บทที่ 189 ราชันนิทรา

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

บทที่ 189 ราชันนิทรา

ทุกคนเข้าใจได้ทันที ต่อหน้าการทดสอบของศาลาศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นการโกงหรือการใช้เล่ห์กลใด ๆ ก็ตาม ทุกอย่างล้วนไร้ประโยชน์

ทางเลือกเดียวที่พวกเขาจะผ่านการทดสอบไปได้ก็คือการทดสอบอย่างตรงไปตรงมา ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะไม่มีวันผ่านแน่นอน

กฎของการทดสอบเข้าศาลาศักดิ์สิทธิ์มันแปลกเกินไป แม้แต่จ้าวปาเทียนที่ยืนดูอยู่ในตอนนี้ยังแสดงสีหน้าขมขื่น เนื่องจากแม้แต่ตัวเขาเองยังไม่เข้าใจว่าจุดประสงค์ของมันคืออะไร

ไม่นานการทดสอบของนักศึกษาอีกคนหนึ่งก็จบลงด้วยความผิดหวัง

เมื่อโม่หยูถังส่งผู้เข้าทดสอบที่ไม่ผ่านออกไป จ้าวปาเทียนที่เริ่มจะทนไม่ไหวเขาจึงเข้ามาพูดว่า “อาจารย์โม่ ไม่ทราบว่าท่านจะสะดวกไหมที่จะอธิบายกฎของการทดสอบเพิ่มเติมให้ทุกคนเข้าใจบ้างสักหน่อย เนื่องจากแม้แต่ข้าเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจมันเลย ฉะนั้นมันจะเป็นการดีกับทุกคนมากหากท่านจะช่วยอธิบายมันอีกสักครั้ง”

โม่หยูถังพยักหน้าและตะโกนให้ทุกคนได้ยิน “จากที่นายท่านของข้าประกาศ การทดสอบนี้จะไม่สนใจ ความสามารถ พรสวรรค์ ความแข็งแกร่ง หรือปัจจัยภายนอกอื่น ๆ นายท่านของข้าไม่เคยสนใจสิ่งเหล่านั้น เนื่องจากถ้าหากเขาต้องการ แม้แต่คนปัญญาอ่อนเขาก็สามารถทำให้เป็นอัจฉริยะได้ สิ่งที่นายท่านของข้าสนใจมีเพียงแค่อย่างเดียวคือ ผู้ที่มีบุคลิกพิเศษ ฉะนั้นจุดประสงค์ของการทดสอบนี้คือการหาผู้ที่มีบุคลิกพิเศษที่เหมาะสมกับศาลาศักดิ์สิทธิ์”

เมื่อได้ยินคำตอบของโม่หยูถังเช่นนี้ จ้าวปาเทียนและคนอื่น ๆ ต่างส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่น

คนทุกคนล้วนมีบุคลิกที่แตกต่างกัน พวกเขาไม่สามารถที่จะเลียนแบบกันได้ ฉะนั้นในการทดสอบพวกเขาจะพึ่งพาได้แต่ตัวเองเท่านั้น

นอกจากนักศึกษาจากสถาบันอื่นที่เข้าทดสอบ นักศึกษาในสถาบันราชวงศ์เองก็เข้าร่วมการทดสอบเช่นกัน

เนื่องจากในตอนนี้มีผู้ผ่านการทดสอบไปแล้ว 3 คน ฉะนั้นยังพอมีที่ว่างเหลือให้พวกเขาได้ลุ้นเพื่อที่จะได้เป็นนักศึกษาในศาลาศักดิ์สิทธิ์

แต่น่าเสียดายที่ผลการทดสอบของนักศึกษาจากคณะอื่นในสถาบันราชวงศ์นั้นไม่ต่างจากนักศึกษาสถาบันอื่นสักเท่าไหร่ แม้แต่นักศึกษาระดับหัวกะทิที่มีระดับการบ่มเพาะถึงขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 5 ก็ยังไม่สามารถผ่านได้

ในขณะที่คนส่วนใหญ่กำลังสิ้นหวัง เด็กหนุ่มผู้หนึ่งได้เดินออกมาจากด้านในศาลาศักดิ์สิทธิ์ ทำให้บรรดาผู้คนจับจ้องไปที่เด็กหนุ่มผู้นั้นด้วยสายตาสงสัย

เด็กหนุ่มผู้นี้เป็นผู้ผ่านการทดสอบงั้นเหรอ? อัจฉริยะผู้นี้มาจากสถาบันไหนกัน? แล้วเด็กคนนี้เข้าไปทดสอบตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ทำไมพวกเขาถึงไม่เห็นตอนเขาเดินเข้าไปด้านใน?

ถึงแม้ผู้คนจะสงสัย แต่ก็ไม่มีใครที่ตะโกนถามคำถามในใจออกมา

ในบรรดาผู้คนที่สงสัย กลุ่มคนที่มาจากสถาบันหงส์เพลิงกลับมีสีหน้าที่ซับซ้อน เนื่องจากเด็กหนุ่มผู้นั้นคือ หลิงยู่ชาน…

หลิงยู่ชานเดินเข้ามายังด้านหน้ากลุ่มนักศึกษาสถาบันหงส์เพลิง เขาพูดกับหวงหลิงซานและคนอื่น ๆ ว่า “ข้าเพิ่งเห็นว่าพวกเจ้าก็มาเข้ารับการทดสอบด้วย ข้าเลยออกมาทักทายพวกเจ้าซะหน่อย ในเมื่อพวกเราเคยรู้จักกันมาก่อน ข้าจะแนะนำเคล็ดลับการเข้าทดสอบให้เจ้าสักเล็กน้อย ยิ่งพวกเจ้าคิดถึงผลการทดสอบมากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งทำให้พวกเจ้าผ่านมันยากขึ้นเท่านั้น”

“แต่ถ้าหากพวกเจ้าไม่ผ่านการทดสอบคณะของพ่อข้าจริง ๆ พวกเจ้าก็ยังสามารถไปทดสอบเข้าคณะอื่น ๆ ในสถาบันได้ และถ้าหากผ่านเข้าคณะอื่นได้สำเร็จ ข้าจะไปเยี่ยมพวกเจ้าบ่อย ๆ”

หวงหลิงซาน หยุนเฟยหาว และทุกคนต่างส่ายหัว

หวงหลิงซานมองไปยังหลิงยู่ชานและพูดว่า “สำหรับศาลาศักดิ์สิทธิ์ของพ่อเจ้า พวกเราคงไม่จำเป็นต้องทดสอบต่ออีกหรอก พวกเรารู้ตัวว่าด้วยความสามารถของพวกเรา พวกเราคงไม่สามารถผ่านการทดสอบของพ่อเจ้าได้ ว่าแต่หลิงยู่ชาน ทำไมระดับการบ่มเพาะของเจ้าถึงไม่กระเตื้องขึ้นเลย ตอนนี้พวกเราอยู่ในขอบเขตควบแน่นลมปราณกันหมดแล้วนะ แล้วทำไมเจ้ายังอยู่ในขอบเขตหลอมรวมลมปราณระดับ 6 อยู่อีก?”

หลิงยู่ชานตอบพลางหัวเราะ “ที่ระดับการบ่มเพาะของข้าพัฒนาช้าก็เพาะว่าพ่อของข้าย้ำให้ข้าพัฒนาแต่เฉพาะรากฐานการบ่มเพาะให้แข็งแกร่งมากที่สุดไว้ก่อน พวกเจ้าก็เหมือนกัน อย่าเอาแต่เร่งบรรลุระดับเร็วเกินไป มันจะดีที่สุดที่พวกเจ้าจะชะลอการบรรลุระดับแล้วหันไปสร้างรากฐานการบ่มเพาะให้แข็งแกร่งขึ้นแทน เอาล่ะเดี๋ยวข้าต้องกลับเข้าไปก่อนแล้ว ไว้เมื่อไหร่ที่พวกเจ้าเข้าร่วมกับคณะอื่นในสถาบันได้แล้ว ข้าจะพาคู่หมั้นของข้ามาให้พวกเจ้ารู้จัก”

สีหน้าของหวงหลิงซานเปลี่ยนไปทันทีเมื่อนางได้ยินหลิงยู่ชานพูดคำว่า คู่หมั้น ของเขาขึ้นมา

ส่วนคนอื่น ๆ ที่ได้ยินคำพูดของหลิงยู่ชาน พวกเขาหัวเราะขึ้นและตอบกลับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ได้เลย ไว้เราค่อยเจอกันใหม่!”

หลิงยู่ชานพยักหน้าให้กับพวกเขา “เอาล่ะ ข้าขอตัวกลับเข้าไปในก่อนล่ะ พวกเจ้าก็พยายามเข้านะ!”

หลังจากพูดจบหลิงยู่ชานเดินกลับเข้าไปด้านศาลาศักดิ์สิทธิ์ทันที

แต่เมื่อเขาก้าวเข้าไปด้านในอาคาร หมิงจู้ที่ยืนรอเขาอยู่ที่หน้าประตูตั้งแต่ต้นแล้ว นางได้พูดกับเขาทันทีที่เขามองหน้านาง “สาวน้อยคนนั้นชอบเจ้า ทำไมเจ้าถึงไม่บอกให้ท่านลุงพานางเข้ามาอยู่กับเจ้าด้วยล่ะ?”

หลิงยู่ชานส่งยิ้มให้นางและตอบกลับ “ก็ข้ามีท่านอยู่แล้วไง!”

หมิงจู้ยื่นปลายนิ้วไปจิ้มปลายจมูกหลิงยู่ชาน พร้อมกับหรี่ตามองเขาและพูดว่า “อายุแค่นี้ ยังรู้จักปากหวานแล้วนะ รีบ ๆ โตขึ้นสักทีเถอะ ตอนนี้ข้ารอจนเบื่อจะแย่แล้ว! หึหึ”

ทั้งสองที่ในตอนนี้ย้ายมาอยู่เรือนเดียวกันแล้ว ถึงแม้ว่าพวกเขาทั้งคู่จะนอนกันคนละห้องนอนแต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็เริ่มสนิทขึ้นมาก จนพวกเขาสามารถหยอกล้อกันได้อย่างไม่เขินอายอีกต่อไป

พูดจบ หมิงจู้เบนสายตาไปมองหวงหลิงซานที่อยู่ด้านนอกอีกครั้ง นางถอนหายใจและพูดว่า “เฮ้อ แต่ถ้าหากว่าเจ้าสนใจนางจริง ๆ เจ้าจะให้ข้าไปบอกท่านลุงหลิงให้เจ้าก็ได้นะ ข้ายอมที่จะเป็นภรรยาน้อยให้เจ้าก็ได้ ข้าไม่ว่าเจ้าหรอก”

หลิงยู่ชานทำหน้าบูดแล้วพูดย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “พี่สาวหมิงจู้ พวกเราจำเป็นต้องเชื่อพ่อของข้า ในเมื่อนางไม่สามารถผ่านการทดสอบเข้ามาในศาลาศักดิ์สิทธิ์ได้ นั่นแปลว่ามันจะต้องมีเหตุผลเบื้องหลังที่สมควรให้เป็นแบบนั้นอยู่แล้ว เราไม่ควรที่จะฝืนดึงนางเข้ามาอยู่กับเรา”

หลังจากหลิงยู่ชานพูดจบ เสียงอันแผ่วเบาของหลิงตู้ฉิงก็ลอยมาเข้าหูพวกเขาทั้งสอง “หลังจากนางบ่มเพาะไปได้จนถึงระดับหนึ่งแล้ว ชะตาของนางจะบังคับให้นางสังหารผู้หญิงทุกคนที่อยู่รายล้อมยู่ชาน หมิงจู้หากเจ้าไม่กลัวตาย เจ้าก็เดินไปพานางเข้ามาก็ได้ข้าอนุญาต”

เมื่อหมิงจู้ได้ยินเช่นนี้ นางรีบส่ายหัวและพูดอย่างรวดเร็ว “ถ้าอย่างนั้นก็อย่าพานางเข้ามาเลย”

หลิงยู่ชานมองไปยังหมิงจู้ และพูดกับนางด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ “เห็นไหมข้าบอกท่านแล้ว ยังไงท่านพ่อของข้าก็มีเหตุผลเสมออยู่แล้ว!”

“จ้า จ้า จ้า เจ้าชนะ ๆ เจ้าพอใจรึยัง หึ” หมิงจู้ยิ้มมุมปากและใช้นิ้วชี้จิ้มไปที่หน้าผากหลิงยู่ชาน และพูดว่า “เอาล่ะเด็กน้อยของข้า นี่มันถึงเวลาที่เจ้าต้องฝึกต่อแล้วไม่ใช่รึไง รีบไปเลยเร็ว ๆ”

ในขณะที่ทั้งสองกำลังหยอกล้อกันอยู่ ชายหนุ่มผู้หนึ่งได้เดินออกมาจากภายในโดมทดสอบด้วยอาการงุนงง

“ที่นี่ที่ไหน? ที่นี่คือศาลาศักดิ์สิทธิ์รึเปล่า?” ชายหนุ่มผู้นั้นถามขึ้น

บรรดาผู้คนที่ยืนใกล้ ๆ กับเขาเมื่อได้ยินคำถามของชายหนุ่มผู้นี้ พวกเขาพร้อมใจกันตอบคำถาม “ใช่แล้ว ตอนนี้เจ้าอยู่ในศาลาศักดิ์สิทธิ์ พวกเราขอแสดงความยินดีกับเจ้าด้วยที่สามารถมาเป็นหนึ่งในพวกเรานักศึกษาแห่งศาลาศักดิ์สิทธิ์!”

ชายหนุ่มผู้นั้นที่ยังคงอยู่ในอาการงุนงง เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสับสน “นี่ข้าต้องฝันอยู่แน่ ๆ ข้าจะผ่านการทดสอบได้ยังไง ในเมื่อข้าเอาแต่หลับตลอดตอนทดสอบ เห้อ…สงสัยข้าคงต้องนอนต่ออีกสักหน่อย เผื่อว่าตื่นมาอีกครั้งข้าจะได้หลุดจากฝันดีนี่สักที…”

หลังจากพูดจบ ชายผู้นั้นก็ทรุดตัวลงไปนอนกับพื้นต่อ

เมื่อเห็นเช่นนี้ ทุกคนที่ยืนอยู่รอบ ๆ กายชายหนุ่มผู้นี้ถึงกับพูดไม่ออก ถ้าหากเขาเดินไปนอนบนเตียงที่ไหนสักแห่งดี ๆ คงจะไม่มีใครว่าอะไร แต่นี่จู่ ๆ เขาทรุดตัวลงไปนอนกับพื้นซะอย่างนั้น ภาพที่เห็นเช่นนี้มันจึงดูแปลกเกินไป

ครึ่งชั่วยามถัดมา ชายหนุ่มผู้ที่ทรุดลงไปนอนกับพื้นก็ตื่นขึ้น เมื่อเขายืนขึ้นและมองไปรอบ ๆ ได้สักพัก  จู่ ๆ เขากลับตะโกนร้องขึ้นมาด้วยความดีใจเขาถามผู้คนที่อยู่ใกล้ ๆ ตัวเขา “นี่ข้าไม่ได้ฝันไปใช่ไหม นี่ข้าผ่านการทดสอบเข้าศาลาศักดิ์สิทธิ์ได้แล้วจริง ๆ นะ!?”

หลิงตู้ฉิงมองไปที่เขาและพยักกน้า “ใช่เจ้าผ่านแล้ว”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ก่อนหน้านี้ข้าฝันอยู่บ่อย ๆ ว่าข้าจะได้เข้ามาอยู่ใน ศาลาศักดิ์สิทธิ์ ข้าว่าแล้วว่าฝันของข้าจะต้องเป็นความจริง! ข้าขอคารวะท่านอาจารย์และบรรดาเพื่อนร่วมคณะของข้า ข้าชื่อจิ๋นชาน ข้ามาจากสถาบันสวรรค์ทักษิณ” จิ๋นชานตะโกนแนะนำตัวด้วยสีหน้าเบิกบาน

หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “เอาล่ะจิ๋นชาน ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เจ้าคือหนึ่งในนักศึกษาคณะศาลาศักดิ์สิทธิ์ของข้า ตอนนี้เจ้าเข้ามาใกล้ ๆ ข้าก่อน ข้าจะถ่ายทอดเคล็ดวิชา ‘ห้วงนิทราแห่งราชัน’ จากนั้นเจ้าจงกลับไปบอกข่าวกับที่บ้านของเจ้าซะ แล้วรีบกลับมาที่ศาลาศักดิ์สิทธิ์เพื่อเรียนต่อ”

จิ๋นชานรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมากเมื่อได้ยินเช่นนี้ เขาไม่เคยคิดว่าเพียงแค่วันแรกที่เขาได้เข้าเป็นนักศึกษาของศาลาศักดิ์สิทธิ์เขาจะได้รับการถ่ายทอดวิชาที่ชื่อของมันดูเหมือนจะสุดยอดมาก ๆ ง่ายดายอย่างนี้

หลิงตู้ฉิงแตะนิ้วของเขาลงบนหน้าผากของจิ๋นชาน พลางพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “วิชาห้วงนิทราแห่งราชันนี้ เจ้าจงตั้งใจฝึกฝนมันให้ดี ตอนนี้ข้าประทับลงไปในร่างของเจ้าเรียบร้อยแล้ว!”

จิ๋นชานกระพริบตาปริบ ๆ มองไปยังหลิงตู้ฉิงด้วยความงุนงงพลางคิดในใจ ถ่ายทอดเสร็จแล้วงั้นเหรอ? แล้วทำไมเขาถึงไม่เห็นจะรู้สึกอะไรแปลกออกไปเลย?

หรือว่าเหตุการณ์ทั้งหมดตอนนี้มันจะยังคงเป็นเขาที่ยังฝันอยู่? ถ้างั้นคงต้องนอนต่ออีกสักหน่อยสินะ!

เมื่อคิดได้เช่นนี้ จิ๋นชานก็ทรุดตัวลงไปนอนกองกับพื้นอีกรอบ

ทุกคนที่ดูอยู่รอบ ๆ ต่างพากันงุนงงอีกหน พวกเขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับจิ๋นชานอีก ทำไมจู่ ๆ เขาถึงลงไปนอนกับพื้นอีกแล้ว?

หลิงตู้ฉิงมองยังจิ๋นชานพลางส่ายหัว จากนั้นเขาลุกขึ้นเตะโด่งจิ๋นชานให้ลอยออกไปตกอยู่ด้านนอกศาลาศักดิ์สิทธิ์