บทที่ 396 ฆ่าตายสิบเอ็ดศพ

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 396 ฆ่าตายสิบเอ็ดศพ

 

 

หลินเป่ยเฉินระบายลมหายใจออกมายาวแรงเช่นเดียวกับรังสีอำมหิตที่แผ่ออกไปรอบกาย

 

 

อีกด้านหนึ่ง ฉุยหมิงโหลวตกตะลึงถึงขีดสุดแล้ว

 

 

เขาไม่เข้าใจเลยว่าเพราะเหตุใดหลินเป่ยเฉินถึงลงมือสังหารผู้คนมากมายในพริบตาเดียวเช่นนี้

 

 

และคนที่เขาฆ่าตายไม่ใช่พวกขอทานข้างถนนสักหน่อย

 

 

ไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาที่ไม่มีพลังยุทธ์

 

 

แต่คนกลุ่มนี้เป็นมือกระบี่ตระกูลดัง มีอำนาจล้นฟ้า

 

 

ร่ำรวยระดับมหาเศรษฐี

 

 

นั่นยังไม่พอ ความสามารถของพวกเขาแต่ละคน ยังโดดเด่นหาตัวจับยาก

 

 

แต่เพียงไม่กี่อึดใจ หลินเป่ยเฉินกลับสามารถสังหารคนกลุ่มนี้ได้หมดสิ้น

 

 

ฉุยหมิงโหลวพลันนึกเป็นห่วงอนาคตบิดาของตนเองขึ้นมาอีกครั้ง…

 

 

บิดาของเขาจะรับมือกับเรื่องนี้ได้อย่างไร?

 

 

ฉุยหมิงโหลวรู้ดีว่าบิดาพยายามมาทั้งชีวิต กว่าจะได้ตำแหน่งเจ้าเมืองมาครอบครองก็ต้องใช้เวลาถึง 20 ปี แต่อยู่ในตำแหน่งไม่ทันไร หลินเป่ยเฉินกลับก่อเหตุร้ายแรงและทำให้เก้าอี้ตำแหน่งผู้ว่าการเมืองของบิดาเขา ถึงกับต้องสั่นคลอนแล้ว

 

 

แต่ถึงจะไม่พอใจสักแค่ไหน ฉุยหมิงโหลวก็ไม่กล้าพูดคำใดออกมา

 

 

อ๋องน้อยสวีหวั่นหลัวและแม่นางเมิ้งจิงอี้ เป็นคู่มือกระบี่ชายหญิงที่น่าจับตาที่สุดของคนรุ่นใหม่ แต่กลับถูกหลินเป่ยเฉินฆ่าตายง่ายดายดังหั่นผักผ่าแตงโม แล้วฉุยหมิงโหลวจะอาจหาญออกไปเผชิญหน้าได้อย่างไร?

 

 

“อาจารย์มาที่นี่ได้อย่างไรขอรับ?”

 

 

หลินเป่ยเฉินมองหน้าติงซานฉือ หัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม หลังจากนั้น เขาก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว “หากท่านมาช้ากว่านี้ ศิษย์คงโดนฆ่าตายแล้ว”

 

 

ติงซานฉือพูดด้วยน้ำเสียงเข้มขรึมว่า “ก็ใครใช้ให้เจ้าก่อปัญหาอีกแล้วล่ะ ข้าสัมผัสได้ถึงพลังยอดปรมาจารย์ที่แผ่ออกไปจากโรงเตี๊ยมหว่านเซิ่ง ก็เลยคิดมาชมดูสักหน่อยว่ายอดฝีมือที่ไหนใครกันมาเยือนเมืองเล็กๆ ของพวกเรา แต่ข้าก็ต้องประหลาดใจกับสิ่งที่พบอีกครั้ง เพราะว่าเจ้าดันก่อปัญหาอีกแล้ว…”

 

 

“อ้าว?”

 

 

หลินเป่ยเฉินอุทานออกมาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “หวังจงไม่ได้ไปบอกให้อาจารย์มาที่นี่หรือขอรับ?”

 

 

ติงซานฉือตอบว่า “ข้ายังไม่เห็นแม้แต่เงาของหวังจงเลยด้วยซ้ำ”

 

 

ว่าไงนะ?

 

 

หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วด้วยความไม่อยากเชื่อ

 

 

ก็หวังจงพยักหน้ารับคำเข้าใจสัญญาณที่เขาส่งออกไปแล้วไม่ใช่หรือ?

 

 

ทำไมถึงไม่ได้ไปขอความช่วยเหลือจากอาจารย์ล่ะ?

 

 

แล้วหวังจงเข้าใจว่าเขาส่งสัญญาณให้ทำอะไร?

 

 

“เจ้าเด็กร้ายกาจไม่ต้องมาทำหน้ายุ่ง ทำไมเจ้าถึงต้องก่อปัญหาทุกวี่ทุกวันด้วย มันสนุกนักหรือไง?”

 

 

ติงซานฉือแทบจะพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว เขารู้ดีว่าจุดอ่อนของลูกศิษย์ตนเองคือสิ่งใด แต่ความสามารถเรื่องการก่อปัญหาได้ทุกสถานการณ์เช่นนี้ ก็ทำให้ชายชราอดรู้สึกเหนื่อยใจขึ้นมาไม่ได้

 

 

หลินเป่ยเฉินถอนหายใจ พูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “สงสัยจะเป็นเพราะศิษย์เกิดมาหน้าตาหล่อเหลามากเกินไปขอรับ”

 

 

ติงซานฉือพูดอะไรไม่ออกแล้วจริงๆ

 

 

ในขณะเดียวกันนี้

 

 

ผู้อาวุโสสวีกำลังตกอยู่ภายใต้ความตื่นกลัวและโกรธแค้น

 

 

เขาย่อมไม่คิดว่าเมื่อตนเองแสดงฝีมือ สุดท้ายจะไม่สามารถช่วยเหลืออ๋องน้อยเอาไว้ได้

 

 

นี่คือปัญหาใหญ่แล้ว ท่านอ๋องผู้ปกครองแคว้นไห่อันคงไม่ยินดีรับฟังคำอธิบายจากเขาเป็นแน่แท้

 

 

แล้วเขาจะทำอย่างไรดี?

 

 

ในขณะที่ผู้อาวุโสสวีกำลังถามคำถามนั้นกับตนเอง หลินเป่ยเฉินก็หันหน้ามองมาพอดี

 

 

“อาจารย์จะเป็นคนจัดการตาแก่นี่ใช่ไหมขอรับ?”

 

 

หลินเป่ยเฉินพยักหน้าไปทางผู้อาวุโสสวี

 

 

ติงซานฉือตอบว่า “หรือว่าเจ้าคิดจัดการเอง?”

 

 

เด็กหนุ่มผงกศีรษะ

 

 

ตอนแรกนั้น ผู้อาวุโสสวีสามารถพาอ๋องน้อยหลบหนีไปได้แท้ๆ แต่พวกเขากลับเลือกที่จะมาปรากฏตัวในห้องรับประทานอาหารอีกครั้ง จุดประสงค์ย่อมชัดเจนว่ากลับมาเพื่อแก้แค้น และแม้ว่าชายชราจะไม่รู้ที่มาที่ไปของเรื่องราวเหล่านี้ แต่รังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากร่างกายก็บอกชัดว่า เขายินดีที่จะสังหารหลินเป่ยเฉินกับสองสาวรับใช้ด้วยตนเอง

 

 

นั่นแสดงว่าผู้อาวุโสสวีไม่ใช่คนดี

 

 

ยิ่งเห็นประกายในดวงตาของชายชราบัดนี้ หลินเป่ยเฉินยิ่งรู้สึกว่าจะปล่อยให้ลอยนวลไปไม่ได้เด็ดขาด

 

 

เมื่อมีโอกาสเผชิญหน้าแล้ว ก็ต้องทำลายให้สิ้นซาก

 

 

หากปล่อยให้ผู้อาวุโสสวีหลบหนีไปซ่อนตัวได้สำเร็จ เรื่องราวในภายหลังจะยากต่อการรับมืออีกหลายเท่า

 

 

หลินเป่ยเฉินจะสามารถระวังตัวตลอดเวลาได้อย่างไร

 

 

ฆ่าทิ้งตอนนี้ เป็นการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดแล้ว

 

 

“แล้วแต่เจ้าเถิด”

 

 

ติงซานฉือพยักหน้า “ฝีมือระดับเจ้า แค่สามกระบวนท่าก็น่าจะเผด็จศึกได้”

 

 

ไม่รู้อาจารย์ติงคิดอะไรอยู่ จู่ๆ ก็พยักหน้าเห็นด้วยกับหลินเป่ยเฉิน

 

 

สามกระบวนท่าอย่างนั้นหรือ?

 

 

อาจารย์ ท่านมั่นใจในตัวข้าเกินไปหรือเปล่า

 

 

เด็กหนุ่มอดสงสัยขึ้นมาไม่ได้

 

 

“พวกเจ้าอาจารย์และลูกศิษย์ อย่าหวังเลยว่าเรื่องราวจะจบเพียงเท่านี้… ข้าจะจดจำความอับอายที่เกิดขึ้นและมาเอาคืนพวกเจ้าอย่างสาสมแน่”

 

 

เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่สู้ดี ผู้อาวุโสสวีก็ขยับเท้าถอยหลัง “คอยดูเถอะ ท่านอ๋องไม่มีทางปล่อยพวกเจ้าเอาไว้เด็ดขาด แล้วพวกเจ้าอาจารย์กับลูกศิษย์ ก็จะต้องลงนรกไปด้วยกันทั้งคู่”

 

 

วูบ!

 

 

ผู้อาวุโสสวีระเบิดพลังลมปราณพังผนังห้องที่อยู่ด้านหลังและใช้เป็นเส้นทางหลบหนีออกไปจากโรงเตี๊ยมหว่านเซิ่ง

 

 

ร่างของชายชราพุ่งเป็นเส้นโค้งหายวับไปบนท้องฟ้ายามราตรี

 

 

ติงซานฉือกระโดดไล่ตามติดไปโดยเร็วไว

 

 

การต่อสู้ของผู้มีพลังระดับยอดปรมาจารย์นั้นรุนแรงและมีระดับการทำลายล้างหนักหน่วง

 

 

เกรงว่าถ้าสู้กันที่นี่ โรงเตี๊ยมหว่านเซิ่งก็คงจะต้องพังถล่มลงมาเป็นแน่แท้

 

 

และชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ก็จะได้รับความเดือดร้อนไปด้วย

 

 

ติงซานฉือเจตนาไล่ต้อนให้ผู้อาวุโสสวีหลบหนีไปตั้งแต่แรก เพื่อที่เขาจะได้มีโอกาสจัดการคู่ต่อสู้ในพื้นที่อันห่างไกลบ้านเรือนผู้คนมากกว่านี้

 

 

ย้อนกลับไปในห้องรับประทานอาหารหมายเลขหนึ่ง บรรยากาศตกอยู่ภายใต้ความเงียบงันอีกครั้ง

 

 

“เอาล่ะ เลิกแกล้งตายได้แล้ว”

 

 

หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปใช้เท้าสะกิดหนี่ฟู่กวงที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น

 

 

“ฮื่อ อย่าฆ่าข้าเลยนะ อย่าทำอะไรข้าเลย…”

 

 

หนี่ฟู่กวงกระดูกขาแตกหักหลายท่อน ที่ผ่านมากัดฟันทนความเจ็บปวดแกล้งตายอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อเห็นว่าความลับถูกเปิดโปงแล้ว ชายหนุ่มก็ไม่สนใจความเจ็บปวด ร้องไห้น้ำตาไหลพราก ขอร้องให้เด็กหนุ่มไว้ชีวิตตนเอง

 

 

ถ้ารู้ว่าการมาที่เมืองหยุนเมิ่งจะต้องพบเจอชะตากรรมเช่นนี้ หนี่ฟู่กวงย่อมไม่มีทางมาเด็ดขาด

 

 

“เจ้ารีบมาขอโทษสาวรับใช้ของข้าก่อน”

 

 

หลินเป่ยเฉินออกคำสั่ง

 

 

“ได้สิ ไม่มีปัญหา…”

 

 

ขณะนี้ หนี่ฟู่กวงหวาดกลัวลนลาน เขาสามารถทำได้ทุกอย่างที่หลินเป่ยเฉินสั่ง ชายหนุ่มรีบคลานเข้าไปหาสองสาวรับใช้และกล่าวละล่ำละลักว่า “แม่นางทั้งสองท่าน ข้าน้อยผิดไปแล้ว ข้าน้อยมันไม่ใช่ตัวดี ข้าน้อยมันมีจิตใจหยาบช้าสกปรก ได้โปรดขอแม่นางให้อภัยข้าน้อยด้วย!”

 

 

ก่อนหน้านี้เขาทารุณทำร้ายเฉียนเหมยกับเฉียนเจิน แต่บัดนี้สถานการณ์กลับด้านย้อนศรไม่คาดฝัน

 

 

สองสาวรับใช้ยังคงตกอยู่ในภวังค์แห่งความตื่นตะลึง

 

 

พวกนางมองหนี่ฟู่กวงที่หมอบคลานอยู่บนพื้นเหมือนสุนัขหลังหักตัวหนึ่งด้วยแววตาขยะแขยง

 

 

ความอับอายและความหวาดกลัวที่หนี่ฟู่กวงมอบให้แก่พวกนาง คือความรู้สึกที่ฝังลงลึกในจิตใจ

 

 

พวกนางไม่ทราบเลยว่าหากนายน้อยไม่มาช่วยเหลือในค่ำคืนนี้ ตนเองจะต้องพบเจอชะตากรรมเช่นไรบ้าง

 

 

เฉียนเหมยกับเฉียนเจินจึงไม่รู้จะพูดอะไรแล้วจริงๆ

 

 

“ดีมาก พวกเจ้าพูดได้ดี”

 

 

หลินเป่ยเฉินพลันชื่นชมสองสาวรับใช้ด้วยสีหน้าพึงพอใจ

 

 

เฉียนเหมยกับเฉียนเจินหันมองหน้ากันด้วยความพิศวง

 

 

พวกนางพูดอะไรออกไปตอนไหน?

 

 

หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นดีดนิ้ว แล้วเปลวไฟก็ลุกโชนสว่างไสวทั่วร่างกายของหนี่ฟู่กวง

 

 

ระดับพลังของหนี่ฟู่กวงยังห่างชั้นจากสวีหวั่นหลัวอยู่หลายขั้น มิหนำซ้ำยังไม่มีพลังปราณธาตุสายฟ้าคอยคุ้มครองร่างกาย จึงเสียชีวิตไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีเวลาแม้แต่จะส่งเสียงกรีดร้องด้วยซ้ำ เพียงไม่กี่อึดใจ บุตรชายของผู้ปกครองแคว้นซินจินก็กลายเป็นเพียงเถ้าถ่านที่ปลิวหายไปในสายลม

 

 

“คนชั่วช้าเช่นเจ้า ไม่สมควรได้รับการให้อภัย”

 

 

หลินเป่ยเฉินหันกลับมาพยักหน้าให้แก่สองสาวรับใช้ “ถึงพวกเจ้าไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ข้าก็ได้ยินเสียงของหัวใจพวกเจ้าเสมอ”

 

 

หลังจากนั้น เขาก็เดินไปใช้เท้าสะกิดเฉิงเฉียนกุ่ยที่นอนแกล้งตายเป็นรายต่อมา

 

 

“อย่าทำอะไรข้าเลยนะ…”

 

 

เฉิงเฉียนกุ่ยส่งเสียงกรีดร้องสะดุ้งโหยง

 

 

พรึบ!

 

 

เปลวไฟลุกโชน

 

 

แล้วเขาก็กลายเป็นอีกหนึ่งกองเถ้าถ่านที่ปรากฏขึ้น

 

 

หลินเป่ยเฉินฆ่าตาย 11 ศพในพริบตาเดียว!

 

 

ดูเหมือนว่าเขาจะได้ยินเสียงร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจจากใครบางคน

 

 

เด็กหนุ่มหันกลับมามองที่ฉุยหมิงโหลวโดยทันที

 

 

หรือหมอนี่ก็อยากจะมีปัญหากับเขาเหมือนกัน?

 

 

ทันใดนั้น เฉียนเหมยก็ส่งเสียงพูดออกมาว่า “นายท่าน ของสิ่งนั้นคืออะไรเจ้าคะ?”

 

 

นางชี้มือไปยังกองเถ้าถ่านที่เคยเป็นร่างกายส่วนหนึ่งของสวีหวั่นหลัว

 

 

ในกองเถ้าถ่านนั้น มีอะไรบางอย่างกำลังส่องแสงระยิบระยับแวววับสะดุดตา