บทที่ 312 ลูกไม้กระจอก

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

เย่เทียนเดาได้แต่แรกแล้วว่าซูเย่าหมิงต้องวางแผนทำร้ายเขา จึงสังเกตเห็นสีหน้าดุเดือดของยามคนนั้นได้ทันควัน แล้วจะไม่รู้ได้ยังไงว่านี่คงเป็นคนที่ซูเย่าหมิงเตรียมไว้

กลิ่นเหล้าอาจจะปลอมขึ้นมาได้ แต่ไม่ได้ดื่มก็คือไม่ได้ดื่ม ความใสสกาวของนัยน์ตานั่นแหละคือหลักฐานชิ้นดี

คิดมาถึงตรงนี้ เย่เทียนมองไปรอบๆโดยไม่ให้รู้ตัว และเห็นกลุ่มชายฉกรรจ์ที่ยืนแอบอยู่ในมุมมืดทันที เขาต้องรู้แน่นอนว่าเกิดอะไรขึ้น

เย่เทียนกระตุกรอยยิ้มเย้ยหยันที่มุมปาก นี่หาแก๊งอันธพาลมาจัดการตัวเองหรือนี่ ลูกไม้กระจอกเช่นนี้ เดี๋ยวฉันจะเล่นกับพวกแกหน่อยแล้วกัน

พอคิดแบบนี้แล้ว เย่เทียนก็ก้าวฉับไวมาอยู่ตรงหน้ายามคนนั้น กลั้นหายใจจนหน้าแดงก่ำ ท่าทางเหมือนโกรธจัด

“แกรู้มั้ยวะว่าเขาเป็นใคร ถึงกล้ามาชนเขาแบบนี้ ฉันว่าแกไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่มั้ย”

“ทำไมฉันต้องสนด้วยวะว่าพวกแกเป็นใคร พวกแกเป็นฝ่ายมาชนฉันชัดๆ พวกแกยังมีหน้ามารับบทเป็นผู้ถูกกระทำอีก”

ยามคนนั้นไม่หวั่นเลยสักนิด เขาตะคอกกลับไปด้วยท่าทีโมโหสุดๆ

ล้อเล่นรึเปล่า ไม่พูดถึงเรื่องที่เขาตั้งใจมาหาเรื่องอยู่แล้ว ต่อให้เขาไปชนพวกเขาโดยไม่ตั้งใจเพราะเมาจริงๆ สภาพผอมแห้งอย่างเย่เทียนเขาที่เป็นผู้ชายร่างกำยำมีอะไรต้องกลัว

เย่เทียนได้ฟังดังนั้น นัยน์ตาสีนิลมีแววเย็นเยียบฉายผ่านไปแวบหนึ่ง รอยยิ้มเย็นที่มุมปากกว้างขึ้นกว่าเดิม

“เป็นอย่างนั้นจริงๆเหรอ? ดูท่าถ้าฉันไม่ให้บทเรียนกับแก แกคงคิดจริงๆว่าแกเป็นใหญ่รองจากสวรรค์สินะ”

เห็นได้ชัดว่ายามคนนั้นไม่คิดว่าเย่เทียนจะโอหังขนาดนี้ เขาทำงานใต้บัญชาหยางเซ่าเหวิน ปกติไม่มีใครทำตัวไม่มีมารยาทใส่เขาจริงๆ

ความโอหังของเย่เทียนตอนนี้ส่งผลให้เขาเดือดดาลขึ้นมาทันที

ต่อให้เย่เทียนมีคนสนับสนุนเบื้องหลังแล้วยังไง เขาทำตามคำสั่งนะ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมายังมีหยางเซ่าเหวินค้ำหัวไว้ให้ เขาไม่มีอะไรต้องกลัว

ด้วยความคิดนี้ ยามคนนั้นขี้เกียจจะเปลืองน้ำลายกับเย่เทียนต่อไป เขาสบถบางอย่างและหวดกำปั้นใหญ่ยักษ์ใส่หน้าของเย่เทียนอย่างแรง

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายลงไม้ลงมือโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง นัยน์ตาสีนิลของเย่เทียนฉายแววเย็นเยียบ ทว่ายืนนิ่งอยู่ที่เดิม ประหนึ่งว่าตกใจจนอึ้งไป

แต่ ในขณะที่กำปั้นของอีกฝ่ายกำลังจะโดนตัวเย่เทียน เขาถึงขยับอย่างฉับพลันและหลบกำปั้นของอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย พร้อมกับถีบออกไปอย่างแรง

ตู้ม!

เสียงเสียงหนึ่งดังขึ้น ยามคนนั้นไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดมหาศาลจากตรงท้องน้อย หน้าตาเหยเกบีบอัดเข้าด้วยกัน

เมื่อเขาฟื้นตัวจากความเจ็บปวดได้ก็กระเด็นลอยขึ้นจากพื้นไปแล้วทั้งคนและปลิวไปด้านหลัง

ร่างกายที่หนักอย่างน้อยหนึ่งร้อยห้าสิบโลของเขาเปรียบเสมือนว่าวที่เอ็นขาด กระเด็นออกไปเป็นรอยโค้งสวยงามกลางอากาศก่อนจะกระแทกลงพื้นที่ห่างออกไปกว่าสิบเมตรดังตู้ม ไม่ทันแม้แต่จะโอดครวญก็สลบหมดสติไป

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในชั่วพริบตาเดียว เย่เทียนยืนอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าปกติ ราวกับแค่ทำเรื่องเล็กเรื่องหนึ่งลงไปเท่านั้น ไม่มีอะไรให้ใส่ใจเลยสักนิด

แต่ภาพเหล่านี้เมื่อตกอยู่ในสายตาของซูเย่าหมิงที่อยู่ด้านหลังแล้วเขากลับอึ้งจนตาแทบถลนออกมา หน้าตาอย่างกับเห็นผี มุมปากอดกระตุกเบาๆไม่ได้

เขาวางแผนมาดิบดี แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าเย่เทียนจะดุดันและมีพละกำลังมากขนาดนี้ แค่มองหน้ากันปราดเดียวก็ทำให้คนคนนั้นสูญเสียพลังต่อสู้ได้อย่างสิ้นเชิง และยังโดนถีบทีเดียวกระเด็นไปสิบกว่าเมตร

“เจ้า เจ้านี่ทำไมถึงมีแรงมากขนาดนี้ หรือว่าเขาคือฮัลค์เวอร์ชั่นคนปกติ?”

ซูเย่าหมิงขยี้ตาด้วยสีหน้าไม่เชื่อ แต่ภาพตรงหน้ายังไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด จนเขาต้องยอมรับความจริงอันเกินความคาดหมายนี้อย่างเสียมิได้

ขณะเดียวกัน พวกฟางหย่งที่รออยู่ในมุมมืดต่างวิจารณ์กันเสียงเบาขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ บางคนถึงขั้นทนไม่ไหวต้องสบถคำหยาบออกมา

“เย็ดแม่ม เจ้านั่นจะดุเดือดเกินไปแล้วนะ นี่ยังถือว่าเป็นมดตัวเล็กตัวหนึ่งอยู่อีกเหรอ?”

“เรื่องที่คุณชายหยางสั่งไว้คงจะจัดการยากซะแล้ว ทำไมเจ้าหนุ่มนั่นถึงมีพละกำลังมากขนาดนี้วะ?”

“ที่โดนถีบไปนี่ไอ้โชคร้ายห้าวจื่อคงต้องนอนโรงพยาบาลสักครึ่งปีเป็นอย่างต่ำ”

ลูกน้องแต่ละคนอดอุทานในใจด้วยความตะลึงไม่ได้ ปฏิกิริยาไม่ต่างจากซูเย่าหมิงมากนัก

ส่วนฟางหย่งผู้เป็นหัวหน้ายิ่งเดือดดาลเข้าไปใหญ่ เดิมทีเขาแค่อยากให้ห้าวจื่อไปข่มให้เจ้าหนุ่มนั่นกลัว และหาเหตุผลลงมืออย่างเปิดเผย

แต่ใครจะรู้ว่าสิ่งที่คิดจะตรงกันข้ามกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง แค่เวลาไม่กี่นาทีห้าวจื่อก็โดนเย่เทียนถีบลงไปนอนกับพื้น สภาพอนาถนั่นอย่างน้อยๆต้องนอนเป็นผักสักครึ่งเดือนถึงจะลงจากเตียงได้

ชั่วขณะนั้น ฟางหย่งไม่ทันจะได้คิดอะไรก็พุ่งไปยังจุดที่เย่เทียนยืนอยู่อย่างรวดเร็ว

“ไอ้เวรตะไลเอ๊ย ที่นี่เป็นถิ่นของฉันนะโว้ย บังอาจมาทำร้ายคนของฉันในถิ่นของฉัน ฉันจะหักมือสองข้างของเขาทิ้งซะ”

ด้วยความคิดอำมหิตนี้ เขาออกจากมุมมืดอย่างรวดเร็ว

เย่เทียนไม่แม้แต่จะมองเจ้าคนโชคร้ายที่นอนอยู่บนพื้นด้วยซ้ำ ประหนึ่งว่าเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย เขาค่อยๆหันกลับมามองซูเย่าหมิงที่หน้าตาตะลึงด้วยรอยยิ้มบางๆ

สังเกตเห็นสายตาที่เย่เทียนจ้องมองมา ซูเย่าหมิงรีบตั้งสติและมองเย่เทียนด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆในใจของเขานั้นหลากอารมณ์ถึงขีดสุด

เมื่อกี้สิ่งที่เย่เทียนตั้งใจแสดงให้เห็นนั้นเกินกว่าสิ่งที่เขาเคยรู้อยู่มาก ในใจเขาอดรู้สึกหวาดกลัวในตัวเย่เทียนอยู่นิดหน่อยไม่ได้

และถึงขั้นที่ลืมความคิดที่จะสั่งสอนเย่เทียนให้หลาบจำไปหมดแล้ว เขารู้สึกไม่ดีอย่างมากในใจ

“เย่าหมิง ฉันทำแบบนี้คงไม่สร้างปัญหาอะไรใช่มั้ย?”

จู่ๆเสียงพูดเรียบนิ่งของเย่เทียนก็ดังขึ้นข้างหู ซูเย่าหมิงที่กำลังใช้ความคิดอยู่รีบเรียกสติกลับมา ยิ้มเฝื่อนๆและส่ายหัวไปมาอย่างกับกลองป๋องแป๋ง

“ไม่เป็นไรๆ แค่นักเลงคนหนึ่งเท่านั้น ไม่เป็นเรื่องใหญ่อะไรหรอก”

“งั้นก็ดี”

เย่เทียนตบหน้าอกด้วยท่าทีเกินจริงมาก “ในเมื่อไม่เป็นปัญหาอะไร เราก็อย่ามัวเสียเวลาอยู่หน้าประตูเลย รีบเข้าไปกันเถอะ”

ขณะที่พูดกัน เย่เทียนแกล้งทำท่าทีหื่นกาม ราวกับจะรอไม่ไหวแล้ว

“ได้สิครับ!” ซูเย่าหมิงมุมปากกระตุกเล็กน้อย แต่ก็ทำได้เพียงพยักหน้า

“พวกแกหยุดเดี๋ยวนี้นะโว้ย”

ในขณะที่ทั้งสองเตรียมเดินเข้าไปในสโมสรจุนเตี่ยน ก็มีเสียงใหญ่คำรามอย่างเกรี้ยวกราดดังขึ้นฉับพลันที่ด้านหลังอีกครั้ง

เย่เทียนมองไปตามเสียง รอยยิ้มสนุกสนานบนหน้ากว้างขึ้นกว่าเดิม คนที่ยังกล้าส่งเสียงคำรามเกรี้ยวกราดถ้าไม่ใช่พวกฟางหย่งที่วางแผนไว้แต่แรกแล้วจะมีใครอีก

แต่เดิมหน้าประตูสโมสรจุนเตี่ยนก็มีคนเข้าออกพลุกพล่านอยู่แล้ว คึกคักสุดๆ ภาพที่ยามคนนั้นโดนเย่เทียนถีบกระเด็นออกไปสิบกว่าเมตรดึงดูดสายตาของผู้คนไว้ได้มากมาย

การปรากฏตัวของพวกฟางหย่งในตอนนี้เรียกคนมามุงได้มากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย ชั่วขณะนั้นมีคนมารายล้อมจนกลายเป็นวงกว้าง จนคิดจะไปจากตรงนี้ยังไปไม่ได้……