ตอนที่ 382 ขอบเขตจ้าวสุริยะขั้นสูงสุด

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

หลังจากแสงสว่างวาบ ฉินอวี้โม่ก็ปรากฏกายในป่าแห่งหนึ่ง

ทันทีที่นางเหยียบย่ำบนพื้นดิน สภาวะพลังที่อุดมสมบูรณ์โดยรอบก็ถาโถมเข้าหาร่างของนางอย่างบ้าคลั่งจนนางรู้สึกไม่สบายตัวไปพักหนึ่ง

“สภาวะพลังของโลกมายาแห่งนี้หนาแน่นยิ่งกว่าที่ดินแดนอ้างว้างกว่าสามเท่าตัวเสียอีก หากท่านฝึกยุทธ์อยู่ที่นี่ ความเร็วการพัฒนาจะเพิ่มขึ้นมาก”

ร่างเล็กของหานอวี้ปรากฏกายถัดจากฉินอวี้โม่ เมื่อสัมผัสถึงสภาวะพลังรอบตัว มังกรน้อยก็อดถอนหายใจไม่ได้

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเบาๆ นางก็สัมผัสได้ว่าสภาวะพลังในโลกมายาหนาแน่นกว่าดินแดนอ้างว้างมาก หากเก็บตัวฝึกยุทธ์เป็นระยะเวลาหนึ่ง พลังความแข็งแกร่งของนางจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

ทว่าเมื่อหันมองไปข้างหลังและไม่พบฉีอวิ๋นเหล่ยและคนอื่นๆที่ตามมา ฉินอวี้โม่ก็อดสงสัยไม่ได้

นางอาจไม่รู้เลยว่าตอนนี้ฉีอวิ๋นเหล่ยและทุกคนกำลังตีอกชกตัวกระทืบเท้าด้วยความหงุดหงิดกับการหายไปอย่างกะทันหันของค่ายกลเคลื่อนย้าย

“ท่านจอมยุทธ์หยินหึน นี่มันเกิดอะไรขึ้นรึ?”

เมื่อค่ายกลเคลื่อนย้ายหายไปอย่างกะทันหัน เฟิงจิงเทียนก็อดเอ่ยถามไม่ได้

“เกรงว่าเดิมทีพลังงานของค่ายกลเคลื่อนย้ายใกล้จะหมดลงแล้ว เพราะฉะนั้นหลังจากอวี้โม่ข้ามผ่านไป พลังงานของมันจึงหมดลงและหายไปเช่นนี้”

หยินหึนเองก็ถึงกับพูดไม่ออกเช่นกัน เขาสังเกตเห็นความผิดปกตินี้ก่อนแล้ว เพียงแต่เดิมทีเขาคิดว่าการส่งคนไปเพียงสี่ถึงห้าคนคงจะไม่เกิดปัญหาอะไร

“เอ่อ…”

ทุกคนทอดถอนหายใจอย่างปลงตกไม่ต่างกัน

“ดูเหมือนว่าเราจะต้องไปรอนางที่ดินแดนเทพมายาเสียแล้ว”

ฉีอวิ๋นเหล่ยเอ่ยขึ้นก่อนยิ้มออกมา “นี่ก็ดีเหมือนกัน ว่ากันว่าดินแดนเทพมายามีสภาวะพลังที่หนาแน่นกว่าที่นี่มากและความเร็วในการฝึกยุทธ์ของเราจะเร็วขึ้นเมื่อเราไปถึงที่นั่น บางทีเมื่อพบกับฉินอวี้โม่อีกครั้ง ช่องว่างความแตกต่างระหว่างเราจะลดลงมาก”

เหวินซื่อชู่และคนอื่นๆก็พยักศีรษะอย่างพร้อมเพรียงกัน ก่อนหน้านี้พวกเขารู้สึกมาเสมอว่าตนเองเผชิญจุดติดขัดและจะต้องหมั่นเพียรพยายามอย่างหนักมากขึ้น พวกเขาไม่อาจปล่อยให้พลังของฉินอวี้โม่ทิ้งห่างจากตนเองมากเกินไป

“ถ้างั้นก็ไปกันเถอะ”

ฉินเทียนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม เขาไม่ได้เป็นกังวลเรื่องฉินอวี้โม่มากนัก

ด้วยคฤหาสน์เฟิงหัวและอสูรมายาจำนวนมาก ฉินอวี้โม่ก็น่าจะไม่พบปัญหาหรืออุปสรรคใดๆ

ทุกคนพยักศีรษะอย่างเห็นพ้องตรงกัน จากนั้นพวกเขาก็ไม่รอช้าและมุ่งหน้าตรงไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายซึ่งนำทางไปสู่ดินแดนเทพมายา

….

ภายในโลกมายา หลังจากเฝ้ารอนานหนึ่งก้านธูปโดยที่ฉีอวิ๋นเหล่ยและคนอื่นๆก็ยังไม่ปรากฏให้เห็น ฉินอวี้โม่จึงรู้สึกกังวลใจเล็กน้อย

“นายหญิง ข้านึกขึ้นได้แล้ว ตอนที่เราข้ามผ่านมา ดูเหมือนว่าพลังงานของค่ายกลเคลื่อนย้ายจะหมดลงและอันตรธานหายไป คนอื่นๆคงจะไม่มีทางข้ามผ่านมาที่นี่ได้แล้ว”

ทันใดนั้น พลับพลึงแดงก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้และกล่าวออกไปทันที

ฉินอวี้โม่ประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนี้ ทว่านางก็เพียงพยักศีรษะอย่างปลงตก

เดิมทีนางคิดว่าจะได้มีสหายร่วมเดินทางหลายคน ทว่าบัดนี้ดูเหมือนว่าอดีตนักฆ่าสาวในร่างคุณหนูจะต้องท่องไปในโลกมายาแห่งนี้ด้วยตัวเอง

“ไปหาที่ซ่อนเพื่อฝึกยุทธ์สักระยะเถอะ สภาวะพลังในโลกมายาแห่งนี้หนาแน่นกว่าในคฤหาสน์เฟิงหัวมาก หากเก็บตัวฝึกฝนสักระยะ พวกเราจะสามารถเพิ่มพลังความแข็งแกร่งได้มากอย่างแน่นอน”

หงส์แดงกล่าวขึ้นมา บัดนี้อสูรมายาหลายตัวมีพลังอยู่ในระดับพิภพขั้นสูงสุด มันเชื่อว่าการฝึกฝนอย่างใจจดใจจ่อระยะหนึ่งจะสามารถทำให้พวกมันพัฒนาไปถึงระดับจ้าวสุริยะได้

ฉินอวี้โม่เพียงพยักศีรษะเบาๆและกวาดสายตามองสิ่งแวดล้อมรอบตัว

บัดนี้นางและอสูรมายาอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งไม่มีสิ่งอื่นใดนอกเหนือจากต้นไม้หนาทึบ ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่ซึ่งคุ้นเคยกับผืนป่าพอสมควรก็รู้ได้ทันทีว่าตอนนี้ตนเองกำลังอยู่ในใจกลางของผืนป่า

“เราคงไม่ต้องหาแล้วล่ะ มารยา..เตรียมวางข่ายอาคมขึ้นที่นี่เลย เราจะเก็บตัวฝึกฝนกันที่นี่”

สภาพแวดล้อมบัดนี้เต็มไปด้วยพลังหนาแน่นและไร้ซึ่งสัญญาณชีพของสิ่งมีชีวิตใดๆ ฉินอวี้โม่จึงตัดสินใจที่จะฝึกยุทธ์อยู่ที่นี่สักระยะหนึ่ง

อสูรมายาทั้งหมดพยักหน้าตอบรับอย่างพร้อมเพรียง

มารยาวางข่ายอาคมหมอกหนารอบบริเวณอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนข้างนอกมองเห็นพวกเขาที่อยู่ข้างใน

จากนั้นฉินอวี้โม่และอสูรมายาทั้งหลายก็นั่งลงและเริ่มการฝึกยุทธ์อย่างเงียบๆ

ทุกอย่างดำเนินไปอย่างรวดเร็ว และภายในชั่วพริบตา เวลาก็ล่วงเลยไปกว่าสามเดือนแล้ว

ในวันที่หนึ่งร้อยหลังจากมาถึงโลกมายา ฉินอวี้โม่ก็ค่อยๆลืมตาขึ้นและรอยยิ้มอย่างพึงพอใจปรากฏบนใบหน้าของนาง

อสูรมายาของนางก็ยิ้มกว้างอย่างมีความสุขเช่นกันซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการเก็บตัวฝึกฝนในครานี้ให้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง

“นายหญิง อีกเพียงก้าวเดียวท่านก็จะพัฒนาไปถึงขอบเขตเซียนแล้ว ยอดฝีมือในขอบเขตเซียนคือตัวตนที่แทบจะอยู่ในจุดสูงสุดของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง”

มารยายิ้มกว้าง บัดนี้มันก็บรรลุระดับอสูรสุริยะขั้นสูงสุดแล้ว หากต้องการทะลวงพลังเพื่อเป็นอสูรเซียน มันจะต้องข้ามผ่านการลงทัณฑ์สายฟ้า ยิ่งไปกว่านั้น การวิวัฒนาการจากระดับสุริยะขั้นสูงสุดไปสู่ระดับเซียนก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย

“ฮ่าๆๆ ต่อให้ทะลวงพลังถึงขอบเขตเซียน ข้าก็ยังห่างไกลจากการเป็นบุคคลที่อยู่ในระดับสูงสุด”

ฉินอวี้โม่ยิ้มพร้อมส่ายศีรษะเบาๆ นางเข้าใจดีว่าต่อให้บรรลุพลังในขอบเขตเซียน นางก็ยังห่างไกลจากการเป็นผู้ยิ่งใหญ่

ไม่ต้องกล่าวถึงดินแดนเทพมายาเลย เพราะแม้แต่โลกมายาแห่งนี้ก็น่าจะมียอดฝีมือในขอบเขตเซียนอยู่ถึงหลายร้อยชีวิต

ยิ่งไปกว่านั้น ขอบเขตเซียนก็มีลำดับขั้นเช่นกัน หากนางทะลวงพลังต่อไป หลังจากนี้นางจะเข้าสู่ขอบเขตเซียน เหนือกว่านั้นก็ยังมีขอบเขตพสุธาเซียนและนภาเซียน อีกทั้งก็ยังมียอดฝีมือที่ทรงพลังยิ่งกว่านั้นอีก

เพราะเหตุนั้น หากต้องการทะลวงพลังต่อไปจนกลายเป็นยอดฝีมือที่ยิ่งใหญ่ซึ่งไร้ผู้ต้าน นางก็จะต้องฝึกฝนอย่างหนักและพัฒนาพลังความแข็งแกร่งของตนเองอย่างต่อเนื่อง

“ฮ่าๆๆ ดูเหมือนว่าทุกคนต่างก็พัฒนาก้าวหน้าทีเดียว”

เสี่ยวเฮยยิ้มอย่างมีความสุข เมื่อได้รับรู้พลังของบรรดาอสูรมายาทั้งหลายในตอนนี้ มันก็มีความสุขอย่างเหลือล้น

เสี่ยวเฮยคืออสูรมายาตัวแรกที่ติดตามฉินอวี้โม่มา—ยูนิคอร์นสีนิล เดิมทีความแข็งแกร่งของมันอยู่เพียงระดับเทวะราชัน ทว่านับตั้งแต่ได้เป็นอสูรมายาของฉินอวี้โม่ มันก็เผชิญกับโชคลาภมาตลอดและพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง วันนี้มันก็มีโอกาสได้พัฒนากลายเป็นอสูรพิภพขั้นสูงสุดและอาจจะพัฒนาเป็นอสูรสุริยะได้ทุกเมื่อ การที่ได้ประสบความสำเร็จเช่นนี้ มันจึงรู้สึกพึงพอใจอย่างที่สุด

อสูรมายาทั้งหมดยิ้มกว้างด้วยความพึงพอใจกับพลังของตนเองในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม พวกมันรู้ดีว่าถึงแม้บัดนี้พวกมันจะแข็งแกร่งพอสมควร นั่นก็ยังไม่เพียงพอ หากพวกมันต้องการเป็นอสูรมายาที่สมศักดิ์ศรีและสมเกียรติของฉินอวี้โม่โดยที่สามารถช่วยนางในด้านต่างๆได้ พวกมันก็จะต้องหมั่นฝึกฝนอย่างหนักมากขึ้นอีก

“นายหญิง เราอยู่ที่นี่กันมานานกว่าสามเดือนแล้ว ข้าคิดว่าถึงเวลาที่เราควรออกไปสำรวจดูสถานการณ์ภายนอก”

มารยากล่าวพร้อมรอยยิ้ม มันรู้ดีว่าตอนนี้ฉินอวี้โม่ทะลวงพลังถึงขอบเขตจ้าวสุริยะขั้นสูงสุดแล้ว ต่อให้จะยังฝึกยุทธ์ต่อไป มันก็คงไม่มีความคืบหน้ามากนัก เช่นนั้นแล้วมันจึงเสนอให้ออกไปตรวจดูสถานการณ์ภายนอก

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเบาๆ นางเองก็วางแผนที่จะทำเช่นนั้นอยู่แล้ว

บัดนี้นางอยู่ในขอบเขตจ้าวสุริยะขั้นสูงสุดและพลังของอสูรทั้งหมดของนางก็พัฒนาขึ้นมาเช่นกัน ฉินอวี้โม่มั่นใจว่านางจะไม่ตกเป็นรองหากต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมือในขอบเขตเซียน ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อประสานพลังเข้ากับกองทัพอสูรมายาของตนเอง นางก็อาจจะเอาชนะพวกเขาได้ด้วยซ้ำ

“พวกเจ้ากลับไปในคฤหาสน์เฟิงหัวก่อนเถอะ เราเพิ่งมาที่โลกมายาแห่งนี้ เราต้องเก็บตัวสงบเสงี่ยมและซ่อนไพ่ตายไว้ก่อน ด้วยวิธีนี้ ต่อให้ท่านแม่จะเผชิญหน้ากับยอดฝีมือคนใด เราก็จะไม่เสียเปรียบ”

หานอวี้ยิ้มกว้างขณะบอกให้เสี่ยวเฮยและอสูรมายาตัวอื่นๆกลับเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัว

เสี่ยวเฮยและอสูรทั้งหมดเข้าใจดีและกลับเข้าไปในคฤหาสน์หลังน้อยพร้อมรอยยิ้มมีความสุข

มารยาและหานอวี้ซึ่งอยู่ในร่างมนุษย์ก็คอยอยู่กับฉินอวี้โม่เพื่อสนทนาพาทีและบรรเทาความเบื่อหน่าย

“ท่านแม่ ยังไม่มีท่าทีว่าพี่ซิวจะตื่นอีกรึ?”

หานอวี้เอ่ยถามขึ้นมาขณะเดินข้างกายฉินอวี้โม่

แม้ว่าจะดูเหมือนหานอวี้กำลังก้าวเดิน ทว่าหากมองดูใกล้ๆจะพบว่าเท้าทั้งสองของเจ้าหนูน้อยจ้ำม่ำลอยสูงขึ้นจากพื้นเล็กน้อย

ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะ ซิวยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นมาจากสภาวะเก็บตัว ระหว่างช่วงนี้ มันน่าจะดูดซับพลังไปมากแล้ว ทว่าก็ยังไม่มีสัญญาณใดบ่งบอกว่ามันจะตื่นขึ้นมา

“เมื่อพี่ซิวตื่นขึ้นมา คาดว่าพลังของเขาจะต้องเพิ่มขึ้นไปอีกระดับ ช่องว่างระหว่างพลังของเรากับพี่ซิวช่างกว้างใหญ่ยิ่งนัก!”

มารยาอดทอดถอนหายใจออกมาไม่ได้ แม้ว่าพวกมันจะฝึกฝนกันอย่างหนักหน่วง ทว่าสำหรับการฝึกฝนจนตนเองพัฒนาไปถึงระดับเทพอสูรนั้น พรสวรรค์ของพวกมันยังไม่ถึงขั้นนั้นอย่างแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น เป็นเพียงเพราะพลังของซิวถูกใช้มากเกินไปตลอดช่วงเวลานับพันปีที่ผ่านมา บัดนี้มันจึงต้องเข้าสู่สภาวะเก็บตัว

ดังนั้น ประสบการณ์และความเข้าใจในการฝึกยุทธ์ของมันจึงเหนือชั้นกว่าอสูรมายาเหล่านี้ทั้งหมด

“พี่ซิวทรงพลังเกินไปจริงๆ หากว่าก่อนหน้านี้มีพี่ซิวอยู่ด้วย ผลลัพธ์คงจะแตกต่างออกไปแน่”

หานอวี้ส่ายศีรษะเบาๆขณะนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นบนเกาะไร้จุดจบ

ถ้าหากซิวอยู่ด้วยในครานั้น ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจะต้องแตกต่างไปอย่างแน่นอน ทว่านั่นก็เป็นเพียงแค่ ‘ถ้า’ เท่านั้น มิใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง บางสิ่งบางอย่างก็ถูกโชคชะตาฟ้าลิขิตไว้แล้วและไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงมันได้

เมื่อได้ยินคำพูดของหานอวี้ มารยาก็มองมันด้วยแววตาดุดัน

หานอวี้แลบลิ้นปลิ้นตาอย่างสนุกสนานก่อนตระหนักได้ว่าสิ่งที่กล่าวออกไปเมื่อครู่เป็นสิ่งที่ไม่ควรและความรู้สึกผิดฉายบนใบหน้าเล็กน้อย

“ไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้โม่ฉือคงกำลังรอข้าอยู่ที่ใดสักแห่ง เรื่องใดที่ผ่านมาแล้วก็ให้มันผ่านไปเถอะ”

ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างมั่นใจและไม่ได้สนใจคำพูดของหานอวี้เท่าไหร่นัก

“นายท่านเป็นบุคคลที่ทรงพลังมากและประหลาดผิดมนุษย์ยิ่งกว่านายหญิงเสียอีก ข้าเชื่อว่าเขาจะต้องรอนายหญิงอยู่ที่ใดสักแห่งเป็นแน่”

มารยาเองก็เชื่อว่าจะไม่เกิดเรื่องร้ายใดๆกับหานโม่ฉือ

เพราะหานโม่ฉือผู้เป็นสามีของนายหญิงนั้นประหลาดเหนือมนุษย์อย่างยิ่ง มันจึงเชื่อว่าหานโม่ฉือจะอยู่รอดปลอดภัยและไม่ได้รับอันตรายใดๆ

“ใช่แล้ว กิเลนอัคคีนั่นก็ไม่ธรรมดาเลย มันไล่ตามท่านพ่อไปทันเวลา ข้าเชื่อว่าท่านพ่อและเจ้ากิเลนนั่นจะต้องรอดปลอดภัย”

หานอวี้ยิ้มและกล่าวด้วยใบหน้าที่มั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม

หลังจากเรียกหานโม่ฉือเป็นบิดามาเนิ่นนาน แน่นอนว่ามันต้องเชื่อมั่นในตัวเขาเป็นอย่างมาก

เมื่อได้ยินคำพูดของมารยาและหานอวี้ ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มบางๆโดยไม่ได้เอ่ยปาก

ไม่ว่าคนอื่นจะเชื่อหรือไม่ ขอเพียงนางเชื่อมั่นในตัวหานโม่ฉือ แค่นั้นก็เพียงพอ

“นายหญิง ดูเหมือนจะมีใครบางคนที่กำลังวิ่งตรงมาทางนี้อย่างรวดเร็ว”

ขณะพูดคุยกันอยู่นั้น จู่ๆมารยาก็สัมผัสได้ถึงคลื่นความผันผวนและรีบแจ้งเตือนฉินอวี้โม่ทันที

ฉินอวี้โม่ไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนขยิบตาส่งสัญญาณให้มารยาและหานอวี้ จากนั้นนางก็พบต้นไม้ที่เขียวชอุ่มขนาดใหญ่และกระโดดขึ้นไปบนนั้นทันที

แน่นอนว่านางสามารถใช้วิชาล่องหนได้ ทว่าในโลกมายาแห่งนี้นางเชื่อว่าจะต้องมีผู้ใช้ข่ายอาคมมากฝีมืออยู่ไม่น้อย คุณหนูคนงามกังวลว่าหากผู้ใดค้นพบกายเทพมายา มันจะนำพาปัญหาที่ไม่จำเป็นเข้ามา

“เจ้าหนู อย่าคิดหนี!”

ทันทีที่ซ่อนตัวได้ ฉินอวี้โม่และอสูรมายาทั้งสองก็มองเห็นบุรุษหนุ่มคนหนึ่งที่เสื้อผ้ายุ่งเหยิงรุ่งริ่งพร้อมด้วยรอยเลือดเปื้อนบนใบหน้าและลมหายใจอ่อนแรง ทว่าเขาก็วิ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูง

เห็นได้ชัดว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้เพิ่งผ่านการต่อสู้ที่ดุเดือดมาและใบหน้าของเขาเปื้อนสิ่งสกปรกบดบังจนมองเห็นได้ไม่ชัดเจน นอกจากนี้รอยเลือดที่มุมปากของเขาก็บ่งบอกว่าเขาน่าจะได้รับบาดเจ็บ

ด้วยความบังเอิญพอดิบพอดี เขาก็วิ่งตรงมาใต้ต้นไม้ที่ฉินอวี้โม่และอสูรมายาซ่อนตัวอยู่ จากนั้นเขาก็หันมองซ้ายมองขวาและกัดฟันแน่นพร้อมกระโดดขึ้นบนต้นไม้ในจุดที่ไม่ไกลจากฉินอวี้โม่

เห็นได้ชัดว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้ไม่ได้เห็นฉินอวี้โม่ที่ซ่อนตัวอยู่เช่นกัน เขาหยิบโอสถออกมาหนึ่งเม็ดและกินมันลงไปก่อนซ่อนลมหายใจขณะจับตามองไปในทิศทางที่วิ่งหนีมา

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง คนกลุ่มใหญ่ก็ปรากฏให้เห็น

.