บทที่ 419 ความขัดแย้ง
ยามราตรีในเดือนแห่งน้ำแข็งมาเร็วขึ้น เกล็ดหิมะเล็กๆ แต่หนาแน่นกำลังเต้นระบำราวกับนางฟ้าภายใต้แสงไฟของโคมไฟริมถนนที่ดูศักดิ์สิทธิ์และพร่ามัว

แทบไม่เหลือใครเตร็ดเตร่อยู่บนถนน ผู้คนต่างขยับเสื้อโค้ทเพื่อไล่เกล็ดหิมะระหว่างเดินกันอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครมีเวลาชื่นชมความงามเหล่านี้

“สวยเหลือเกิน… แต่ทำไมพวกมันถึงต้องละลาย” อัลเฟอร์ริสมองที่จุดเล็กๆ ที่เปล่งประกายบน ‘ฝ่ามือ’ ของตนกำลังละลายเป็นน้ำ แล้วพูดพึมพำด้วยเสียงอันเศร้าสร้อย

เกล็ดหิมะเป็นประกายและโครงสร้างของมันก็ซับซ้อน ซึ่งเหมาะเจาะลงตัวกับรสนิยมของอัลเฟอร์ริส มันคงจะสะสมเกล็ดหิมะถ้าหากไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเกล็ดหิมะคืออะไร และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่อัลเฟอร์ริสไม่ชื่นชอบฤดูหนาวเอาเสียเลย

ในฐานะที่ทำสัญญาอายุ 100 ปี กับลูเซียน อัลเฟอร์ริสติดตามลูเซียนไปยังนครเรนทาโตอย่างมีความสุข หลังจากมันเขมือบแกะย่างหายากเข้าไปทั้งตัว มันแปลงกายเป็นเด็กหนุ่มอายุประมาณเจ็ดถึงแปดปี เพื่อให้พลเมืองไม่ต้องหวาดกลัว มันมีดวงตาสีอำพัน ผมสีทองเข้ม และสวมชุดสูทเล็กๆ ที่มีเนคไทอันน้อย

ในรถม้า อาร์เธอร์ ดอยล์ กำลังนั่งตัวสั่นอยู่ในมุมหนึ่ง เนื่องจากเขารู้ดีว่าเด็กชายน่ารักคนนี้แท้จริงแล้วคืออะไร แม้เขาจะรู้เรื่องราวมากมายแล้วก็มีภูมิหลังที่แข็งแรง เขาก็ยังคงหวาดกลัวเมื่อต้องเผชิญหน้ากับ ‘สัตว์ประหลาด’ ในตำนาน

“โคมไฟโค้งร้อนและแพงเกินไป เมืองส่วนใหญ่ไม่สามารถซื้อหาได้ ไม่แม้กระทั่งเรนทาโต ท่านจะเห็นโคมไฟแบบนี้เฉพาะในเขตขุนนางและตลาดที่เศรษฐกิจดีเท่านั้น” ลูเซียนเปลี่ยนเครื่องแต่งกายกับเป็นรสนิยมแบบโฮล์ม เขากำลังยิ้มและมองออกไปนอกรถม้า

อาร์เธอร์เอาชนะความกลัวด้วยความปรารถนาในทรัพย์สินเงินทอง เขามองตามลูเซียนออกไปและเห็นทัศนียภาพยามวิกาลด้านนอก แล้วเขาก็พูดขึ้นด้วยความตื่นเต้น “หลังจากหลอดไฟคริสตัลเวทมนตร์ผ่านการทดสอบ ราคาคงจะดิ่งลงอีกครั้ง ข้าจะหารือกับผู้ว่าการของศาลาว่าการนครเรนทาโต ถนนทุกเส้นในเมืองนี้จะใช้หลอดไฟเวทมนตร์ ไม่อยากจะคิดเลยว่าเราจะหาเงินได้เยอะขนาดไหน เราสามารถโฆษณาผลิตภัณฑ์ในเมืองและประเทศอื่นๆ ด้วย…” เขาจินตนาการไม่ได้ว่ามูลค่าของหลอดไฟจะมากมายแค่ไหน

อัลเฟอร์ริสหันหน้ากลับมาทันที หลังจากได้ยินคำว่า ‘เงิน’ มันพยายามพิจารณาว่าสองคนนี้คุยอะไรกัน อาร์เธอร์ตกใจกลัวมาก จนถึงกับเกือบทำถ้วยน้ำชากระเบื้องเคลือบสีขาวมันวาวหล่นจากมือ

“ธุรกิจนี้มาพร้อมกับโอกาสที่ยิ่งใหญ่และผลกำไรจะเยอะจนไม่น่าเชื่อ อัลเฟอร์ริส หากเจ้าอยากร่วมกับเรา เจ้าต้องซื้อหุ้นด้วยทอง อัญมณี และคริสตัลของเจ้า เจ้ามีเก็บสะสมไว้เยอะอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?” ลูเซียนพูดติดตลกกับอัลเฟอร์ริส อย่างไรก็ตาม หากอัลเฟอร์ริสอยากร่วมหุ้นด้วยจริงๆ องค์กรเจตจำนงแห่งธาตุก็คงไม่มีปัญหาอะไร การผลิตและการพัฒนาในช่วงแรกๆ ต้องใช้เงินลงทุนสูง และก่อนที่ราคาจะต่ำลงมา ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถมีหลอดไฟใช้ นั่นอาจทำให้หัวใจของคนขี้เหนียวอย่างมอร์ริสแตกสลายได้

“ทอง อัญมณี และคริสตัล? จริงหรือ…” อัลเฟอร์ริสพยายามทำเหมือนว่ามันไม่ได้สนใจ แต่อันที่จริงกำลังคิดหนักอยู่ในหัว ความร่ำรวยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตและทอง อัญมณี และคริสตัลเปล่งประกายอยู่ในกลุ่มสมบัติของมัน มันต้องการทั้งสองอย่าง!

อัลเฟอร์ริสพยายามคิดทบทวนอย่างหนักจนไม่ทันได้สังเกตว่ารถม้ามาถึงคฤหาสน์ของดยุกเจมส์ในเขตขุนนางแล้ว

“ขอต้อนรับ อีวานส์ สมาชิกคณะกรรมการตรวจสอบอาร์คานาที่หนุ่มและหล่อเหลาที่สุดของเรา น่าเสียดายที่ธิดาและหลานสาวของข้าต่างมีครอบครัวไปหมดแล้ว ไม่อย่างนั้นพวกนางคงขอให้ข้าแนะนำเจ้ากับพวกนาง” ดยุกเจมส์ซึ่งดูลักษณะเหมือนคนหัวโล้นหน้าขี้โกงกล่าวต้อนรับพวกเขา ทุกคนอยู่ล้อมรอบกองไฟอันอบอุ่นในสวน เขาและบรรดาแขกเหรื่อดูเหมือนว่ากำลังเฝ้ารอบางสิ่ง

ลูเซียนส่งยิ้มเมื่อเขาลงมาจากรถม้า “นับเป็นเกียรติอย่างสูงที่ได้รับการต้อนรับจากดยุกเจมส์ด้วยตัวเองขอรับ ข้ารู้สึกเหมือนเป็นราชาหรือเจ้าชายเลยทีเดียว ทำไมทุกคนออกมาอยู่ข้างนอกกันขอรับ?”

คฤหาสน์มืดสนิททั้งหลังไม่มีแม้แต่วี่แววแสงไฟ จนดูเกือบรู้สึกว่าคฤหาสน์ได้ประสานเป็นเนื้อเดียวกับราตรีอันมืดมิด

“เทียนทุกเล่มในคฤหาสน์เปลี่ยนเป็นหลอดไฟคริสตัลเวทมนตร์หมดแล้ว แล้วเราจะเปิดไฟทีละดวงๆ ในราตรีอันมืดมิดนี้ นี่เป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำ เราจะเริ่มต้นเมื่อแขกทุกคนมากันครบแล้ว” ศีรษะของดยุกสะท้อนแสงสีส้มจากกองไฟ

ลูเซียนนึกขำอยู่ในใจเนื่องจากเขาคิดว่าดยุก ดยุกคงจะมีจิตวิญญาณแข่งฮิปสเตอร์ แม้จะเป็นฮิปสเตอร์แก่ๆ ก็ตาม

มีการจัดงานพิเศษบางอย่างในสวน ดังนั้นถึงแม้ว่าจะมีกองไฟเพียงกองเดียว แต่ก็ไม่มีความหนาวเย็นหลงเหลืออยู่ เด็กสาวและสุภาพสตรีชั้นสูงไม่มีใครปริปากบ่น ในทางกลับกัน ทุกคนกับสนใจในรูปแบบงานเลี้ยงแนวใหม่นี้

“ร่างกายของเจ้าชายทรงอ่อนแอและราตรีก็หนาวเย็น ข้าเลยไม่ได้ชวนเขามา เอาล่ะ ขอข้าแนะนำท่านให้กับสหายของข้า” ดยุกเจมส์นำลูเซียนไปยังผู้คนมากหน้าหลายตาที่ดูเหมือนนักเวท หลังจากลูเซียนทักทายกับเหล่าขุนนางชั้นสูงที่เขาคุ้นเคยแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเป็นนักเวทจากสำนักแม่เหล็กไฟฟ้าที่อาร์เธอร์เคยเอ่ยถึงเรื่องคนที่ช่วยติดตั้งเส้นทางและเครื่องแปลงสัญญาณ

ขณะเดินเข้าไปหาบุรุษสองคนและสตรีอีกหนึ่งคน เจมส์ก็ชี้มาที่ลูเซียนและพูดขึ้น “ข้าคิดว่าพวกเจ้าคงรู้แล้วว่าเขาคือใคร ข้าควรข้ามการแนะนำตัวไปเลยสินะ จอมเวทระดับหก นักเวทระดับห้า สมาชิกคณะกรรมการตรวจสอบอาร์คานาที่อายุน้อยที่สุด อัจฉริยะผู้ได้รับรางวัลสูงสุดจากสำนักธาตุและสำนักศาสตร์มืด ท่านลูเซียน อีวานส์”

ลูเซียนยังไม่ได้ยื่นอันดับนักเวทของเขา เขากำลังรอให้ทุกอย่างลงตัวเสร็จก่อน

“ขอต้อนรับ ท่านอีวานส์” ชายชราผมขาวสลับดำที่จัดแต่งอย่างดีคนหนึ่งกล่าวขึ้น ชายหนุ่มและหญิงสาวที่อยู่ข้างๆ เขาก็ค้อมตัวแสดงความเคารพอย่างสุภาพ “ขอต้อนรับ ท่านอีวานส์”

“นี่คือท่านบาเร็ก เทรเวอร์ส จอมเวทสายแม่เหล็กไฟฟ้าระดับหก และนักเวทระดับเจ็ด เขาเป็นลูกศิษย์ของ ‘จักรพรรดิแห่งการควบคุม’ ท่านบรูค” เจมส์แนะนำชายชราผู้มีดวงตาสีทองและมองลูเซียนด้วยสีหน้าจริงจัง “แล้วสองคนนี้ก็เป็นลูกศิษย์ของเขา นักเวทชั้นกลาง ลิลเลียนกับไอแซค”

ลิลเลียนเป็นหญิงสาวที่มีความมุ่งมั่น ผมยาวสีน้ำตาลยาว ขณะที่ไอแซคดูเหมือนจะมีสายเลือด ‘ยักษ์เพลิง’ เนื่องจากเขาตัวสูงและเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ และผมคงเขาก็มีสีดั่งเพลิง

“ท่านเทรเวอร์ส ลิลเลียน และไอแซค ยินดีที่ได้รู้จักขอรับ” ลูเซียนพยักหน้าเล็กน้อยและทักทายพวกเขาทีละคน

เจมส์หัวเราะคิกคัก “บาเร็กเป็นสหายของข้าตั้งแต่วัยเด็ก เขาปลุกพลังโลหิตไม่สำเร็จ เขาจึงกลายเป็นนักเวท แต่ว่าเขามีพรสวรรค์สูงในฐานะนักเวทและได้รับการยอมรับท่านบรูค เขาได้ขึ้นเป็นจอมเวทระดับสูงโดยง่ายดาย ข้าคิดว่าคงใช้เวลาไม่นานเขาก็คงเหนือกว่าข้า แม้ข้าเริ่มต้นก่อนเขามานานก็ตาม”

“ช่วงนี้เราพยายามจะสร้างสิ่งประดิษฐ์แร่แปรธาตุใหม่ๆ โดยใช้แม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งเขามีความชำนาญพิเศษ ข้าเลยขอให้เขาช่วย”

ฟังดูเหมือนว่าบาเร็กมาจากตระกูลขุนนางเล็กๆ แม้เขาจะไม่มีตำแหน่งขุนนาง เขาก็ยังเป็นตัวแทนของสมาชิกคณะกรรมการซึ่งใกล้ชิดกับขุนนาง หลังจากได้รับการแนะนำให้กับกลุ่มเสรีนิยมโดยเจ้าชายแพทริก ลูเซียนก็ขยายเครือข่ายทางสังคมของเขาออกไปมาก

“อีวานส์ อิเล็กตรอนที่ท่านค้นพบมีประโยชน์อย่างยิ่งในสาขาแม่เหล็กไฟฟ้า ทฤษฎีต่างๆ มากมายมีความหมายลึกยิ่งขึ้น” ดูเหมือนว่าบาเร็กไม่รู้วิธีมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน เขาเลยตรงเข้าเรื่องอาร์คานาศาสตร์

ลูเซียนไม่อยากเสียเวลาคุยเรื่องพื้นฐาน เขาเริ่มคุยกับบาเร็กถึงสถานการณ์ที่เป็นไปได้ของการศึกษาสาขาแม่เหล็กไฟฟ้า ลิลเลียนและไอแซคตัดสินใจอยู่เงียบๆ และฟังบทสนทนาของทั้งคู่อยู่ด้านข้าง

“อีวานส์ ท่านได้ยินเรื่องการทดลองของท่านประธานดักลาสหรือยัง?” จู่ๆ บาเร็กก็เอ่ยถึงการทดลองขึ้นมา

ลูเซียนส่ายศีรษะด้วยความสับสน “คือช่วงหลังๆ นี้ ข้าใช้เวลาส่วนใหญ่วิเคราะห์เวทมนตร์และพัฒนาตัวเอง ข้าเลยไม่ค่อยรู้เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นช่วงนี้”

“ประธานดักลาสออกแบบการทดลองชิ้นหนึ่ง พยายามอธิบายว่าไม่มีการเคลื่อนที่สัมพันธ์ต่ออีเธอร์ และความเร็วของแสงจะเท่ากันในทุกทิศทาง” บาเร็กพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย จนฟังดูเหมือนเขาไม่ได้กำลังพูดถึงหัวข้อที่กำลังเป็นกระแสร้อนแรง

ลูเซียนเข้าใจสถานการณ์ในที่สุด หากไม่มีเรื่องอื่นมาขัดจังหวะ ดักลาสคงทำการทดลองที่เขาเอ่ยถึงในจดหมายสำเร็จไปแล้วและยืนยันได้ว่าอีเธอร์ไม่มีอยู่จริง หากไม่มีอีเธอร์ ก็ไม่มีทางที่แสงจะตกถึงพื้น หากแสงเป็นคลื่น และโลกก็คงมืดมิด

เขาปฏิเสธทฤษฎีคลื่นของแสงจากมุมมองตรงข้าม

“อีวานส์ ท่านคิดว่าการทดลองนี้เป็นอย่างไร?” ดวงตาสีทองของบาเร็กเป็นประกายและท่าทางของเขาก็ขึงขังขึ้นมา ดูเหมือนว่าคำตอบของลูเซียนจะเป็นตัวตัดสินว่าทั้งสองคนเป็นสหายกันหรือไม่

ลูเซียนคิดหนักอยู่ในหัวหลังจากเห็นท่าทีของเขา เขาไม่ได้คาดหวังการสนับสนุนทฤษฎีคลื่นและทฤษฎีอนุภาคเพื่อก่อให้เกิดความเกลียดชังฝ่ายตรงข้าม

เมื่อคิดทบทวนถึงสำนักเวทมนตร์ที่สาขาต่างๆ ของแม่เหล็กไฟฟ้าสนับสนุนทฤษฎีคลื่น และสาขาธาตุสนับสนุนทฤษฎีอนุภาคเป็นเหตุผลหลักของความขัดแย้ง ลูเซียนมีความเข้าใจลึกซึ้งถึงกฎแห่งการโต้เถียงซึ่งคงอยู่มาตลอดประวัติศาสตร์ของเวทมนตร์

เมื่อผู้คนลืมตาขึ้นเป็นครั้งแรก สิ่งที่จะสัมผัสได้ก็คือแสง หากเปรียบเทียบระหว่างเวลากลางวันและเวลากลางคืน มนุษย์ยุคโบราณย่อมชอบแสง พวกเขาจึงคิดว่าแสงเป็นตัวแทนของชีวิตและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตั้งแต่เวทมนตร์กำเนิดขึ้นมา นักเวทก็ไม่เคยหยุดศึกษาความจริงเรื่องแสง หลังจากพบว่าแสงมีส่วนคล้ายคลึงกับพลังวิญญาณ การศึกษาเรื่องแสงจะกลายเป็นหนึ่งในหัวข้อที่ต้องศึกษาไปตลอดกาล

เมื่อเปรียบเทียบกับทฤษฎี เช่น ‘สารัตถนิยมแห่งพลังงาน’ ที่ได้รับการสนับสนุนจากไวเคานต์โรแลนด์ ‘ทฤษฎีหลักฐานอะตอม’ ของสำนักธาตุ และ ‘ทฤษฎีพลังชีวิต’ ของสำนักศาสตร์มืด ‘ทฤษฎีอนุภาค’ ที่นำโดยดักลาส และ ‘ทฤษฎีคลื่น’ ที่นำโดยบรูค เป็นสองทฤษฎีหลักที่เกี่ยวข้องกับนักเวททุกคนในสภาเวทมนตร์ และยังเป็นข้อขัดแย้งหลักในการวิจัยด้วยเช่นกัน

หากคณะกรรมการถูกเปลี่ยนเป็นศาสนจักร นอกเหนือจากคนที่ยังไม่ตัดสินใจเลือก ผู้สนับสนุนทฤษฎีคลื่นและผู้สนับสนุนทฤษฎีอะตอมคงประณามอีกฝ่ายว่าเป็น ‘พวกนอกรีต!’

ในสถานการณ์เช่นนี้ การเอ่ยถึงทฤษฎี ‘ทวิภาคของคลื่น–อนุภาค’ คงไม่ก่อให้เกิดการประนีประนอม ตรงกันข้าม อาจกลายเป็นพวกนอกรีตพวกใหม่และอาจถูกโจมตีจากผู้สนับสนุนของทั้งสองทฤษฎี

ลูเซียนคิดอยู่ในใจสักพักแล้วยิ้มออกมา “ตามคำอธิบายของท่าน ท่านบาเร็ก ดูเหมือนจะเป็นการทดลองด้วย ‘ระบบปฏิวัติดาราศาสตร์’ ปัจจุบันยังไม่ได้รับการยืนยันด้วยการค้นพบดาวเคราะห์สักดวงเลย”

ลูเซียนพูดคำเดียวกันกับที่เขาใช้ตอบอาจารย์ของเขา เฟอร์นันโด

“มีเหตุผล” ท่าทีของบาเร็กดูอ่อนลง จนเกือบรู้สึกได้ว่าตราบใดที่ลูเซียนไม่ได้สนับสนุนทฤษฎีอนุภาคและการทดลองของดักลาส พวกเขาก็พอคบหากันได้

ในตอนนั้นเอง แขกทุกคนของดยุกเจมส์ก็มาถึงงาน เขาจึงปรบมือและชี้ชวนให้ทุกคนมองไปยังคฤหาสน์ นักเวทลิลเลียนเดินไปยังทางเข้าแล้วยิ้มออกมา “ทุกท่าน ด้วยไฟฟ้านี้ หลอดไฟคริสตัลเวทมนตร์ไม่จำเป็นต้องเปิดด้วยพลังวิญญาณอีกต่อไป แม้กระทั่งขุนนางที่ไร้ความสามารถที่สุดก็สามารถใช้งานได้เหมือนใช้ปากกาขนนก อันที่จริงแล้ว มันง่ายเสียยิ่งกว่า เช่น เพียงข้ากดปุ่มๆ เดียว ไฟของทั้งคฤหาสน์ก็จะเปิดขึ้น”

เพื่อให้ดยุกเจมส์ได้โอ้อวดสมใจ บาเร็กจึงสร้างสวิตช์ไฟหลักชั่วคราวไว้ข้างนอก

“เยี่ยมมาก ดับไฟกองไฟก่อน” เจมส์พึงพอใจที่สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทั้งหลายกำลังจ้องมองไปที่คฤหาสน์ด้วยความอยากรู้อยาก เขาโบกมือเพื่อให้คนดับกองไฟ

ลิลเลียนตั้งใจกดสวิตช์ไฟอย่างแรงท่ามกลางความมืด

*ปิ๊บ*

หลังจากเสียงแผ่วเบา หลอดไฟคริสตัลเวทมนตร์ในคฤหาสน์ทุกดวงก็ส่องสว่าง

แสงสว่างไสวทำลายความมืดและขับไล่ความกลัวเอาไป สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกประหนึ่ง ‘เทพ’ มาเยือน ช่างเหมือนกับแสงยามเช้าที่มาขับไล่ราตรี!

นี่คือก้าวสำคัญในประวัติศาสตร์มนุษย์!