ตอนที่ 323 หลีกทางให้
ฮ่องเต้ขมวดพระขนงตรัสว่า “เจ้าโง่เจี่ยงเหว่ยนี้ เจ้าเฝ้าเขาไว้ให้ดีๆ หากเขากล้าทำเสียเรื่อง รีบประหารทันที!”
พั่งไห่ขานตอบแล้วถอยออกไป
รุ่งเช้า ราชโองการพระราชทานสมรสก็มาถึงบ้านของแม่นางเหล่านั้น ช่างเป็นภาพที่บางคนมีความสุขและบางคนเศร้าเสียใจ ที่มีความสุขย่อมเป็นน่าอวี้ เพียงแต่นางเก็บซ่อนความดีใจเอาไว้ แสดงความเศร้าโศกบนหน้า ที่เหลือสองคนนั้นกลับร้องไห้เอาเป็นเอาตาย ท่านอ๋องคนนั้นหากดีๆ อยู่ก็ช่างเสีย แต่ดันเป็นคนป่วยหนัก ล้วนบอกว่าเขาถูกผีร้ายเข้าสิง ใกล้จะตายเสียแล้วเช่นนั้น
เพียงแต่ราชโองการก็ลงมาแล้ว ไม่ยิมยอมก็จะทำอย่างไรได้อีก ไม่อยากถูกตัดศีรษะก็ต้องไป แม่นางแต่ละคนแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็ถูกส่งขึ้นรถม้า กำชับอีกเล็กน้อย ก็เข้าไปในวัง
ก่อนจะแต่งงาน ต้องไปถูกไทเฮาสั่งสอนเสียหน่อย ก็เป็นเรื่องเช่นเตือนให้พวกนางรู้ว่าเข้าจวนอ๋องไปแล้วทุกเรื่องล้วนถือท่านอ๋องเป็นสำคัญ อะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด สุดท้ายก็พูดถึงเฉินยาง นางถอนหายใจพูดว่า “พวกเจ้าล้วนเป็นแม่นางที่มีมารยาท วันหลังหากใครทำได้ดี ตำแหน่งพระชายาอ๋องนี้ก็ใช่ว่าจะถูกแทนที่ไม่ได้ ดูเพียงว่าพวกเจ้ามีความมุมานะหรือไม่แล้ว หากทำได้ดี ข้าจะเลื่อนฐานะให้พวกเจ้าด้วยตัวเอง”
สองคนที่เหลือไม่ได้สนใจเท่าไรนัก เพราะไม่อยากจะแต่งแม้แต่น้อย ทว่าน่าอวี้ไม่เหมือนกัน นางมีความมุมานะ เป็นพระชายาได้ย่อมดีที่สุด เพียงแต่เฉินยาง… ช่างเถิด เรื่องต่อจากนี้ค่อยคิดกันวันหลัง!
ในจวนอ๋องก็คึกคัก งานสมรสถูกจัดสามวันหลังจากนี้ ในจวนก็เริ่มตกแต่งแล้ว สิ่งของในเรือนของเจาอี๋[1]ทั้งสามต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด คนในจวนอ๋องต่างวุ่นวายกันขึ้นมา เฉินยางไปเดินเล่นข้างนอก แทบจะทุกคนต่างเร่งรีบกันหมด ตั้งแต่ข้างในยันข้างนอกล้วนเปลี่ยนเป็นสีแดงของงานมงคล แม้แต่ในห้องของนางก็ถูกแปะอักษรมงคลคู่สีแดงตัวใหญ่ๆ
ซั่งเหมยวั่งเซียงวิ่งเข้ามาจากข้างนอก ใช้มือโบกพัดไปพลางพูดไปพลางว่า “เรือนของแม่นางน่าอวี้อยู่ติดกับท่านอ๋องเลยนะเจ้าคะ”
คำพูดนี้เหมือนจงใจพูดให้เฉินยางฟัง
เฉินยางเงี่ยหูฟังซั่งเซียงพูดว่า “ก็ไม่ใช่หรือ เลี้ยวไปเล็กน้อยก็ถึงแล้ว วันหลังจะไปก็สะดวกขึ้น”
ต้าหมี่กระโดดขึ้นมาบนตัวเฉินยาง แล้วร้องเมี้ยวเอาใจ จากนั้นก็หาวแล้วนอนไป
เฉินยางพูดอย่างท้อแท้ว่า “พวกเจ้าไม่ต้องพูดอ้อมๆ ฟ้องให้ข้าฟัง ข้ารู้หมดแล้ว”
ซั่งเหมยซั่งเซียงพูดมิบังอาจ เห็นนางท่าทางเบื่อหน่าย ซั่งเหมยจึงเข้าไปปลอบ “ท่านไม่ควรใจกว้างเช่นนี้ ไปตรงหน้าท่านอ๋อง สร้างความวุ่นวาย หนึ่งร้องไห้สองวุ่นวายสามแขวนคอ ให้มันวุ่นวายนัก แล้วให้ท่านอ๋องปฏิเสธไปก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ”
เฉินยางพิงหน้าต่างเหม่อลอย “ข้าไม่ใช่นางมารร้ายเสียหน่อย อีกอย่าง ราชโองการที่ฮ่องเต้สั่งลงมาด้วยพระองค์เอง จะเป็นสิ่งที่ข้าวุ่นวายแล้วสามารถทำให้เขาขัดราชโองการได้หรือ ถึงยามนั้นเกิดฮ่องเต้ทรงกริ้วขึ้นมา พวกเรามีหวังจบสิ้นกันพอดี”
ซั่งเหมยพูดอีกว่า “เช่นนั้นแล้วท่านก็หมั่นไปหาท่านอ๋องบ่อยๆ เอาใจท่านอ๋องให้มาก ท่านอ๋องดีใจแล้ว ย่อมรักท่านมากกว่า ชีวิตของท่านก็จะได้สุขสบายมิใช่หรือไร”
นางเริ่มบ่นขึ้นมาอีก “เขาได้ใหม่แล้วจะยังจำข้าได้อย่างไร ไยต้องหาเรื่องใส่ตัวนัก ข้าใช้ชีวิตสงบๆ ของข้าดีกว่า ไม่ต้องสนพวกเขา”
เมื่อคืนนางเพิ่งร้องไห้อยู่ในผ้าห่มทั้งคืน ทั้งน้อยใจทั้งรู้สึกแย่ ตอนเช้าตื่นขึ้นมา สองตาบวมเบ่งน่าตกใจยิ่งนัก นางเอาน้ำแข็งจาก ‘หลิงอิน’ ใช้ผ้าห่อไว้ประคบที่ตา ถึงไม่ให้ซั่งเหมยซั่งเซียงสังเกตเห็นความผิดปกติได้
——
[1] เจาอี๋ ชื่อตำแหน่งพระชายารอง
ตอนที่ 324 คนโชคร้ายที่เหมือนกัน
เหลียงอู๋เย่ว์ฉวยโอกาสที่เว่ยหมิ่นเข้าวังแอบย่องออกมาหาเฝิงเยี่ยไป๋ เขาเพิ่งรับรองกับเว่ยหมิ่นว่าความรักของเฝิงเยี่ยไป๋ที่มีต่อเว่ยเฉินยางนั้นเป็นความรักที่มีให้เพียงคนเดียว หาที่ใดเปรียบบนโลกนี้ไม่ได้อีกแล้ว ไม่เปลี่ยนใจอย่างแน่นอน นี่ก็เพิ่งผ่านไปไม่นาน ก็ถูกตบหน้าเสียแล้ว
“ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเจ้าคิดอย่างไร เจ้าเบื่อเฉินยางแล้วจริงๆ หรือ”
เขายังมีเรื่องวุ่นวายมากมายยังไม่จัดการเลย กลับมายุ่งเรื่องของเขาอีก เป็นพี่น้องกันถึงเช่นนี้ ยังจะมีอะไรต้องพูดอีก
เฝิงเยี่ยไป๋มองม่านแดงในห้องอย่างเหม่อลอย ผ่านไปอยู่นานถึงได้พูดว่า “เจ้าจะเข้าใจอะไร ปัญหาระหว่างพวกเราอยู่ที่นางไม่ได้อยู่ที่ข้า นางเป็นน้ำแข็งที่ไม่ละลาย เจ้าดีกับนางอย่างไร นางก็ไม่สนใจ ดั่งเช่นเรื่องนี้ ยังเป็นนางที่เลือกให้ข้าเลย บางครั้งข้าก็อยากจะควักหัวใจนางออกมาดูว่ามีน้ำแข็งที่ไม่อาจละลายเกาะอยู่หรือไม่!”
“เจ้าโตเพียงใดแล้ว เจ้าอายุเลยยี่สิบเก้าไปแล้ว ย่างเข้าสามสิบ อายุสิบสี่ก็รู้จักไปหานางโลมแล้ว ยามที่เจ้าเล่นผู้หญิงแม่ของนางยังไม่ท้องนางเลย นางเป็นเพียงแม่นางตัวเล็กๆ จะหัวช้าในเรื่องนี้ก็เข้าใจกันได้ เจ้าหวังจะให้นางเป็นเหมือนดั่งชู้รักของพวกเจ้านั้น เจ้าเลิกคิ้วก็รู้ว่าต้องเข้ามาหาเจ้า ทำไม่ได้หรอก หากนางเป็นเช่นนั้นจริง ยามนั้นเจ้าก็ควรจะร้องไห้แล้ว”
คำพูดนี้มีเหตุผล เพียงแต่ในใจเฝิงเยี่ยไป๋ก็ยังรู้สึกตะหงิกอยู่ “นางเป็นท่อนไม้เช่นนั้น ข้าถามนางตรงๆ ว่าไม่รักข้าแล้วใช่หรือไม่ นางพูดเพียง ‘ไม่ใช่’ ก็จบเสียแล้ว นี่เป็นเรื่องอะไรกัน ไม่ใช่อะไร ท่อนไม้ท่อนหนึ่ง ไม่รู้จักพูด!”
เหลียงอู๋เย่ว์ปลอบเขา “นางหน้าบาง เจ้าต้องบังคับนางพูดเพื่อสิ่งใดกันเล่า เมื่อรักถึงขั้นก็รู้ตัวไปเอง รอให้นางรู้สึกตัวแล้ว เข้าใจแล้ว เจ้ายังต้องกังวลว่านางพูดไม่เป็นอีกหรือ”
“จนถึงยามนี้นางก็ยังไม่เคยมาถามข้าเรื่องงานสมรสเลย นางกินดีหลับดีทุกวัน มีเพียงข้าที่เหมือนดั่งถูกย่างอยู่บนกองไฟเช่นนั้น เจ้าดูเสียเถิด เช่นนี้แล้วยังจะให้ข้าค่อยเป็นค่อยไป ผ่านมานานเช่นไรแล้ว นางรู้เรื่องแล้วหรือ ไม่! กลับเป็นข้าที่คิดไปเอง!”
นี่ก็คงจะอดทนมามากแล้ว ไม่เช่นนั้นก็คงจะไม่เล่าความทุกข์ด้วยความเจ็บปวดให้เขาฟัง ก็จริง พวกเขาเป็นพี่น้องกันร่วมทุกข์กันมา เส้นทางความรักไม่มีใครราบรื่น เดินมาถึงยามนี้อย่างยากลำบาก หากไม่ใช่ความรักที่มีอยู่นั้น คงปล่อยมือไปนานแล้ว
“ไม่มีวิธี ไม่ใช่นำทัพทำศึกเสียหน่อย นอกจากรอก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว ไม่เช่นนั้นเจ้าก็ปล่อยมือไป ทั้งสองคนก็จะได้อยู่เป็นสุข ไม่ต้องต่างคนต่างทรมาน ทำเอาจะเป็นจะตายอยู่ทุกวัน”
เฝิงเยี่ยไป๋ตบโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน “เป็นไปไม่ได้ ปล่อยมือรึ ฝันไปเถอะ!”
คำพูดที่ว่าฝันไปเสียเถิดก็ไม่รุ้ว่าพูดถึงตัวเขาเอง หรือว่าพูดถึงเฉินยางกันแน่
เหลียงอู๋เย่ว์ยิ้มด้วยความจนใจ “เจ้าดู ให้เจ้าปล่อยมือเจ้าก็ไม่ยอม จะต่างคนต่างทรมานไปตลอดชาติคงไม่ได้กระมัง ค่อยๆ รอไป รอจนรู้เรื่องก็ได้แล้ว นางยังเด็ก รอให้นางโตอีกไม่กี่ปี นางเข้าใจขึ้นมาแล้ว เจ้าก็รอถึงวันนั้นแล้ว”
“เด็ก? โตเพียงใดถึงจะเรียกว่าโต? ตอนไทเฮาสิบห้าปีข้าก็เดินเป็นแล้ว นางยังเด็ก? ล้วนเป็นเพราะถูกตามใจ!”
“ถูกตามใจ? ข้าว่าพ่อของนางก็สอนนางได้ดี หากตามใจก็เป็นเจ้าที่ตามใจ อยู่ในมือเจ้าเป็นเหมือนดั่งสมบัติ! ว่าไม่ได้แตะไม่ได้ ยามนี้เจ้ายังมีหน้าบอกว่าเพราะถูกตามใจอีกหรือ” เหลียงอู๋เย่ว์นึกถึงสภาพของตัวเองก็รู้สึกเหนื่อยใจ “ข้ากลับมีคนที่อยากตามใจ เพียงแต่นางไม่ให้ข้าตามใจ ข้าเครียดยิ่งกว่าเจ้าเสียอีก ข้าพูดอะไรไปหรือ”
พวกเขาสามคนเป็นเพื่อนตั้งแต่ยังเด็ก ทั้งสามคนล้วนโชคร้ายเหมือนกัน ไม่มีใครราบรื่นบนเส้นทางแห่งความรักเลย