ตอนที่ 731 นี่เป็นการใส่ร้าย / ตอนที่ 732 ใครเป็นบุรุษของเจ้ากัน!

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ

ตอนที่ 731 นี่เป็นการใส่ร้าย 

 

 

องค์หญิงจินเย่ว์แหงนศีรษะขึ้น เดินออกไปอย่างหยิ่งยโส 

 

 

สายตาของซูหลีมองที่เงาร่างของนางเต็มไปด้วยความซับซ้อน จากนั้นถึงถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง 

 

 

นี่เป็นปัญหาจากการปลอมตัวเป็นบุรุษ ทว่านางก็ไม่มีวิธีอื่น 

 

 

“ทำไมรึ รู้สึกเสียดายรึ” ในขณะซูหลีรู้สึกกลัดกลุ้มใจ กลับได้ยินคำพูดเช่นนี้ดังขึ้นอย่างฉับพลัน 

 

 

คำพูดประโยคนี้ฟังดูแล้วไม่เข้าหูนัก อีกทั้งยังแฝงไปด้วยโทสะอย่างบอกไม่ถูก 

 

 

ซูหลีอดสั่นสะท้านมิได้ จากนั้นนางจึงเงยหน้าฉินเย่หานปราดหนึ่ง ทว่ากลับเห็นดวงตาที่มืดหม่นจนมองไม่เห็นก้นบึ้งจ้องมองนางเช่นนี้ 

 

 

หลังจากใกล้ชิดกันในช่วงเวลานี้ ซูหลีกลับพบเอกลักษณ์ของฉินเย่หาน ฮ่องเต้ซึ่งมีพระพักตร์เย็นชาผู้นี้ แม้ดูเหมือนจะไม่มีความรู้สึกใดๆ ทว่าเมื่อเห็นดวงตาของเขามืดหม่นจนไม่เห็นก้นบึ้งนั้น เป็นลางบอกได้ว่าเขากำลังอารมณ์ไม่ดี 

 

 

ในยามปกติก็เป็นเช่นนี้ ยามที่…อยู่บนเตียงก็เป็นเช่นนี้ 

 

 

ซูหลีไอกระแอมออกมาเบาๆ สิ่งที่นางคิดล้วนเป็นอะไรที่สับสนวุ่นวายเต็มไปหมด 

 

 

“ฝ่าบาททรงเอาคำพูดที่ไหนมาพูดกัน!” เรื่องในวันนี้สำหรับนางแล้ว ถือเป็นการประสบภัยที่ไม่มีเค้ามาก่อน นางจะรู้เสียที่ไหนเล่าว่า องค์หญิงที่เคยพบนางเพื่อแค่ครั้งเดียวจะมีใจให้นาง 

 

 

นี่นางจะมีวิธีไหนแก้ปัญหากัน 

 

 

“เสด็จพี่ จินเย่ว์ก็มีนิสัยเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด ใต้เท้าซูไม่ได้ใกล้ชิดกับนางมากนัก เรื่องในวันนี้ก็แค่เรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น” ขณะที่พูดฉินม่อโจวก็ปรากฏตัวขึ้น 

 

 

ฉินม่อโจวที่เมื่อครู่ยังอยู่ที่นี่ ทว่าหลังจากเกิดเรื่องขึ้น เขาก็กล่าวว่ามีเรื่องบางเรื่องต้องไปจัดการ และขอตัวออกจากวังหลวงไปก่อน 

 

 

ซูหลี… 

 

 

ไยนางถึงรู้สึกว่า หากฉินม่อโจวไม่พูดอธิบายก็คงจะดีกว่านี้ ทันทีที่เขาอธิบายจบทำให้บรรยากาศโดยรอบดูหนาวยะเยือกยิ่งกว่าเดิม! 

 

 

“เจ้าไม่มีเรื่องอันใดให้กระทำแล้วรึ” ทว่าไม่รอให้นางพูดอะไรออกมา ฉินเย่หานก็บันดาลโทสะออกมา 

 

 

ฉินม่อโจวถึงกับอึ้งตะลึงค้าง จากนั้นจึงรีบกุมมือขึ้นมาคำนับ และเอ่ยว่า “น้อง…” 

 

 

“เรื่องของพี่สามข้าส่งต่อให้เจ้า ไม่ว่าอย่างไรก่อนเดือนห้าเขาก็ต้องเข้าวังหลวง” ฉินเย่หานไม่รอให้เขาพูดจบ เขาพลันเอ่ยคำพูดนี้ออกมาด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น  

 

 

ซูหลีที่รับฟังอยู่นั้น ในใจรู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย 

 

 

พี่สาม คนที่ถูกฉินเย่หานเรียกว่าพี่สาม คงจะมีเพียงท่านอ๋องท่านนั้นเท่านั้น 

 

 

นั่นก็คือพี่ชายร่วมอุทรของฉินเย่หาน บิดาของฉินมู่ปิง ฉินเฮ่า 

 

 

ฉินม่อโจวได้ยินคำพูดประโยคนี้ กลับเงยหน้ามองซูหลีอย่างห้ามไม่ได้  

 

 

เรื่องเช่นนี้ นึกไม่ถึงว่าเสด็จพี่ของเขากลับพูดต่อหน้าซูหลี! 

 

 

ดูเหมือนว่าซูหลีผู้นี้ ยามอยู่ต่อหน้าพระพักตร์เสด็จพี่จะมิใช่คนที่เสด็จพี่โปรดปรานธรรมดา 

 

 

“…เสด็จน้องน้อมรับบัญชา” สายตาของฉินม่อโจวมีความซับซ้อนพาดผ่านในแววตาของฉินม่อโจว ในที่สุดเขาก็ไม่ปิดปากเงียบ ยามที่เดินออกไปด้านนอก เขามองมาทางซูหลีอย่างอดไม่ได้ ทว่ากลับเห็นซูหลีถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง 

 

 

ฉินม่อโจว??? 

 

 

เขาช่วยนางแก้ตัว ทว่าบัดนี้เขาจะออกไปแล้วนางกลับถอนหายใจออกมา? 

 

 

อารมณ์ของฉินม่อโจวไม่ดีเท่าไรนัก เขาขบริมฝีปากแล้ววางมาดเย็นชาเดินออกจากห้องทรงอักษรไปทันที 

 

 

“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” ซูหลีรอให้ทุกคนออกไปจนหมดแล้ว นางถึงได้เงยหน้าขึ้นมาอย่างประหม่า และยิ้มอย่างเอาใจให้กับฉินเย่หานครู่หนึ่ง 

 

 

ฉินเย่หานกวาดสายตามองนางอย่างไร้ความรู้สึก วางมาดคล้ายกับไม่อยากเสวนากับนางมิปาน 

 

 

ซูหลี… 

 

 

“ทูลฝ่าบาท เรื่องในวันนี้มิใช่สิ่งที่กระหม่อมเจตนาให้เกิดขึ้น ทว่าวันนี้องค์หญิงได้ส่งคนมาเชิญกระหม่อม องค์หญิงนั้นมีตำแหน่งที่สูงศักดิ์เช่นนี้ กระหม่อมจะปฏิเสธได้อย่างไรกัน…” 

 

 

เขามองดูใบหน้าเล็กที่กำลังอธิบายกับตน มีริ้วสีชมพูปรากฏอยู่บนใบหน้าขาวลออรูปไข่ ดูน่าเย้ายวนใจยิ่งนัก 

 

 

เพลิงโทสะในใจของฉินเย่หานสลายไปมากกว่าครึ่งแล้ว ทว่าสีหน้ายังไม่น่าดูเสียเท่าไรนัก 

 

 

“เรามองดูแล้ว เรื่องอื่นเจ้านั้นไม่ได้เรื่อง ทว่าความสามารถในการยั่วยวนผู้อื่นนั้น กลับเป็นอันดับหนึ่ง!” 

 

 

ซูหลีถึงกับตะลึงตาค้าง นี่เป็นการใส่ร้ายกันชัดๆ! 

 

 

 

 

 

  

 

 

ตอนที่ 732 ใครเป็นบุรุษของเจ้ากัน! 

 

 

นางไปยั่วยวนใครตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? 

 

 

นางต้องโทษทั้งที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่โดยแท้! 

 

 

“กระหม่อมมิได้กระทำเช่นนั้นเสียหน่อย!” ซูหลีเม้มริมฝีปาก และปฏิเสธออกมาอย่างไม่ลังเล 

 

 

หลังจากที่พูดคำพูดประโยคนี้ออกมา นางกลับรู้สึกว่าสีหน้าของฉินเย่หานเปลี่ยนเป็นไม่น่าดูยิ่งกว่าเดิม 

 

 

ซูหลี…นี่นางพูดอะไรผิดอีกแล้ว 

 

 

“เจ้ามิได้กระทำเช่นนั้น?” ฉินเย่หานมองนาง เขากลับแค่นหัวเราะด้วยเสียงเย็น 

 

 

สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่า ยามที่ซูหลีเห็นฉินเย่หานเผยท่าทีเช่นนี้ออกมา นางเกิดอาการสับสนมึนงงไปหมด ฉินเย่หานรู้จักมีอากัปกิริยาที่มีชีวิตชีวาเช่นนี้ด้วยหรือ 

 

 

ทว่านางยังไม่ทันดึงสติกลับคืนมา ก็ได้ยินฉินเย่หานเอ่ยว่า 

 

 

“เราไม่รู้ เราก็เป็นแค่ฮ่องเต้คนหนึ่ง เดิมก็เป็นคนที่มีน้ำใจคนหนึ่งเท่านั้น!” 

 

 

ซูหลีตะลึงค้าง 

 

 

ทันทีที่นางเงยหน้าขึ้น ก็พบกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยโทสะของฉินเย่หาน 

 

 

นี่ตั้งแต่นางรู้จักฉินเย่หานมา นี่เป็นครั้งแรกที่ฉินเย่หานเปิดเผยความรู้สึกออกมามากขนาดนี้ ทว่าในชั่วขณะนี้นางไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก นี่ฉินเย่หานอะไรโมโหอะไรกัน 

 

 

หรือว่า… 

 

 

เขากำลังหึง? 

 

 

ไม่ คงเป็นไปไม่ได้หรอกกระมัง? 

 

 

เรื่องนี้เมื่อใคร่ครวญดูแล้ว ก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก! 

 

 

“กะ กระหม่อม…” เป็นเพราะซูหลีประหลาดใจเกินไป ทำให้แม้แต่จะพูดก็ยังพูดไม่ชัดเจน พูดคำหนึ่งก็ต้องฉินเย่หานปราดหนึ่ง นางพูดติดอ่างจนทำให้เขาเริ่มโมโห 

 

 

ฉินเย่หานวางมาดนิ่งเฉย เขาลุกขึ้นยืนพรวดพราดแล้วเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าซูหลี จากนั้นจึงยื่นมือจับคางของนางไว้ เพื่อให้นางสบตากับตน 

 

 

“เจ้าเป็นสตรีของเรา หากต่อไปยังกล้าเล่นหูเล่นตากับบุรุษอื่น เราจักมิให้อภัยเจ้าอย่างแน่นอน!” 

 

 

เล่นหูเล่นตา! 

 

 

ซูหลีมุมปากกระตุก นี่ถ้าไม่ใช่เพราะกาลเทศะไม่ถูกต้อง นางคงตะโกนออกมาแล้วว่า ‘กระหม่อมถูกปรักปรำ’! 

 

 

แต่เมื่อตริตรองดูแล้ว ซูหลีก็ควบคุมตัวเองเอาไว้ได้ 

 

 

“ฝ่าบาท” ดวงตาสีนิลทั้งสองของนางเบิกกว้างและจ้องไปที่ฉินเย่หาน แล้วเอ่ยว่า “ไหวอ๋องนั้นไม่ทราบตัวตนของกระหม่อม แล้วจะ…” 

 

 

“ไม่ทราบ?” ฉินเย่หานได้ยินดังนั้นจึงส่งเสียงไม่พอใจออกมา สีหน้ายิ่งดูเคร่งขรึมกว่ามเดิม เขาเอ่ยด้วยเสียงเย็นว่า “แต่ก่อนเจ้ามิได้ทั้งร่ำไห้ ทั้งตะโกนโหวกเหวกโวยวายว่าจะออกเรือนให้แก่เขารึ!?” 

 

 

ซูหลี “…” 

 

 

ยังมีเรื่องนี้… แม้แต่ตัวนางเองก็เกือบจะลืมไปแล้ว! 

 

 

ฉินเย่หานเห็นท่าทีของนางแล้ว เพลิงโทสะในใจทั้งค่อยระอุมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังรู้สึกหน่วงๆ เขารู้สึกแย่เป็นอย่างมาก 

 

 

นางยังคิดว่าเขาโมโหเพราะอะไรเสียอีก 

 

 

เขารับปากว่าจะให้ตำแหน่งนางในวังหลัง ต้องการให้นางเข้าวังหลวง หัวเด็ดตีนขาดนางก็ไม่ยินยอม ทว่ากลับไปกอดขาผู้อื่น แล้วเอ่ยว่าจะแต่งงานกับผู้อื่น 

 

 

ก่อนหน้านี้ยามทีไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของนางผู้นี้นั้นยังดี บัดนี้เมื่อครุ่นคิดดูแล้ว เขาก็แทบคว้าตัวนางมาไว้ข้างและ และลงโทษนางสักหนึ่งคำรบ! 

 

 

ทำให้นางรู้ว่าใครเป็นบุรุษของนางที่แท้จริง 

 

 

“ระ เรื่องนี้ ที่จริงแล้วก็แค่…อื้อ!” ในขณะที่ซูหลีกำลังทำทุกวิถีทางเพื่อพูดอธิบาย นางคิดไม่ถึงว่าฉินเย่หานกดร่างของนางอย่างกะทันหัน 

 

 

ทันใดนั้นนางก็พูดอะไรออกมาไม่ได้อีก! 

 

 

หลังจากนั้นแม้แต่คำพูดประโยคสมบูรณ์ก็ยังพูดไม่ออก นางถูกฉินเย่หานกดลงภายในห้องทรงอักษร และใช้ร่างกายของตนเพื่อดับโทสะในใจ 

 

 

ในครานี้ฉินเย่หานไม่เปิดโอกาสให้นางเลยแม้แต่น้อย เขาใช้พละกำลังบอกนางว่า ใครกันที่เป็นบุรุษของนาง 

 

 

ซูหลี… นางแทบจะเป็นลมตายไปแล้ว 

 

 

ทว่านี่ยังไม่นับเรื่องที่ฉินเย่หานคล้ายกับเปลี่ยนไปเป็นอีกคนมิปาน เขาบังคับให้ซูหลีคำพูดที่น่าอาย เดิมซูหลีปิดปากเงียบไม่เอ่ยอะไรออกมา ทว่าเขากลับเคี่ยวรำไปร้อยกระบวนท่า 

 

 

ยามที่ซูหลีสะลึมสะลือ อะไรก็ยอมพูดหมดแล้ว 

 

 

สูญเสียอธิปไตยและต้องชดใช้ที่ดินแม้จะมากเกินไปก็ตาม 

 

 

การรับรู้ถึงตัวตนของฉินเย่หานเพิ่มมากขึ้นไปอีกขั้น ดังนั้นคนผู้นี้ไม่สามารถยั่วยุได้ง่ายๆ มิเช่นนั้น…เอวนางก็จะทนรับไม่ไหว!