เล่มที่ 15 เล่มที่ 15 ตอนที่ 431 อนาคตที่ไร้ซึ่งเยี่ยโยวเหยา

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

ฮูหยินปิงจีเห็นซูจิ่นซีนิ่งไปครู่หนึ่งและไม่พูดอันใดอีก นางจึงพูดว่า “ซูจิ่นซี เจ้าเองก็เข้าใจเรื่องพิษ ย่อมรู้ดีว่าหากโยวเหยารักเจ้ามากขึ้นหนึ่งส่วน หมุดกร่อนรักจะทำร้ายเขาหนักขึ้นอีกหนึ่งส่วน เจ้าอยู่ข้างกายเขามากขึ้นหนึ่งวัน เขาจะเป็นอันตรายเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งวัน แท้จริงแล้ว เจ้าคือยาพิษที่รุนแรงที่สุดสำหรับเขา”

นางเป็นยาพิษที่รุนแรงที่สุด และเป็นยาถอนพิษหมุดกร่อนรักที่ดีที่สุดเช่นกัน

ซูจิ่นซีจะไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?

นางหันไปมองเยี่ยโยวเหยา ก่อนจะเงยหน้าหลับตาทั้งสองข้างโดยไม่พูดอันใด

ครู่หนึ่ง ซูจิ่นซีจึงเอ่ยเสียงต่ำ “ในเมื่อข้ากับเยี่ยโยวเหยารักใคร่กัน เจ้าจะใช้แผนการอันแยบยลหรือใช้หมุดกร่อนรักเพื่อทำให้พวกเราแยกจากกันได้อย่างไร? ข้าสามารถไปจากเขาเพราะต้องการกำจัดหมุดกร่อนรัก และสามารถกลับมาหาเขาเมื่อเขาถอนพิษหมุดกร่อนรักได้สำเร็จ เจ้า… พนันกับข้าเป็นอย่างไร? ”

ฮูหยินปิงจียกยิ้มมุมปากด้วยความมั่นใจ นางพูดถ้อยคำที่โหดร้ายที่สุดสำหรับซูจิ่นซี

“หมุดกร่อนรักที่ฝังเข้าไปในร่างของโยวเหยาตอนนั้น ได้ใช้หนามของสัตว์เทพมังกรเก้าหัวในทะเลตงไห่ หลอมรวมกับหนามเหมันต์หมื่นปีจากเขาคุนหลุน จากนั้นจึงฝังเข้าไปในแก่นกระดูกและเส้นลมปราณของเขา อีกทั้งยวี่จียังได้ปรับปรุงให้มีพันธะข้อห้ามเรื่องความรักใคร่ของเขาโดยเฉพาะ หากตอนนี้ต้องการถอนพิษหมุดกร่อนรัก จำเป็นต้องใช้พลังยุทธ์ลับเฉพาะของตำหนักเสวียนปิง ควบคู่กับพลังเทพยวี่หยางของสำนักกระบี่คุนหลุน เพื่อดึงหนามสัตว์เทพมังกรเก้าหัวกับหนามเหมันต์หมื่นปีออกจากร่างกายทีละแท่ง ทั้งยังต้องเปลี่ยนแก่นกระดูกและเส้นลมปราณใหม่ทั้งหมด บัดนี้เขารักใคร่ยึดติดกับเจ้าอย่างลึกซึ้ง เมื่อถึงเวลานั้น เขาจะลืมทุกสิ่งเกี่ยวกับเจ้าอย่างสมบูรณ์”

เยี่ยโยวเหยา… จะ… ลืมนางไปอย่างสิ้นเชิง…

ชั่วพริบตา ซูจิ่นซีรู้สึกเพียงสมองปั่นป่วน โลกหมุนคว้าง

ซูจิ่นซีเคยวาดฝันถึงอนาคตนับพันนับหมื่นระหว่างนางกับเยี่ยโยวเหยา แต่นางไม่เคยคิดว่าวันหนึ่ง เยี่ยโยวเหยาจะหลงลืมนาง

ภาพเบื้องหน้าพร่ามัว ก่อนจะขยายเป็นใบหน้าของอู๋จุนที่เคลื่อนเข้ามาใกล้นาง ราวกับเวลาย้อนกลับ ฮูหยินปิงจีสั่งให้คนเข้ามาพยุงร่างกายสูงใหญ่ของเยี่ยโยวเหยาออกไป

ซูจิ่นซีต้องการเข้าไปขัดขวาง ทว่าขาทั้งสองของนางเหมือนถูกตอกหมุดกับพื้น ร่างกายหนักพันชั่ง ก้าวเท้าไม่ออกแม้แต่ก้าวเดียว

นางต้องการตะโกนเรียกชื่อเยี่ยโยวเหยา ทว่าขณะที่อ้าปากกำลังจะร้องเรียกชื่อที่นางเคยเรียกมานับครั้งไม่ถ้วน เสียงนั้นกลับติดอยู่ที่ลำคอและกลืนกลับลงไปในท้อง

“แม่นางพิษน้อย พูดอันใดหน่อยเถิด! เจ้าอย่าทำเช่นนี้ อย่าทำให้พี่จุนตกใจ! ”

“แม่นางพิษน้อย หากเจ้าเสียใจ เจ้าก็ร้องไห้ออกมา ร้องออกมาแล้วจะรู้สึกดีขึ้นเอง”

“แม่นางพิษน้อย หากเจ้าอึดอัด เจ้าก็กัดพี่จุน กัดข้า รีบกัดข้า!”

“แม่นางพิษน้อย ไป พี่จุนจะพาเจ้าไปแย่งเยี่ยโยวเหยา คืนมา… ”

อู๋จุนดึงซูจิ่นซีที่มีร่างกายแข็งทื่อและใบหน้าบึ้งตึงน่าหวาดกลัว เพื่อไล่ตามฮูหยินปิงจีกับพรรคพวกไป

ซูจิ่นซีกลับมาได้สติ นางยังไม่ทันพูดคำว่า ‘ไม่’ ก็กระอักเลือดออกมาเสียก่อน

อู๋จุน ผู้ที่ไม่จริงจังและไม่คิดอันใด พลันตกตะลึงกับอาการของซูจิ่นซี เขารีบใช้แขนเสื้อของตนเช็ดเลือดบนร่างกายและริมฝีปากของนาง

ทว่าซูจิ่นซีกลับฉีกยิ้ม…

รอยยิ้มของนางงดงามยิ่งกว่าหยดเลือดบนริมฝีปากหลายเท่า ทั้งยังบาดตายิ่งกว่าเปลวเพลิงที่ลุกโชนอยู่ด้านหลัง

อู๋จุนไม่เคยเห็นท่าทางเช่นนี้ของซูจิ่นซี เขาตกใจจนใบหน้าซีดขาว ลืมแม้กระทั่งช่วยตรวจชีพจรให้นาง

“แม่นางพิษน้อย เจ้า… เจ้าอย่าทำให้พี่จุนตกใจ ต่อไปพี่จุนจะไม่พูดจาไร้สาระอีกแล้ว เช่นนี้ดีหรือไม่ เจ้าตบตีพี่จุนเถิด! ระบายความขุ่นเคืองและความทุกข์ออกมาให้หมด เจ้าจะได้รู้สึกดีขึ้น”

อู๋จุนพูดพลางดึงมือซูจิ่นซีขึ้นมาตบหน้าตนเอง

แววตาเหม่อลอยทอดยาวของซูจิ่นซี ค่อยๆ ถูกดึงกลับมายังเบื้องหน้า ซูจิ่นซียับยั้งการกระทำของอู๋จุน จากนั้นจึงเห็นว่ามือของตนเต็มไปด้วยเลือด

นางเหลือบมองร่างกายอู๋จุนด้วยสายตาว่างเปล่า “จอมวายร้าย เจ้า… บาดเจ็บหรือ? ”

อู๋จุนเห็นว่าในที่สุดซูจิ่นซีก็ยอมเอ่ยปาก จึงยกยิ้มอย่างดีใจและรีบพูดว่า “ไม่มี ไม่มี พี่จุนไม่ได้บาดเจ็บ แม่นางพิษน้อย เจ้าต้องปลงให้ตก ปล่อยวางให้ได้ ต่อให้ไม่มีเยี่ยโยวเหยาแล้ว เจ้าก็ยังมีพี่จุนอีกคน! เฮ้ย พุ้ยพุ้ย… ” อู๋จุนทำท่าตบปากตนเอง “เพิ่งบอกไปว่าจะไม่พูดจาเหลวไหลอีก เจ้าดูสิ ข้าลืมตัวอีกแล้ว แม้เยี่ยโยวเหยาจะถูกยายแก่นั่นพาตัวไป พี่จุนก็จะพาเจ้าไปแย่งเขากลับมา ดีหรือไม่? ”

ซูจิ่นซีเลื่อนสายตามองด้านล่าง เมื่อเห็นเลือดตามร่างกายตนเองจึงค่อยๆ ฟื้นสติกลับมา ทั้งในปากของนางยังเต็มไปด้วยรสชาติหวานเจื่อนชวนอาเจียน เมื่อใช้หลังมือเช็ดปากก็พบเลือดติดอยู่บนนั้น

ปรากฏว่าเลือดเหล่านี้เป็นของนางเอง

ที่แท้… สำหรับนางแล้ว เยี่ยโยวเหยามีความสำคัญอย่างมาก

ทว่า… เรื่องทั้งหมดมันสายเกินไป สายเกินไปแล้วจริงๆ

“จอมวายร้าย เยี่ยโยวเหยาจะลืมข้าแล้ว จากนี้ไป ข้าไม่ใช่พระชายาโยวอ๋องอีกแล้ว ข้ากลับจวนโยวอ๋องไม่ได้แล้ว จอมวายร้าย ซูจิ่นซีไม่มีบ้านให้กลับแล้ว… ”

เสียงของซูจิ่นซีฟังดูเลื่อนลอยอ้างว้าง

อู๋จุนที่เรียกตนเองว่าไร้หัวใจมาโดยตลอด เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ภายในใจของเขาพลันเจ็บปวด

เขาไม่รู้ว่านานเพียงใดแล้ว ที่หัวใจแข็งกระด้างเย็นชาดวงนั้นไม่ได้สั่นไหวเช่นนี้

มันทำให้เขารู้สึก… ไม่คุ้นชินอย่างมาก

อู๋จุนเงยหน้ามองท้องฟ้า ปกปิดแววตาที่ส่องประกาย พลางผิวปากทำท่าทางราวกับผ่อนคลายและไม่คิดอันใด

เมื่อก้มหน้าลงมาอีกครั้ง การแสดงออกของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้ม

“แม่นางพิษน้อย พี่จุนเองก็ไม่มีครอบครัวเช่นกัน! หากเจ้าไม่รังเกียจ ต่อไปเจ้าก็อยู่กับพี่จุน! พี่จุนจะพยายามสร้างครอบครัวให้เจ้า”

“อยู่กับเจ้า… ”

ซูจิ่นซีพูดเสียงแผ่วเบาที่ริมฝีปาก สายตาของนางทอดยาวออกไปไกลราวกับกำลังมองใบหน้าของอู๋จุน ทว่าไม่ใช่

อู๋จุนฟังไม่ชัดว่าคำพูดของซูจิ่นซีเมื่อครู่เป็นคำถามหรือเป็นคำตอบตกลง ทว่าเขายังคงรอด้วยความคาดหวัง ให้นางตอบตกลงอย่างเต็มใจ

อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีกลับนิ่งเงียบและไม่พูดอันใดอีก ทำเพียงแย้มยิ้มสดใสให้เขา

จากนั้นซูจิ่นซีก็เดินอ้อมอู๋จุน และก้าวขึ้นไปบนแท่นหินที่อยู่ด้านหน้านางอย่างเชื่องช้า

มันเป็นแท่นหินที่สูงที่สุดซึ่งอยู่ด้านนอกวิหารวิญญาณ

ลมหนาวพัดแรงจนเสื้อผ้าของนางปลิวไสวอย่างต่อเนื่อง

แม้นางจะตัวเล็ก ทว่าไม่อ่อนแอ เมื่อมองตั้งแต่หัวจรดเท้า นางเป็นเหมือนยอดหญ้าที่แข็งแรง ยืนหยัดอย่างเด็ดเดี่ยว ต้านทานแรงลมโดยไม่หักไม่โอนเอน

ยิ่งไปกว่านั้น ราวกับมีอำนาจบางอย่างที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัว

ซูจิ่นซีมีท่าทีสงบนิ่ง สายตาทอดยาว

นางมองไปยังทิศทางที่ฮูหยินปิงจีพาเยี่ยโยวเหยาจากไป ที่นั่นคือทะเลตงไห่

เมื่อหันหลังกลับมาอีกครั้ง ฝั่งตรงข้ามคือทิศตะวันตก เป็นที่ตั้งของเมืองตี้จิงแคว้นจงหนิง และเป็นทิศทางของจวนโยวอ๋อง

เวลานี้ สถานที่ทั้งสองแห่ง ไม่ใช่ที่ที่นางควรไป

แผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาล

นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกว่า ผู้คนบนโลกใบนี้ต่างโดดเดี่ยวและอ้างว้าง ดั่งสายลมที่ล่องลอยไร้จุดหมาย

หากไม่มีเยี่ยโยวเหยาแล้ว อนาคตของซูจิ่นซีจะเป็นเช่นไร?

นางควรเดินไปทางไหน?