บทที่ 697 : คันธนูทองคำ และลูกธนูเงิน!

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

บทที่ 697 : คันธนูทองคำ และลูกธนูเงิน!

 

  รถสีเงินค่อยๆขับเคลื่อนไปบนท้องถนนในยามค่ำคืน..

 

  จู่ๆหลิงหยุนก็ถามขึ้นว่า“ข้าจะครอบครองดาบศักดิ์สิทธิ์ที่เหลืออีกเล่มได้อย่างไร”

 

  แต่น่าเสียดายที่ทั้งพอลกับเจสเตอร์ต่างก็ไม่รู้คำตอบ..

 

  ทั้งคู่นั้นไม่เคยพบเห็นเฉินเจี้ยนกุ่ยถือดาบพายุเล่มนี้มาก่อนด้วยซ้ำไปและแทบไม่อยากเชื่อว่าเฉินเจี้ยนกุ่ยจะมีดาบเล่มนี้อยู่ในครอบครอง จนถึงตอนนี้ทั้งคู่เองก็ยังงุนงงอยู่ไม่น้อย..

 

  หลิงหยุนครุ่นคิดพร้อมกับพึมพำออกไปว่า“ถ้าเช่นนั้นก็แสดงว่าอิทธิพลของตระกูลเฉินในอเมริกาก็คงจะไม่ธรรมดาเช่นกัน..”

 

  หลิงหยุนไม่เชื่อว่าเฉินเจี้ยนกุ่ยเพียงแค่คนเดียวจะสามารถค้นพบดาบพายุที่ทรงอานุภาพเช่นนี้ได้ แต่จะได้มาอย่างไรก็คงไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว เพราะถึงอย่างไรดาบเล่มนี้ก็ตกอยู่ในมือของเขาเรียบร้อยแล้ว

 

  “เฉินเจี้ยนกุ่ย..ตอนนี้เจ้าคงจะเศร้าใจมากสินะ!”

 

  แทบไม่ต้องสงสัยว่าการสูญเสียดาบพายุเล่มนี้จะสร้างความเจ็บปวดใจให้กับเฉินเจี้ยนกุ่ยมากเพียงใดตอนนี้เฉินเจี้ยนกุ่ยคงจะเจ็บปวดใจยิ่งกว่าการสูญเสียชีวิตของตนเองเสียอีก

 

  แต่ถึงอย่างไรก็ตามหากไม่ใช่เพราะดาบวิเศษเล่มนี้ เฉินเจี้ยนกุ่ยก็คงถูกหลิงหยุนสังหารตายไปแล้ว ดังนั้นเฉินเจี้ยนกุ่ยจึงนับว่าเป็นหนี้บุญคุณดาบเล่มนี้มากทีเดียว

 

  “ในเมื่อเฉินเจี้ยนกุ่ยมันมีดาบวิเศษเล่มนี้อยู่ในมือเหตุใดมันจึงไม่ใช้ดาบเล่มนี้ทำให้พวกเจ้าทั้งสองเป็นบริวารของมันล่ะ” หลิงหยุนถามคำถามต่อ

 

  “ลูกพี่..หมอนั่นคงไม่กล้าหรอก! นอกจากท่านแล้ว คงไม่มีแวมไพร์ตนใหนกล้าทำเช่นนั้นแน่! เพราะนั่นย่อมหมายถึงจุดจบของชีวิตหากถูกดวงจิตของราชาไดนาสท์จู่โจมเข้า…” เจสเตอร์พึมพำเบาๆ พร้อมกับขนหัวลุก

 

  “แต่..เหตุใดข้าจึงไม่รู้สึกว่าถูกดวงจิตของราชาไดนาสท์จู่โจลมเลยล่ะ!” หลิงหยุนร้องถามอย่างประหลาดใจ

 

  “ลูกพี่..นั่นเพราะดวงจิตและสายเลือดของท่านแข็งแกร่งกว่าราชาไดนาสท์.. ท่านเปรียบเหมือนหายนะของเหล่าแวมไพร์เลยล่ะ..” พอลอธิบายยิ้มๆ

 

  หลิงหยุนได้ฟังถึงกับชี้หน้าพอลอย่างโมโหพร้อมกับตะโกนถามอย่างไม่พอใจ“นี่เจ้า.. ในเมื่อเจ้ารู้อยู่แล้วว่าหากข้าใช้ดาบนั่น ก็อาจต้องโดนพลังจากดวงจิตของราชาไดนาสท์จู่โจมได้ เหตุใดเจ้าจึงไม่ห้าม แต่กลับยอมให้ข้าทำเช่นนั้น!”

 

  เจสเตอร์รีบอธิบายขึ้นทันที“ลูกพี่.. มันไม่ใช่อย่างที่ท่านคิด! ท่านไม่ใช่แวมไพร์ ดาบเล่มนี้หากอยู่ในมือของมนุษย์ธรรมดา มันก็จะเป็นแค่ดาบธรรมดาๆเท่านั้นเอง แต่มันจะทำให้เหล่าแวมไพร์หวาดกลัวเท่านั้น..”

 

  พอลเองก็รีบเสริมต่อ“แต่หากสายเลือดของมนุษย์ธรรมดานั้นแข็งแกร่งพอ ก็จะสามารถใช้ดาบพายุเล่มนี้ทำให้แวมไพร์กลายเป็นบริวารของตนได้ แล้วพวกเราก็คิดไม่ถึงจริงๆว่าสายเลือดของท่านจะมีพลังอำนาจที่น่าเหลือเชื่อแบบนี้.. พวกเราคิดไม่ถึงจริงๆ”

 

  หลังจากได้ฟังคำอธิบายหลิงหยุนจึงถามต่ออย่างสบายใจ..

 

  “แล้วแวมไพร์ระดับใหนจึงจะไม่เกรงกลัวพลังอาจของดาบพายุเล่มนี้”

 

  “อย่างน้อยก็ต้องอยู่ในขั้นแกรนด์ดยุค..แต่เจ้าคนชั่วเฉินเจี้ยนกุ่ยนั้นอาจจะไม่เกรงกลัวก็ได้ เพราะมันมีพลังลึกลับจากการฝึกฝนวรยุทธในแบบของชาวจีน เห็นได้จากที่มันอยู่ในขั้นไวส์เคานต์ แต่กล้าที่จะถือดาบวิเศษเล่มนี้ออกมา และสามารถใช้ดาบเล่มนี้ได้ราวกับเป็นดาบธรรมดาทั่วไป..”

 

  นับว่าพอลวิเคราะห์ได้อย่างถูกต้อง..

 

  “ถ้าเช่นนั้น..เวลานี้ดาบศักดิ์สิทธิ์อีกเล่มก็คงจะต้องอยู่ที่ใหนสักแห่ง”

 

  หลิงหยุนถามขึ้นและต้องการหาดาบวิเศษอีกหนึ่งเล่มให้พบ..

 

  ………….

 

  หลังจากที่กลับเข้าบ้านหลิงหยุนก็เดินเข้าไปในค่ายกลเขาวงกต และเดินเข้าไปสำรวจที่ห้องใต้ดิน เมื่อพบกับเกาเทียนหลง และเห็นว่าสถานการณ์ปกติดี จึงออกจากห้องใต้ดินกลับไปยังห้องนอนของตนเอง

 

  เรื่องอื่นอาจล่าช้าได้แต่การฝึกฝนของหลิงหยุนล่าช้าไม่ได้ เพราะเขาสามารถเข้าสู่ขั้นพลังชี่ได้ตลอดทุกวินาที..

 

  ………….

 

  เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น..

 

  หลังจากที่ฝึกวิชาเสร็จแล้วหลิงหยุนก็ได้โทรหาเหล่ากุ่ยสอบถามเรื่องโรงฆ่าสัตว์ และได้สั่งให้เขานำเลือดสัตว์จำนวนแปดสิบกิโลกรัมมาด้วย

 

  จากนั้นหลิงหยุนก็ลองให้พอลกับเจสเตอร์เดินตากแดดครู่หนึ่งผลปรากฏว่าทั้งคู่สามารถรับแสงอาทิตย์ได้ ในใจหลิงหยุนจึงเริ่มรู้สึกโล่งอก และมีความสุขอย่างมาก จากนั้นจึงได้พาแวมไพร์ทั้งสองตนออกไปรับประทานอาหารฝรั่งที่ร้านอาหารข้างนอก

 

  สำหรับพอลกับเจสเตอร์นั้นหลิงหยุนไม่เพียงแค่เป็นเจ้านายของพวกเขา แต่ยังเปรียบเหมือนพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดชีวิตใหม่ด้วย ในสายตาของทั้งคู่ หลิงหยุนจึงเปรียบเหมือนทั้งพระเจ้าและพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด!

 

  จากนั้นหลิงหยุนก็กลับไปที่สวนหลังบ้านเขาครุ่นคิดหาวิธีที่จะเปลี่ยนทองคำแท่งของเหมี่ยวเสี่ยวเหมาให้เป็นคันธนูทองโดยเร็วที่สุด

 

  ธนูที่หลิงหยุนต้องการนั้นคันธนูต้องทำจากทองคำ สายธนูนั้นเขาจะใช้ผ้าแพรไหมดำ ส่วนลูกธนูสำหรับปราบเหล่าแวมไพร์จะต้องทำจากเงินเท่านั้น..

 

  คันธนูทองคำลูกธนูเงิน และสายธนูผ้าแพรไหมดำ นับว่าเป็นอาวุธที่สุดยอดชิ้นหนึ่งทีเดียว!

 

  “ทองคำมีแล้ว..ยังขาดเงินบริสุทธิ์ข้าจะไปหาเงินบริสุทธิ์ได้จากที่ใหน”

 

  หลิงหยุนพึมพำเศร้าๆพร้อมกับอดที่จะคิดถึงถังเมิ่งไม่ได้ หากหมอนั่นอยู่ด้วย เขาคงไม่ต้องเสียเวลามานั่งคิดเรื่องพวกนี้ให้ปวดหัว เพราะเพียงแค่สั่งการไป ถังเมิ่งก็คงจะจัดหาทุกอย่างมาให้เขาได้แน่นอน..

 

  สำหรับคันธนูนั้น..หลิงหยุนต้องการทำมันขึ้นด้วยตัวเองเท่านั้น เพราะคันธนูเป็นตัวกำหนดความเร็ว และระยะการยิงของลูกธนู

 

  ส่วนเรื่องความแม่นยำในการยิงนั้นด้วยพละกำลัง และจิตหยั่งรู้บวกกับเนตรหยินหยางของเขาแล้ว หลิงหยุนเชื่อมั่นว่าสองมือของเขาไม่มีทางยิงพลาดเป้าอย่างแน่นอน

 

  ในไม่ช้าเหล่ากุ่ยก็มาถึง..เขานั่งรถมินิบัสคันเล็กๆมา และให้คนในรถสองคนช่วยกันยกถังสี่ถังที่บรรจุเลือดสดๆ ลงมา แต่ละถังมีเลือดบรรจุอยู่ราวยี่สิบกิโลกรัม

 

  หลังจากที่ทั้งสองคนช่วยกันยกถังทั้งสี่ใบเข้าไปไว้ในสวนแล้วก็รีบกลับออกไปโดยไม่ถามอะไร

 

  หลิงหยุนเรียกพอลกับเจสเตอร์มาสอบถาม“ข้าได้เลือดสดๆมาถึงสี่ถัง เจ้ามีวิธีทำให้เลือดอยู่ได้นานหรือไม่”

 

  พอลยิ้ม“ได้สิลูกพี่! นี่เป็นบทเรียนแรกที่พวกเราเหล่าแวมไพร์ต้องเรียนรู้เลยล่ะ..”

 

  พูดจบ..พอลก็เดินไปเปิดท้ายรถสีเงินของตนเองและหยิบขวดยาออกมาหนึ่งขวด จากนั้นพอลก็จัดการเปิดขวดยานั้นออก และทำการโรยผงที่เป็นผลึกสีดำแดงลงไปในถังบรรจุเลือดทั้งสี่ใบ

 

  หลังจากที่จัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยจึงหันไปพูดกับหลิงหยุนว่า “ลูกพี่.. นี่เป็นสารสกัดชนิดพิเศษที่ได้มาจากเลือดของแวมไพร์ คุณสมบัติของมันเหนือกว่ายาป้องกันเลือดแข็งตัวที่มนุษย์ผลิตหลายร้อยเท่า สารสกัดนี้ไม่เพียงป้องกันไม่ให้เลือดแข็งตัว แต่ยังช่วยให้เลือดสดตลอดไปอีกด้วย..”

 

  หลิงหยุนพยักหน้าอย่างเข้าใจพร้อมกับสั่งพอลว่า“เอาล่ะ.. เจ้าจัดการยกถังบรรจุดเลือดทั้งสี่นี้ไปไว้ที่หน้าประตูทางเข้าห้องใต้ดิน”

 

  พอลกับเจสเตอร์ต่างก็ง่วนอยู่กับการแบกถังไปไว้ที่หน้าประตูทางเข้าห้องใต้ดินตามคำสั่งของหลิงหยุนส่วนตัวเขาก็เดินกลับเข้าไปในบ้านพร้อมกับเหล่ากุ่ยที่ยังคงมีสีหน้าตกตะลึง..

 

  ทันทีที่เข้าไปในบ้านหลิงหยุนก็นั่งลงเอนกายพิงโซฟา ในขณะที่เหล่ากุ่ยยังคงจ้องมองเขาด้วยสีหน้าตกใจ และแทบไม่อยากเชื่อ..

 

  “นายน้อย..แวมไพร์สองตนนั่น พอลกับเจสเตอร์?” เหล่ากุ่ยได้แต่อึกอัก..

 

  หลิงหยุนหัวเราะอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับตอบไปว่า“เหล่ากุ่ย.. ท่านสบายใจได้ แวมไพร์สองตนนั่นได้กลายเป็นบริวารที่ซื่อสัตย์ของข้าไปแล้ว พวกเขาจะไม่มีวันทรยศข้าอย่างแน่นอน!”

 

  “แต่..เมื่อครู่ข้าเห็นพวกมันเดินตากแดด”

 

  เหล่ากุ่ยเห็นแวมไพร์สองตนไม่กลัวแสงอาทิตย์จึงได้แต่ตกใจ..

 

  “เรื่องนี้คงต้องเล่ายาว..”

 

  หลิงหยุนจึงเล่าเรื่องเมื่อคืนนนี้ให้เหล่ากุ่ยฟังเขาพยายามเล่าเฉพาะประเด็นสำคัญๆเท่านั้น แต่นั่นก็ยังกินเวลาไปถึงครึ่งชั่วโมง และเหล่ากุ่ยก็ได้แต่นั่งอ้าปากค้าง..

 

  “เหล่ากุ่ย..ตอนนี้คนของตระกูลเกาอยู่ที่ห้องใต้ดินแล้ว ท่านอยากจะไปดูพวกเขามั๊ย” หลิงหยุนเอ่ยถามเหล่ากุ่ย

 

  เหล่ากุ่ยถอนหายใจยาวก่อนจะพูดขึ้นในที่สุด“นายน้อย.. ข้าไม่สามารถไปพบพวกเขาได้หากไม่ได้รับอนุญาตจากท่านผู้นำตระกูล ส่วนเรื่องที่ท่านช่วยตระกูลเกาเพราะจิตเมตตา ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของท่านแต่เพียงผู้เดียวเถิด..”

 

  ตอนนี้ภายในห้องใต้ดินในบ้านของหลิงหยุนนอกจากเกาเฉินเฉินแล้ว ก็มีคนของตระกูลเกาอยู่ถึงสิบเอ็ดคน และมีผู้นำตระกูลเกาอยู่ด้วยกันถึงสามรุ่น ในเมื่อทุกคนล้วนแล้วแต่อยู่ในบ้านตระกูลหลิง จึงควรให้ผู้นำตระกูลหลิงเป็นผู้พูดคุยเจราจาด้วยเท่านั้น อีกทั้งเหล่ากุ่ยเองก็ไม่ต้องการเผยฐานะของตนเอง

 

  หลิงหยุนจึงไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกและเริ่มพูดเรื่องของตนเอง..

 

  “เหล่ากุ่ย..ข้ามีสองเรื่องที่ต้องทำอย่างเร่งด่วน! ข้าต้องการทำคันธนูและลูกธนู แล้วก็ต้องการทำปืนชนิดพิเศษที่มีลูกปืนทำจากเงินแท้ ท่านช่วยหาหนทางให้ข้าได้หรือไม่”

 

  “คงจะเป็นคันธนูยาวสินะ!นี่นายน้อยคงเกรงว่าเฉินเจี้ยนกุ่ยจะบินหนีขึ้นไปบนท้องฟ้าสินะ และคันธนูธรรมดาอาจจะยิงไม่ถึง..”

 

  เหล่ากุ่ยนับว่าเข้าใจความต้องการของหลิงหยุนได้ในทันที..

 

  หลิหงยุนพยักหน้า“ถูกต้อง.. มันคงคิดว่ามันบินได้ก็จะเก่งกาจเหลือเกินแล้วสินะ! ข้าจะทำให้มันรู้ตัวว่าแค่บินได้ไม่เท่าไหร่หรอก..”

 

  เหล่ากุ่ยตอบกลับยิ้มๆ“เรื่องนี้ง่ายมาก.. ข้าจะพาท่านไปที่แห่งหนึ่ง..”

 

  “ที่ใหนรึ”หลิงหยุนเห็นเหล่ากุ่ยทำท่าทางลึกลับ จึงเริ่มรู้สึกสนใจขึ้นมาทันที

 

  “นายน้อย..ท่านไม่ต้องถาม ไปถึงท่านก็จะเข้าใจเอง..”

 

  และก่อนที่หลิงหยุนจะออกไปเขาได้จัดการนำถังบรรจุเลือดทั้งสี่ใบลงไปไว้ในห้องใต้ดินที่ได้วางค่ายกลเขาวงกตด้วยตัวเอง จากนั้นจึงสั่งพอลกับเจสเตอร์ให้ทำหน้าที่เฝ้าสวนด้านหน้าและด้านหลังไว้ให้ดี จากนั้นจึงออกไปพร้อมกับเหล่ากุ่ย

 

  ทั้งสองคนขับรถเข้าไปในตัวเมืองมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือจนกระทั่งเข้าสู่ถนนวงแหวนที่เจ็ด และขับเข้าไปจอดในโรงงานเก่าๆแห่งหนึ่ง

 

  หลังจากที่เข้าไปในโรงงานแล้วทั้งคู่ก็เดินลงมาจากรถ และตรงเข้าไปด้านในของโรงงานทันที หลิงหยุนมองสำรวจไปรอบๆ ก็พบว่าภายในโรงงานมีคนงานอยู่เพียงสองสามคนเท่านั้น และดูเหมือนกำลังวุ่นวายอยู่กับบางสิ่งบางอย่าง จึงนึกประหลาดใจและเอ่ยถามขึ้นทันที

 

  “เหล่ากุ่ย..ที่นี่ที่ใหนกันแน่”

 

  เหล่ากุ่ยยิ้มมีเลศนัยพร้อมกับตอบไปว่า“นายน้อย.. ที่นี่คือโรงงานผลิตและเป็นคลังอาวุธของตระกูลหลิง!”