิบายคำว่าขี้เอาเปรียบได้เห็นภาพจริงๆ

“สโมสรจุนเตี่ยน? เย่าหมิง นี่น่ะเหรอที่ที่นายจะมาฉันมาดู ดูจากด้านนอกก็ไม่มีอะไรพิเศษนี่”

เย่เทียนมองชื่อของสโมสรแห่งนี้ และหันไปมองซูเย่าหมิงด้วยรอยยิ้มบางๆ

“พี่เย่ เข้าไปข้างในแล้วพี่จะรู้เองครับว่าสโมสรแห่งนี้มีอะไรน่าสนุกบ้าง”

ซูเย่าหมิงข่มความโมโหในใจไว้ และคลี่ยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย

“งั้นเหรอ?”

เย่เทียนพยักหน้าอย่าถึงบางอ้อ และไม่ได้ถามอะไรมากอีก เขาเดินเข้าไปข้างในสโมสรตามซูเย่าหมิงไปติดๆ

แต่คล้อยตามที่พวกเขาก้าวเดิน จู่ๆก็มีชายกำยำฝูงหนึ่งโผล่พรวดออกมาจากที่ไม่ไกล หน้าตาพวกเขาเก๊กท่าสุดๆ กิริยาโอหัง ท่าทางก่นด่าไปทั่วนั้นราวกับไม่เห็นใครอยู่ในสายตาสักคน

แน่นอนว่าคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่หยางเซ่าเหวินเรียกมา

มีหนอนบ่อนไส้อย่างซูเย่าหมิงอยู่ จะหารูปของเย่เทียนนั้นไม่ยากนัก หลี่เฟิงเอารูปให้หยางเซ่าเหวินดูไปนานแล้ว

หยางเซ่าเหวินกำชับยามด้านล่างไว้แต่แรกอีกด้วย ตั้งแต่ที่เย่เทียนปรากฏตัวอยู่หน้าประตูเมื่อกี้ ยามกลุ่มหนึ่งก็สังเกตเห็นแล้ว

แน่นอนว่าคำนึงถึงชื่อเสียงของสโมสร คนกลุ่มนั้นถอดชุดยามออกอย่างฉลาดและเปลี่ยนเป็นชุดลำลองของตัวเองแทน

พอเห็นว่าเย่เทียนกำลังจะเดินเข้าไปในสโมสร หัวหน้ายามที่ชื่อว่าฟางหย่งแทบจะอดรนทนไม่ไหว

ตอนนี้ในหัวเขามีแต่เรื่องจะสั่งสอนเย่เทียนให้หนักแล้วไปขอรางวัลจากหยางเซ่าเหวิน

คิดได้ดังนั้น เขาก็หันไปพยักหน้าให้กับเพื่อนคนหนึ่ง

ยามที่ได้รับสัญญาณแล้วเข้าใจทันที เขาเดินโซซัดโซเซไปหาเย่เทียนและซูเย่าหมิงสองคน

ก่อนหน้านี้เขาได้สาดเหล้าใส่ตัวเองไปก่อนแล้ว เวลานี้เรียกได้ว่ากลิ่นละมุดฟุ้งไปหมด เห็นได้ชัดว่าตั้งใจจะทำให้ดูเป็นอุบัติเหตุที่ไม่ตั้งใจ

ระยะห่างระหว่างทั้งสองคนไม่ไกลแต่แรก เขาที่แกล้งทำเป็นเมาเล็งจังหวะและพุ่งไปชนเย่เทียนอย่างแรง

แม้ว่าเย่เทียนไม่ได้ตั้งใจสังเกตการเคลื่อนไหวรอบๆ แต่ด้วยความรู้สึกอันเฉียบแหลมของเขาจะไม่ทันรู้สึกถึงความผิดปกติจากด้านหลังได้อย่างไร

เย่เทียนยกมือขึ้นโดยไม่ให้สุ้มให้เสียงและตบบ่าซูเย่าหมิงเบาๆ แกล้งทำเป็นร้อนใจ

“เย่าหมิง ฉันปวดฉี่กะทันหัน ข้างนอกมีห้องน้ำมั้ย?”

ขณะที่พูด เย่เทียนขยับเท้าเล็กน้อย และก้าวออกไปหนึ่งก้าวตามท่า คลาดกับยามที่พุ่งชนเข้ามาเพียงเฉียดฉิว

แรงชนของยามคนนั้นเยอะมาก และคิดไม่ถึงว่าเย่เทียนจะเปลี่ยนที่ยืนกะทันหัน จึงไม่อาจหยุดยั้งตัวเองไว้ได้

ภายใต้แรงดันนี้ ยามคนนั้นชนเข้ากับหลังของซูเย่าหมิงอย่างแรง

ตู้ม!

เสียงปะทะเสียงหนึ่งดังขึ้น ยามคนนั้นล้มลงกับพื้นปูนแข็งแรงอย่างไม่ต้องสงสัย เจ็บจนหน้าตาเหยเกไปหมด

กลับมามองซูเย่าหมิงนั้นอนาถยิ่งกว่านั้น เขาโดนชนจากด้านหลังโดยไม่ทันตั้งตัว เดินเซไปข้างหน้าหลายก้าว ก่อนที่คนทั้งคนจะกระแทกลงกับพื้น

โชคดีที่เขาตอบสนองได้ไว กันหัวของตัวเองไว้ได้หวุดหวิด มิฉะนั้นที่ล้มลงไปนี้ได้ฟันหน้าหักแน่นอน

“เย่าหมิง นายไม่เป็นไรใช่มั้ย?”

เย่เทียนเห็นแล้วนึกขำในใจ ทว่าไม่แสดงออกทางสีหน้าเลยสักนิด เขารีบเดินเข้าไปดึงซูเย่าหมิงขึ้นมาด้วยสีหน้าเป็นห่วง

ซูเย่าหมิงเซ็งถึงขีดสุด แม้จะไม่ร้ายแรงถึงขั้นเลือดตกยางออก แต่กระแทกลงไปแบบนั้นต้องเจ็บอยู่แล้ว

แน่นอนว่าจุดที่เจ็บที่สุดคือตรงหลังที่โดนชน ยามคนนั้นจงใจใช้ไหล่โหม่งเอา เขาจะไม่รู้สึกเจ็บได้ยังไง

ความจริงแล้วเขาที่มีแผนในใจสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวทางด้านหลังแต่แรก และรู้ว่าคนพวกนี้เป็นคนที่หลี่เฟิงเตรียมไว้

แต่เขาคิดไม่ถึงว่าไอ้คนมีตาหามีแววไม่นี่ชนไม่โดนเย่เทียนไม่เท่าไหร่ กลับมาชนตัวเองเข้าอย่างจัง

ถ้าไม่ใช่ว่าเขาสนิทกับหลี่เฟิง และไม่ได้เพิ่งเคยทำเรื่องแบบนี้ครั้งแรก ไม่อย่างนั้นเขาชักจะสงสัยว่านี่จงใจกลั่นแกล้งตัวเองหรือเปล่า

“พี่เย่ ผมไม่เป็นไรครับ”

ซูเย่าหมิงเริ่มหายเจ็บแล้ว เขาหันไปส่ายหัวเล็กน้อยกับเย่เทียนที่สีหน้าเป็นห่วงเป็นใย และจ้องยามที่ล้มอยู่กับพื้นด้วยสายตาโกรธแค้น

ถึงยังไงซูเย่าหมิงก็เป็นคุณชายใหญ่แห่งตระกูลซู และมาเที่ยวที่สโมสรจุนเตี่ยนอยู่บ่อยครั้ง ยามจะไม่รู้จักพื้นเพของเขาได้ยังไง

“ตาของแกเป็นแค่ของประดับหรือยังไง? ทางกว้างเช่นนี้ยังมาชนฉันได้”

เมื่อเห็นสายตาดุเดือดที่ซูเย่าหมิงมองมา ยามคนนั้นอดใจสั่นไม่ได้ แต่เมื่อนึกถึงคำสั่งเจ้านายใบหน้าของเขาก็ฉายแววโหดเหี้ยม

เย่เทียนเห็นการแสดงอันห่วยแตกของผู้ชายคนนี้แล้วหัวเราะเย็นๆในใจ ทว่าสีหน้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก

เขาเหล่มองซูเย่าหมิง แล้วจึงแกล้งทำเป็นโมโหสุดๆ

“เฮ้ เมื่อกี้แกเป็นคนเดินเข้ามาชนชัดๆ นี่แกยังคิดว่าตัวเองถูกอีกเหรอ?”

“ทางกว้างขนาดนี้แกชนใครไม่ชน ดันมาชนน้องเมียของฉัน ยอมรับมาตรงๆซะ แกจงใจใช่มั้ย!”

เย่เทียนพูดอย่างโกรธเกรี้ยว ใบหน้าของยามคนนั้นฉายแววตื่นตระหนกนิดหน่อยอย่างควบคุมไม่ได้ เขารำพึงในใจว่าการแสดงของฉันน่าจะไม่เลวนี่ ไอ้หนุ่มนี่ดูออกได้ยังไงว่าตัวเองจงใจ?

เขากำลังจะพูดบางอย่าง แต่ซูเย่าหมิงชิงส่งเสียงก่อนด้วยสีหน้าประหลาด

“ช่างเถอะ แค่เรื่องเล็กน้อย ถึงยังไงผมก็ไม่เจ็บอะไร”

เย่เทียนฟังแล้วกลับส่ายหัวปฏิเสธด้วยความดื้อรั้น

“จะให้เป็นแบบนั้นได้ยังไง? นายโดนชนนะ นายสามารถใจกว้างไม่เอาความได้ แต่ฉันไม่ใจกว้างขนาดนั้น!”

“ไม่ว่ายังไงนายก็เป็นน้องเมียของฉัน ถ้าพี่สาวนายรู้ว่าฉันไม่ทำอะไรเลย กลับไปแล้วไม่รู้ว่าจะจัดการฉันยังไงบ้าง!”

ไม่รอให้ซูเย่าหมิงตั้งสติ เย่เทียนผายมือและพูดอย่างองอาจ

“เย่าหมิง เรื่องนี้นายอย่าห้ามฉัน ปล่อยให้ฉันจัดการเอง!”

สิ้นเสียง เย่เทียนก็ก้าวออกไปโดยไม่ลังเล และเดินไปหายามที่เจตนาเข้ามาชนคนนั้น

ซูเย่าหมิงมองแผ่นหลังของเย่เทียนที่ไม่ถือว่ากว้างใหญ่นัก และสีหน้าของเขาประหลาดขึ้น ไม่เข้าใจเลยว่าเย่เทียนจะทำอะไรกันแน่

ตอนกินข้าวเสร็จเย่เทียนยังทำท่าทำทางเหมือนคนฉลาดหลักแหลม ทำไมตอนนี้ถึงกลายเป็นคนวู่วามผลีผลามขนาดนี้ล่ะ?

แต่ในเมื่อเย่เทียนบอกเขาว่าไม่ต้องยุ่ง เขาก็ขี้เกียจจะไปพูดอะไร

แม้ว่าตอนเริ่มต้นของเรื่องเบี่ยงเบนจากแผนไปเล็กน้อย แต่อย่างน้อยตอนนี้ก็ดำเนินบนเส้นทางที่ตัวเองคาดการณ์ไว้ไม่ใช่หรือไร?!

ซูเย่าหมิงกระตุกยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยันออกมาทันควัน เขากอดแขนยืนอยู่ที่เดิม รอดูเรื่องสนุก!