หลี่กงกงสองตาตั้ง สาวเท้าถอยหลังไปก้าวหนึ่งในทันที “ฝ่าบาท….บ่าวเฒ่าคงจะรบกับเจ้าไก่ตัวนี้ไม่ไหว”
ฮ่องเต้ทรงใช้พระหัตถ์ข้างหนึ่งถือดาบล้ำค่าชี้ไปทางเจ้าไก่ขนดำตัวฟู พระหัตถ์อีกข้างที่ยังบาดเจ็บไม่หายก็เท้าสะเอวไว้ “สู้ไม่ได้ก็ไปเรียกองครักษ์มา เจ้าไก่ตัวนี้อวบอ้วนดีนัก หากไทเฮาได้ทรงเสวยจะต้องฟื้นฟูกำลังเหมือนดังแต่ก่อนแน่”
หลี่กงกง “…..” เขาอยากจะร้องไห้ เหล่าองครักษ์มีหน้าที่พิทักษ์วังหลวง ครั้งก่อนถูกเรียกไปขุดหลุมเปิดอุโมงค์ก็นับว่ายอมเสียเกียรติพอแล้ว ครั้งนี้ยังจะให้เรียกมาจับไก่?
เขาเดาว่าหากตนเองนำกระแสรับสั่งนี้ไปถ่ายทอดละก็ พวกองครักษ์คงเฉือนเขาออกมาเป็นเนื้อแผ่นจิ้มซอสเปรี้ยวแน่
เจ้าไก่ขนดำตัวฟูเองก็ยกเท้าถีบไม่ยอมหยุด หากว่าพี่สาวตัวน้อยยอมปล่อยตัวมันลงละก็ มันสามารถไปต่อสู้กับเจ้าคนน่ารังเกียจนี่ได้สามร้อยกระบวนท่า!
แต่ว่าชื่อติ๊งต๊องนี่ก็ฟังเพราะดีนะ….มันจะต้องฝึกฝนบำเพ็ญเพียรให้มาก จะต้องมีความสำเร็จให้เหนือกว่ายอดอินทรีทองให้ได้ (พี่อินทรีในเรื่องเอี้ยก้วย)
พี่สาวตัวน้อยไม่เพียงรักเอ็นดูมันที่สุด ทั้งยังมีพรสวรรค์ในการตั้งชื่ออีกด้วย!
“เอาอย่างนี้นะเพคะ ฝ่าบาท ตอนนี้เจ้าไก่ตัวนี้ออกจะอ้วนไปแล้ว ไขมันเยอะเกินไป หม่อมฉันชอนทานแบบเนื้อๆ รอผ่านไปสักพักให้มันผอมลงแล้ว ค่อยกินก็แล้วกัน” ตู๋กูซิงหลันขวางอยู่เบื้องหน้าไก่อ้วนตัวนั้น จดจ้องจีเฉวียนที่มีแต่เครื่องประดับล้ำค่าเต็มตัว นางรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาในทันที “วันนี้ฝ่าบาทเสด็จมายังตำหนักเฟิ่งหมิง ไม่ทราบว่าทรงมีพระประสงค์ใดหรือเพคะ? “
จะอย่างไรนางก็เป็นคนที่มาจากโลกปัจจุบัน ห่างกับเจ้าฮ่องเต้สุนัขนี่หลายร้อยรุ่น อีกหน่อยคงต้องระมัดระวังคำพูดที่ทำให้คนเข้าใจผิดนี้ให้ดี
“หากไม่มีธุระอันใดเราจะมาไม่ได้หรือ? ” ดาบล้ำค่าในหัตถ์ของจีเฉวียนยังถูกกำไว้แน่น เขาหรี่เนตรมองดูนาง ยิ่งนางอยากจะปกป้องเจ้าไก่นั่นเท่าไหร่ เขายิ่งคิดจะจับมันมาตุ๋นให้ได้เท่านั่น!
” นั่นย่อมได้อยู่แล้ว! ” ตู๋กูซิงหลันคลี่ยิ้มอ่อนหวาน “ทั่วทั้งแคว้นล้วนเป็นของท่าน ท่านย่อมสามารถไปได้ทุกที่”
พอเห็นว่านางมีท่าทีที่อ่อนน้อมเชื่อฟัง ฮ่องเต้ก็ทรงพระอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย
สตรีผู้นี้ช่างรู้จักสั่งอาหารตามใจผู้อื่น ยามอยู่ในสุสานเย่วฮูหยินคาดว่าคงจะต้องเคยคิดจะจับเขาฝังไว้ทั้งเป็นสิท่า?
พอยามนี้กลับใช้วิธีเชื่อฟังวาจา ประจบสอพลอได้คล่องนัก
พระองค์เสด็จมาถึงข้างตัวนาง สะบัดเท้าครั้งเดียวก็ส่งเจ้าไก่กุ๊กนั้นกระเด็นไปไกลหลายเมตร พระองค์ที่ร่างสูงใหญ่ค้อมลงมองนาง “อีกครึ่งเดือนให้หลัง เราจะจัดพิธีแต่งตั้งท่านหญิงให้กับซุ่นเอ๋อร์ เจ้าเป็นถึงไทเฮา ย่อมต้องไปร่วมงานด้วยตนเอง”
ซุ่นเอ๋อร์……..ชื่อนี้ตู๋กูซิงหลันย่อมเคยได้ยินมาบ้าง บุตรสาวที่แสนน่ารักขององค์หญิงใหญ่ ฉางซุนซุ่นเอ๋อร์
ในคืนนั้นที่มีงานเลี้ยง นางเองก็ได้พบแล้ว เพียงแต่ไม่ได้พูดคุยกับองค์หญิงใหญ่เท่านั้น แต่ว่าก็จดจำเด็กน้อยที่ดูร่าเริงสดใสนั้นได้อยู่บ้าง
ธิดาเพียงคนเดียวขององค์หญิงใหญ่ เพียงเกิดมาก็มีฐานะเป็นถึงท่านหญิง แต่ว่าทำไมต้องรอให้โตถึงเพียงนี้ถึงได้ค่อยจัดพิธีแต่งตั้งให้?
ตู๋กูซิงหลันก็ถามโพล่งออกไปด้วยความสงสัย
นานๆ ทีจีเฉวียนจะทรงมีน้ำพระทัยอธิบายให้นางฟังสักครั้ง “ซุ่นเอ๋อร์เป็นธิดาเพียงคนเดียวขององค์หญิงใหญ่ ย่อมมิใช่ท่านหญิงทั่วไป ยิ่งไปกว่านั้นบิดาของนางสิ้นไปเพื่อปกป้องชาติบ้านเมือง สละชีพอยู่ท่ามกลางสนามรบ พระราชวงค์ย่อมมีเมตตารักใคร่นางมากกว่าเดิม”
“ฐานะของนางสูงล้ำ สมควรที่โอรสสวรรค์จะประทานยศนี้ให้ด้วยพระองค์เอง มีบันทึกลงในพงศาวดารตามโบราณราชประเพณีของเชื้อพระวงศ์ ยามที่นางอายุครบหกปีจึงจะเข้ารับการแต่งตั้ง”
” อีกครึ่งเดือนนางก็จะอายุครบหกปีพอดี ยามนั้นไทเฮาก็ไปเยือนจวนขององค์หญิงใหญ่พร้อมกันกับเรา”
คราวนี้ตู๋กูซิงหลันถึงได้เข้าใจที่มาที่ไป
จีเฉวียนลากนางไปด้วยกัน ก็เพื่อเป็นการให้เกียรติท่านหญิงน้อยเพิ่มขึ้นอีกหน่อย
“ไทเฮาสูญเสียความทรงจำไม่อาจฟื้นฟู ครึ่งเดือนนี้จงร่ำเรียนมารยาทให้ดี อย่าได้ทำเสียกิริยาในงานพิธีแต่งตั้งท่านหญิงได้ พาลให้คนหัวเราะเยาะเอา”
ตู๋กูซิงหลันพยักหน้าติดๆ กัน “ก็ได้ๆ “
“ครั้งนี้เจ้ากลับรู้จักเชื่อฟังนัก” จีเฉวียนทรงเก็บดาบล้ำค่าที่ถูกจิกเป็นรูนั้นกลับเข้าฝัก ทอดพระเนตรมองดูนาง มุมพระโอษฐ์ก็ยกยิ้มขึ้นอย่างไร้ที่มา
จากนั้นก็เห็นเขาถอดแหวนหยกวงใหญ่ในนิ้วแม่โป้งขวาออกมาประทานให้นางอย่างไม่มีสัญญาณบอกกล่าวล่วงหน้า “สิ่งนี่ให้เจ้าไว้ ของของเราจึงจะนับว่าดีที่สุด ของทั้งหมดในห้องนี้ไม่อาจเทียบได้
จากนั้นก็ฉวยโอกาสที่นางกำลังตกตะลึงไม่ทันได้มีปฎิกิริยา ยัดเยียดแหวนหยกที่มีไออุ่นจากหัตถ์ของตนเองนั้นใส่ในมือของตู๋กูซิงหลันไป
“ให้ข้าจริงๆ หรือ? ” ตู๋กูซิงหลันจ้องมองดูแหวนหยกในมือ ยังคงนึกว่าตนเองฝันไป
เจ้าฮ่องเต้สุนัขที่เป็นดั่งพ่อไก่ขนเหล็กผู้นี้ ทำดีต่อนางได้ด้วยหรือ?
มีเล่ห์กลใดหรือไม่?
หลี่กงกงตกตะลึงค้างไปเสียแล้ว หากว่าเขาจำได้ไม่ผิดละก็ แหวนหยกวงนั้นเป็นสิ่งที่ฝ่าบาททรงสวมติดพระดัชนีมาตั้งแต่ยามที่ทรงเป็นองค์ชายสี่
นี่…….บทจะให้ก็ให้เลย?
ก่อนหน้านี้ฝ่าบาททรงเสด็จไปยังท้องพระคลังตรวจดูสมบัติของตระกูลท่านรองมหาเสนาฯ แต่ว่าสุดท้ายกลับไม่ได้ทรงเลือกสิ่งใด แต่กลับประทานสิ่งของประจำพระองค์แก่ไทเฮา?
“หากว่าเจ้าไม่ต้องการ เราก็ไม่รังเกียจที่จะรับคืนมา” จีเฉวียนพระพัตร์เรียบเฉยดุจแผ่นเหล็ก ยื่นพระหัตถ์ออกมา
ตู๋กูซิงหลันรีบซุกมือเก็บไว้ “นี่เป็นของที่ทรงประทานให้ด้วยพระองค์เอง ย่อมไม่อาจเรียกคืนได้”
แหวนหยกวงนี้ดูก็รู้ว่าราคาแพงลิบลิ่ว เรื่องจะไม่เอานั้นไม่มีทาง
……………………………………………..
พระตำหนักเฟิ่งหมิงที่คึกคักพลุกพล่านอยู่หลายวันในที่สุดก็เงียบสงบลงแล้ว หลายวันมานี้ตู๋กูซิงหลันมักจะพาวิญญาณทมิฬไปยังทะเลสาบหยู่จือถาน อาศัยพลังไอทิพย์ของที่นั่นรักษาอาการบาดเจ็บให้มัน
อาการของมันไม่เบา ตู๋กูซิงหลันไม่มีหนทางอื่นได้แต่จำต้องใช้พลังของหยกสรรพชีวิต ถึงได้สามารถทำให้รากฐานในดวงจิตของมันมั่นคงขึ้นได้
ร่างกายของนางในตอนนี้ไม่อาจเทียบได้กับร่างเดิมของนางในโลกก่อนที่สามารถใช้หยกสรรพชีวิตได้ดังใจนึก หากว่าไม่ระวังละก็อาจก่อให้เกิดปัญหาได้
ไม่เพียงแต่วิญญาณทมิฬจะต้องเติบโตขึ้น นางเองก็จะต้องแข็งแกร่งขึ้นด้วย
เมื่อได้ดูดซับไอทิพย์หลายวันเข้า วิญญาณทมิฬก็ดีขึ้นมาก
ค่ำวันนี้เมื่อนางกลับไป ก็มองเห็นแต่ไกลว่าเสียนไท่เฟยและนางกำนัลประจำตัวของนางชิงผิงยืนรออยู่นอกตำหนักเฟิ่งหมิง
เสียนไท่เฟยสวมชุดเรียบง่าย ตลอดทั้งร่างยังคงมีกลิ่นอายเครื่องหอมถานเซียงเสมือนที่ผ่านมา
ภานใต้แสงสว่างยามค่ำคืน ดวงเนตรที่ลึกล้ำของนางจดจ้องตู๋กูซิงหลันโดยไม่กระพริบ เมื่อคำนับนางครั้งหนึ่งก็กล่าวว่า “ไทเฮาเพคะ หม่อมฉันมารบกวนแล้ว”
ตู๋กูซิงหลันเหลือบตามองดูนางครั้งหนึ่ง แต่ไม่ได้เชิญคนเข้าไปภายในตำหนัก นางยืนอยู่ต่อหน้าเสียนไท่เฟย สบตามองนางอย่างตรงไปตรงมา
“เสียนไท่เฟยมิต้องมารยาท”
เสียนไท่เฟยเงยหน้าขึ้น จดจ้องมองนางเนิ่นนาง ค่อยคลี่ยิ้มอ่อนโยน “ไทเฮาได้รับการชำระความบริสุทธิ์ อีกทั้งยังได้รับความสำคัญจากฝ่าบาท หม่อมฉันสมควรมาแสดงความยินดีแต่แรกๆ เพียงแต่ช่วงนี้ สถานที่ของท่านทุกวันต่างมีเรื่องคึกคัก หม่อมฉันไม่กล้ารบกวน ได้แต่รอจนเย็นค่ำจึงได้มา”
“ไท่เฟยมีคำพูดใดก็บอกกล่าวตามตรงเถอะ ด้วยความสัมพันธ์ของข้าและท่าน ไม่จำเป็นจะต้องกล่าวอ้อมค้อม” ตู๋กูซิงหลันพิงตัวกับลำต้นของไฮ่ถาง กอดอกมองนาง
“ยากนักที่ไทเฮาจะยังทรงจดจำความสัมพันธ์เดิมของพวกเราได้ ” สายตาของเสียนไท่เฟยมองดูอย่างอบอุ่น
พูดแล้ว นางก็คุกเข่าลงเสียงดังต่อหน้าตู๋กูซิงหลันในทันที “ชั่วชีวิตของข้าไม่เคยขอร้องผู้ใดมาก่อน แต่ครั้งนี้ ขอไทเฮาได้โปรดช่วยเหลือเย่เอ๋อร์”
“เขาถูกขังอยู่ในตำหนักเย็น ข้าสอบถามอยู่หลายรอบถึงได้ทราบความ ว่าเขาเป็นคนบงการให้เต๋อเฟยทำร้ายท่านจนเกิดเรื่องปีนเตียงมังกรของฮ่องเต้องค์ใหม่”
“ต่อให้ไทเฮาทรงสูญเสียความทรงจำไปแล้ว แต่คงไม่ได้ลืมเลือนว่าเขารักท่านลึกล้ำเพียงไหน เขามีหรือจะกระทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้? “
เสียนไท่เฟยพูดอย่างรวบรัดชัดเจน “พวกเจ้ามีความผูกพันกันแต่ไร้วาสนา ความรู้สึกที่มีให้เจ้าตั้งแต่แรกจนถึงบัดนี้ล้วนไม่เคยเปลี่ยนแปลง”
ตู๋กูซิงหลันมองสตรีที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้า ในใจไม่มีความร้อนรนแม้แต่น้อย “ไม่ใช่เขา งั้นเป็นใครละ? “
——
焚香 (ถานเสียง) ไม้หอมที่ใช้ผสมในเครื่องหอม กำญาน หรือธูปหอม