บทที่ 397 ถุงเก็บของวิเศษ

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 397 ถุงเก็บของวิเศษ

 

 

หืม?

 

 

นี่มัน… มีของหลงเหลืออยู่ได้อย่างไร?

 

 

หัวใจของหลินเป่ยเฉินกระตุกวูบ

 

 

พลังของเขาอย่าว่าแต่สิ่งของ แม้แต่ร่างกายมนุษย์ก็ถูกแผดเผาไม่เหลือชิ้นดี แล้วต้องเป็นของวิเศษชนิดไหนกัน ถึงสามารถทนทานความร้อนในระดับนั้นได้?

 

 

เด็กหนุ่มเดินเข้าไปใช้เท้าเขี่ยกองขี้เถ้า และเห็นว่าสิ่งที่วางอยู่ด้านล่างนั้นก็คือถุงใส่ของสีแดงสดใบหนึ่ง

 

 

เดี๋ยวนะ

 

 

นี่มันถุงเก็บของวิเศษใช่ไหม?

 

 

หลินเป่ยเฉินสังเกตอย่างละเอียดถี่ถ้วน

 

 

ถุงเก็บของวิเศษใบนี้เป็นประกายสีแดงระยิบระยับ แต่แล้วแสงสว่างเหล่านั้นก็เริ่มเจือจางลง เมื่อลองก้มลงใช้มือสัมผัสดู ถึงได้รู้ว่าพื้นผิวด้านนอกมันยังคงมีความร้อนอุ่น สัมผัสที่ดีดสะท้อนกับนิ้วมือนั้นบอกว่ามันทำมาจากหนังสัตว์บางชนิดที่มีความยืดหยุ่นสูง

 

 

หลินเป่ยเฉินลองใช้นิ้วจิ้มลงไปแรงมากขึ้น

 

 

หนังสัตว์ยืดหยุ่นและแข็งแรง

 

 

มันมีความยืดหยุ่นมากกว่าเสื้อผ้าและหนังสัตว์ทั่วไป

 

 

หลินเป่ยเฉินไม่ทราบเหมือนกันว่ามันทำมาจากสิ่งใดกันแน่

 

 

หลินเป่ยเฉินพยายามเปิดออกดูว่ามันบรรจุสิ่งใดอยู่

 

 

แต่แล้วเขาก็พบว่าเป็นไปไม่ได้

 

 

ปากถุงเก็บของรัดพันด้วยสายรัดสีทองคำแน่นหนา

 

 

นี่ไม่ใช่สายรัดธรรมดา สีทองที่เป็นประกายแวววาวนั้นบอกชัดว่ามันทำขึ้นมาจากทองคำบริสุทธิ์ และมีความแข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล็กกล้า มันผูกวนรอบปากถุงนับดูแล้วมีจำนวนสิบเส้น แต่ที่ร้ายกาจที่สุดก็คือสายรัดแต่ละเส้นลงค่ายอาคมเอาไว้อย่างรอบคอบรัดกุม

 

 

สายรัดเหล่านี้ทำหน้าที่เหมือนสายไฟในแผงวงจรไฟฟ้า ผูกโยงยึดติดกันตลอดทุกเส้น และมีเพียงผู้รู้วิธีเท่านั้นถึงจะสามารถคลี่คลายออกมาได้

 

 

นั่นหมายความว่าสิ่งที่บรรจุอยู่ด้านในถุงเก็บของใบนี้ ต้องมีความวิเศษเลิศล้ำแน่นอน

 

 

ด้วยระดับพลังในปัจจุบันของหลินเป่ยเฉิน ประกอบกับความรู้เรื่องค่ายอาคมของเขาที่มีเพียงเล็กน้อยเทียบเท่ากับเด็กทารก ประเมินดูแล้วกว่าที่เขาจะสามารถเปิดถุงเก็บของใบนี้ได้ ก็คงต้องใช้เวลาอีกหลายวัน

 

 

การค้นพบครั้งนี้ไม่ได้ทำให้เด็กหนุ่มประหลาดใจ แต่มันทำให้เขาดีใจ

 

 

เขาดีใจเพราะมั่นใจว่ามีของดีอยู่ในมือแล้ว

 

 

สวีหวั่นหลัวมีสถานะเป็นถึงอ๋องน้อยประจำแคว้นไห่อัน ย่อมไม่พกพาสิ่งของธรรมดาดาษดื่น

 

 

หลินเป่ยเฉินอัปโหลดถุงเก็บของวิเศษเข้าไปเก็บไว้ในแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์เป็นการชั่วคราว

 

 

จากนั้น เขาก็เดินตรงไปสำรวจกองขี้เถ้าของหนี่ฟู่กวงและคนอื่นๆ

 

 

มือกระบี่เหล่านี้ล้วนเป็นคุณชายมาจากตระกูลใหญ่โต ก็คงต้องพกของวิเศษติดตัวมาไม่มากก็น้อย

 

 

แน่นอนว่าตรงจุดที่หนี่ฟู่กวงเสียชีวิต หลินเป่ยเฉินพบถุงเก็บของวิเศษในลักษณะเดียวกัน แต่มันเป็นสีเขียวไม่ใช่สีแดง พื้นผิวภายนอกถูกไฟเผาเป็นรอยด่างดำ ไม่หลงเหลือความสวยงามแม้แต่นิดเดียว

 

 

แต่สิ่งที่ทำให้หลินเป่ยเฉินรู้สึกขยะแขยงก็คือพื้นผิวของถุงเก็บของใบนี้ สลักเป็นลวดลายของหนุ่มสาวกำลังเสพกามอย่างโจ่งแจ้ง

 

 

หึหึ

 

 

หมอนี่มันโรคจิตจริงๆ ด้วย!

 

 

หลินเป่ยเฉินลองหยิบถุงเก็บของใบนี้ขึ้นมาดู และพบว่าสายรัดที่ปิดปากถุงอยู่ถูกเปลวไฟเผาผลาญทำลายไปหมดแล้ว

 

 

เขาเปิดถุงเก็บของออก

 

 

ด้านในเป็นพื้นที่เก็บของเล็กๆ

 

 

ประกายสีทองคำสะดุดสายตาของหลินเป่ยเฉิน

 

 

ด้านในเป็นเหรียญทองคำ

 

 

หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่ม

 

 

เขาเปิดปากถุงออกกว้างด้วยความตื่นเต้น

 

 

โอ้โห!

 

 

ข้างในยังมีของดีอยู่อีกเพียบ

 

 

เหรียญทองเหล่านั้นคำนวณจากตาเปล่า น่าจะมีไม่ต่ำกว่าพันเหรียญ

 

 

นอกจากนั้น ก็ยังมีคัมภีร์อีกหลายเล่ม แต่ดูไม่ค่อยเหมือนคัมภีร์ฝึกวิทยายุทธ์สักเท่าไหร่ คัมภีร์ที่อยู่ด้านบนสุดมีชื่อบนหน้าปกว่าคัมภีร์ตัดผลึกแก้ว ส่วนเล่มอื่นๆ เห็นชื่อไม่แน่ชัด แต่ลวดลายที่อยู่บนหน้าปกค่อนข้างสวยงามตระการตา และเมื่อเปิดดูเนื้อหาที่อยู่ด้านใน หลินเป่ยเฉินก็พบว่ามันมีแต่ภาพวาดร่างเปลือยของมนุษย์อยู่เต็มไปหมด…

 

 

“ลามกไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ”

 

 

หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม

 

 

เขารีบอัปโหลดคัมภีร์เหล่านั้นเก็บไว้ในแอปไป้ตู้ เน็ตดิสก์โดยทันที

 

 

แต่สิ่งที่น่าประหลาดที่สุดก็คือ มีบางอย่างถูกซุกซ่อนอยู่ที่ก้นถุง

 

 

หลินเป่ยเฉินหยิบขึ้นมาสำรวจดูอย่างระมัดระวัง วัตถุชิ้นนี้สร้างขึ้นมาอย่างปราณีต มีลวดลายงดงามวิจิตร ลักษณะเหมือนนกหวีด มีปุ่มกดอยู่บนด้ามจับ เมื่อลองกดดูแล้ว วัตถุปริศนาก็จะปล่อยคลื่นเสียงความถี่สูงออกมา…

 

 

“น่าจะเป็นอาวุธลับใช่ไหมเนี่ย?”

 

 

แต่มันเอาไว้ทำอะไรกันแน่?

 

 

หลินเป่ยเฉินไม่มีเวลาตรวจสอบให้ละเอียด เขาก็รีบเก็บมันใส่ในโทรศัพท์มือถือ

 

 

เอาไว้ค่อยตรวจดูตอนที่มีเวลาก็แล้วกัน

 

 

เมื่อเฉียนเหมยกับเฉียนเจินเห็นดังนั้น ใบหน้าของพวกนางก็แดงก่ำ สองสาวได้แต่ถอนหายใจออกมาพร้อมกันโดยไม่รู้ตัว

 

 

พวกนางไม่เคยลืมชีวิตในอดีต

 

 

ทั้งสองสาวจดจำได้ดียามที่ตนเองเป็นนางคณิกาฝึกหัดอยู่ในหอนางโลม แม่เฒ่าเจ้าของหอจะคอยพร่ำสอนว่าเวลาที่รับแขกซึ่งเป็นเศรษฐีหรือขุนนางใหญ่โต ให้พวกนางหาจังหวะปลดทรัพย์มาจากพวกเขาเหล่านั้นให้ได้ เพราะด้วยความที่บุคคลเหล่านั้นมีทรัพย์สมบัติมากมาย ของหายไปเพียงเล็กน้อย ย่อมไม่ติดใจสงสัยเด็ดขาด หรือบางทีอาจจะไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ

 

 

นอกจากอาวุธลับหน้าตาประหลาดชิ้นนั้นแล้ว หลินเป่ยเฉินก็ยังพบเจอบัตรเงินสดจากโรงฝากทรัพย์กระบี่สวรรค์อีกด้วย

 

 

เช่นเดียวกับกระบี่ยาวคุณภาพดีอีกหนึ่งเล่ม

 

 

หลินเป่ยเฉินเก็บเรียบทั้งหมด

 

 

ต่อมา เขาก็ไปคุ้ยดูกองขี้เถ้าของหญิงสาวผู้มีพลังปราณธาตุน้ำแข็ง หลินเป่ยเฉินพบเจอกำไลหยกหนึ่งชิ้น บนตัวกำไลลงอาคมแน่นหนา เห็นได้ชัดว่าต้องเป็นเครื่องประดับสำหรับเก็บของชนิดหนึ่ง แต่หลินเป่ยเฉินไม่รู้วิธีสลายอาคมเหล่านั้น เขาจึงไม่สามารถเปิดมันดูได้

 

 

แต่เด็กหนุ่มก็ไม่เป็นกังวล เขาเก็บกำไลเข้าในโทรศัพท์มือถือโดยไม่ลังเล

 

 

แล้วก็มีกระบี่อีกเล่มเหลืออยู่ข้างกองเถ้าถ่านของนาง

 

 

หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มออกมาด้วยความยินดี

 

 

แต่น่าเสียดายที่มือกระบี่คนอื่นๆ ไม่ได้พกของดีติดตัวมาด้วยเลย หรือบางทีอาจจะพกมาแล้ว แต่มันเป็นถุงเก็บของคุณภาพต่ำ จึงถูกพลังเปลวไฟของหลินเป่ยเฉินเผาไหม้สลายกลายเป็นเศษขี้เถ้าหมดสิ้น

 

 

แม้แต่เหรียญทองคำหรือบัตรฝากเงิน ก็ไม่รอดพ้นจากเปลวไฟของเขาเช่นกัน

 

 

“เฮ้อ คราวหน้าคราวหลัง เราคงต้องลดความร้อนของเปลวไฟลงแล้วสิ แบบนี้รู้สึกว่าไม่คุ้มค่าเหนื่อยยังไงก็ไม่รู้”

 

 

หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาด้วยความเศร้า

 

 

ทำเอาฉุยหมิงโหลวหนังหัวชายิบ

 

 

หลินเป่ยเฉินฆ่าคนยังไม่พอ ยังเก็บกวาดทรัพย์สินของคนตายหน้าตาเฉย

 

 

ไม่มีสิ่งใดจะชั่วร้ายมากไปกว่านี้อีกแล้ว

 

 

ทันใดนั้น ชายหนุ่มก็ได้ยินประโยคที่บิดาพูดขึ้นมาเมื่อวันก่อนว่า…

 

 

ห้ามไปมีเรื่องกับหลินเป่ยเฉินเด็ดขาด!

 

 

นับว่าบิดาของเขามีสายตาเฉียบแหลม มองออกล่วงหน้าแล้วว่าเด็กหนุ่มคนนี้มีจิตใจโหดร้ายผิดมนุษย์ และเขาสมควรอยู่ให้ห่างไกลจากบุคคลเช่นนี้มากที่สุด

 

 

“พวกเราไปกันเถอะ”

 

 

หลินเป่ยเฉินหันหน้ามาชำเลืองมองฉุยหมิงโหลวเล็กน้อยและพูดเสียงเรียบว่า “เจ้าก็เห็นแล้วว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง ข้าเป็นคนลงมือแต่เพียงผู้เดียว เจ้ากลับไปรายงานท่านเจ้าเมืองตามสมควรเถอะ”

 

 

แต่ว่าเด็กหนุ่มคนนี้แตกต่างไปจากพวกของสวีหวั่นหลัว หนี่ฟู่กวงและคนอื่นๆ

 

 

ที่เขาลงมือฆ่าคน ก็เพื่อพยายามปกป้องสองสาวรับใช้ นั่นหมายความว่าหลินเป่ยเฉินยังคงหลงเหลือความเป็นมนุษย์อยู่ในตัวบ้างพอสมควร

 

 

หลินเป่ยเฉินไม่ใช่คนที่ไม่มีเหตุผลเสียทีเดียว เพียงแต่ว่าใครอย่าไปหาเรื่องเขาก่อนก็แล้วกัน!

 

 

ฉุยหมิงโหลวกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ กำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา

 

 

ทันใดนั้น ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นด้านนอกโรงเตี๊ยมหว่านเซิ่ง

 

 

“ใครอยู่ในนั้น?”

 

 

เสียงคำรามดุร้ายดังขึ้นหน้าประตูห้องรับประทานอาหาร ก่อนที่หยิงอู๋จีผู้เป็นหัวหน้าสำนักมือปราบจะเดินเข้ามาพร้อมกับพูดว่า “ที่แท้ก็เป็นหลานเป่ยเฉินนี่เอง เจ้ารู้หรือไม่ว่าตนเองก่อเรื่องใหญ่โตขนาดไหนลงไปแล้ว?”

 

 

ด้านหลังเขายังมีเจ้าหน้าที่มือปราบเดินตามมาอีกหลายสิบคน

 

 

ในเวลาเดียวกันนี้ ที่ถนนด้านนอกโรงเตี๊ยมหว่านเซิ่ง ได้มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นอื้ออึง เช่นเดียวกับที่มีเงาร่างคนทิ้งตัวลงมาจากกลางอากาศ ปิดล้อมโรงเตี๊ยมเอาไว้อยู่กึ่งกลาง

 

 

พวกเขาล้วนเป็นเจ้าหน้าที่ของสำนักมือปราบประจำเมือง ทุกคนปรากฏตัวออกมาจากความมืด

 

 

ขณะนี้ กองกำลังของเจ้าหน้าที่มือปราบล้อมอยู่รอบโรงเตี๊ยมทุกด้านแล้ว

 

 

หยิงอู๋จีมีสีหน้าเศร้าสลด

 

 

เขาชำเลืองมองใบหน้าของหลินเป่ยเฉินที่ยืนอยู่ในห้องรับประทานอาหารด้วยความทุกข์ใจ เนิ่นนานจึงถอนหายใจ พูดออกมาว่า “หลานเป่ยเฉิน เจ้าใจร้อนวู่วามถึงกับสังหารท่านอ๋องน้อยสวีและใต้เท้าหนี่พร้อมคณะผู้ติดตามอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมือง เรื่องนี้… เจ้า… เฮ้อ เจ้าทำให้อาไม่มีทางเลือกนอกจากจับกุมตัวเจ้า ต่อให้อาอยากจะช่วยเหลือเจ้าสุดหัวใจ แต่อาก็ไม่สามารถทำได้อีกแล้ว”